ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 263 ปลาตายตาข่ายขาด แกมีความสามารถนั้นเหรอ?

บทที่ 263 ปลาตายตาข่ายขาด แกมีความสามารถนั้นเหรอ?

บทที่ 263 ปลาตายตาข่ายขาด แกมีความสามารถนั้นเหรอ?

“แกจะให้ฉันมอบคนให้แก?” เหยียนหลงมีท่าทางประหลาดใจ คิดไม่ถึงว่าหลินอิ่งจะเอ่ยเงื่อนไขเช่นนี้ออกมา มอบสวีชิงซงให้เขาไปจัดการ?

สมองของไอ้คนแซ่หลินนี่คิดอะไรอยู่ นี่มันบ้าระห่ำเกินไปแล้วหรือเปล่า?

จุดประสงค์ที่เขามาเขตเหยียนหวง ก็เพื่อจะมาขอคนเนี่ยนะ?

ความจริงคือ ตัวเขากับสวีชิงซงไม่ไปก่อกวนเขาก็นับว่าดีเท่าไหร่แล้ว เขาถึงกับยังกล้าถ่อมาที่นี่เพื่อต้องการให้เขามอบสวีชิงซงให้?

เหยียนหลงมองหลินอิ่งอย่างเย็นชา คิดจะระบายความโกรธ แต่กลับถูกฮาเดสจับไว้อีกครั้ง คำพูดที่เพิ่งคิดจะพูดจึงกลืนกลับลงไปในท้อง กลัวว่าจะทำให้บอดี้การ์ดต่างชาติผู้นี้เกิดบ้าขึ้นมา สามหมัดสองเท้าตีเขาตายคาที่

“หลินอิ่ง แกรังแกกันเกินไปแล้ว แกยังคิดจะทำอะไรอีก?” สวีชิงซงพูดด้วยท่าทางหวาดกลัว ทั้งอับอายและเคืองโกรธอย่างมาก “ฉันจะบอกให้นะ ไม่ว่าบอดี้การ์ดของแกจะเตะต่อยยังไง อยู่ตี้จิงแกไม่มีทางเป็นคู่มือของฉันไปตลอดชีวิต!”

วันนี้เดิมทีมาหาลูกพี่เหยียนหลงเพื่อช่วยส่งกลิ่นอายชั่วร้ายออกมา เห็นว่าหลินอิ่งถูกคนพามาที่เขตเหยียนหวงอย่างทึ่มทื่อ อีกเดี๋ยวก็จะสามารถเฆี่ยนตีเขาได้ตามใจชอบ แต่คิดไม่ถึงว่า จะถึงกับเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น

หลินอิ่งถึงกับนำบอดี้การ์ดมาคนเดียวก็กล้าลงมือที่โรงแรมเหยียนซื่อ ช่างบ้าระห่ำเกินไปแล้ว!

หลินอิ่งสีหน้าไร้ความรู้สึก กล่าวว่า “ถังฮุย พาตัวสวีชิงซงไป”

สิ้นคำ ถังฮุยก็เดินไปหาสวีชิงซงด้วยท่าทางขึงขัง ไม่แยแสลูกน้องจำนวนร้อยคนที่อยู่ตรงนั้นของเหยียนหลงโดยสิ้นเชิง

“ไม่! ไม่ ลุงเหยียน! ช่วยผมด้วย ห้ามให้พวกเขาพาตัวผมไปนะ!” สวีชิงซงรีบถอยหลังทันที ท่าทางตื่นกลัวอย่างยิ่ง

หากคืนนี้ถูกถังฮุยพาตัวไป บอดี้การ์ดข้างกายหลินอิ่งท่าทางโหดเหี้ยมขนาดนี้ เกรงว่าคงได้ถูกตีเกือบตายแน่!

ตอนที่เขายังกำลังพูดอยู่ ถังฮุยก็เดินเข้าไปใกล้ตรงหน้าแล้ว ใช้พัดตบหน้าเขาไปสองทีจนศีรษะโยกคลอน จากนั้นก็ยื่นมือจับตัวสวีชิงซงไว้

ถังฮุยต่อสู้อยู่ในโลกสีเทามานานหลายปีขนาดนี้ และยังต่อสู้ได้ยอดเยี่ยม จัดการกับคุณชายเนื้ออ่อนที่ร่างกายถูกสุรานารีเจาะจนพรุน จึงง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก

ส่วนลูกน้องของเหยียนหลงที่อยู่รอบๆ ได้แต่มองดูเฉยๆ อย่างร้อนใจ เพราะอย่างไรลูกพี่ก็ถูกคนจับตัวไว้อยู่ จึงไม่กล้าทำอะไรผลีผลาม

“ลุงเหยียน บอกให้ลูกน้องคุณจับพวกเขาไว้สิ!” ชั่วประเดี๋ยวเดียวสวีชิงซงก็ถูกถังฮุยจับตัวไว้ เขาร้องตะโกนเสียงดัง ท่าทางตื่นตระหนกอย่างมาก

“ถังฮุย แกยังไม่สนคนที่สนใจแกอีก? หรือว่าแกจะช่วยเขาจริงๆ แกรู้ไหมว่าตอนนี้การกระทำของเขามันบ้าบิ่นแค่ไหน? เกิดปัญหาใหญ่แล้ว แกจะจบเรื่องได้เหรอ?” เหยียนหลงพูดเสียงขรึม รู้สึกไม่อยากจะเชื่อ

ถังฮุยเองก็นับเป็นผู้มากประสบการณ์ที่โลดแล่นอยู่ในโลกสีเทามานานหลายปีเช่นกัน เขาทำเรื่องโง่เขลาเช่นนี้ออกมาได้ยังไง ต่อหน้าลูกน้องของเขา ท่ามกลางสายตาคนมากมาย ถึงกับจะพาตัวสวีชิงซงไป?

หรือเขาจะทำเพื่อคนบ้านนอกที่มาจากชนบทคนหนึ่งจริงๆ โดยการฉีกหน้าตั้งตัวเป็นศัตรูกับตระกูลฉีอย่างโจ่งแจ้ง?

“ถังฮุย! ต่อให้แกไม่สนใจสวีชิงซง แต่ สวีชิงซงเป็นลูกชายของสวีฉางเฟิง แกกล้าทำแบบนี้กับตระกูลสวีจริงๆ เหรอ?” เหยียนหลงซักถามเสียงเย็น

ถังฮุยยิ้มหยันไม่พูดอะไร ตระกูลสวีเป็นหนึ่งในห้าตระกูลใหญ่ผู้ทรงอิทธิพลในประเทศหลุง แข็งแกร่งไร้เทียมทาน แต่ เมื่ออยู่ต่อหน้าท่านอิ่ง ก็เป็นแค่เรื่องเรื่องหนึ่งเท่านั้น

เพราะอย่างไร ตระกูลสวีก็ไม่ใช่ของสวีชิงซงเพียงคนเดียว ส่วนตระกูลฉีแห่งตี้จิงอันใหญ่โต เป็นของท่านอิ่งเพียงผู้เดียว ที่ประคองมันขึ้นมาใหม่ด้วยมือข้างเดียว!

ความแตกต่างระหว่างสองคนนี้ ก็เหมือนกับเอาแมลงตัวเล็กๆ ไปเทียบกับมังกรตัวจริง

ตึงๆ!

เวลานี้เอง ประตูใหญ่สองสามบานของห้องอาหารจู่ๆ ก็เปิดออกกว้าง ชายในชุดสูทกลุ่มหนึ่งต่างกรูกันเข้ามา เรื่องราวชักจะใหญ่โตขึ้น

“ท่านเหยียน ใครกันที่มาก่อเรื่องที่นี่?”

“ท่านเหยียนคุณไม่เป็นไรนะครับ? เมื่อกี้ได้รับโทรศัพท์ ได้ยินว่ามีคนกล้ามาก่อเรื่องที่นี่ ผมเลยรีบพาคนมาที่นี่!”

ขณะนี้ ลูกน้องเหยียนหลงที่อยู่ในละแวกเขตเหยียนหวง ต่างได้ยินข่าวก็รีบรุดมา มีจำนวนประมาณสองถึงสามร้อยคน เต็มด้านนอกด้านในไปหมด

หลินอิ่งกวาดตามองแวบหนึ่งด้วยสีหน้าสงบนิ่ง เรียกได้ว่ามากันอย่างล้นหลาม หน้าต่างกระจกที่กั้นห้องอาหาร สามารถมองเห็นได้ว่าที่ด้านนอกยังมีชายในชุดสูทสีดำกลุ่มหนึ่งรอคอยที่จะเข้ามา

“บัดซบ ไอ้โง่ที่ไหนกัน? ถึงกับกล้าไม่เคารพท่านเหยียน?”

ชายในชุดสูทที่นำหน้าพุ่งเข้ามาตะโกนด่าฮาเดส ท่าทางค่อนข้างลำพองตน

เขาถือปืนสีดำกระบอกหนึ่งไว้ในมือ ดวงตามองสำรวจถังฮุยกับหลินอิ่ง แววตาเปลี่ยนเป็นเหี้ยมเกรียมถึงขีดสุด พลางกล่าวว่า “ฮุยสุง? ยังมีไอ้คนแซ่หลินอะไรนั่นอีก? ใช่ ที่พูดถึงก็คือแกนั่นแหละ แกกำลังมองแม่แกอยู่เหรอ? คอยดูฉันจะยิงแกให้ตาย!”

“ฉันให้เวลาแค่สิบวินาที หากไอ้โง่อย่างพวกแกสองคนยังไม่ปล่อยคนอีก ฉันจะยิงพวกแกสองคนให้พรุนเดี๋ยวนี้เลย!”

อาศัยว่ามีคนมากกว่า บุกเข้ามาในที่แคบๆ เช่นนี้ คำพูดยิ่งมาก็ยิ่งลำพองใจ

หลินอิ่งหันไปมองด้วยสายตาเย็นชา ฉับพลันนั้นก็สบัดมือหนึ่งครั้ง ถ้วยชาที่ถืออยู่ในมือปลิวออกไป

เกิดเสียงพลั่กดังขึ้น

ถ้วยชาปลิวโดนศีรษะชายในชุดสูทที่กำลังร้องตะโกนโวยวายเข้าอย่างจัง พริบตาศีรษะพลันแตกร้าว เลือดไหลอาบ ร่างถอยร่นไปหลายก้าว ท่าทางอเนจอนาถเป็นอย่างยิ่ง

“แม่งเอ๊ย รนหาที่ตาย! มึงยังกล้าเขวี้ยงถ้วยชามาโดนหน้ากูอีก?” ชายในชุดสูทที่เป็นหัวหน้าพลันเดือดดาล ควักปืนสีดำกระบอกหนึ่งออกมาจากในเสื้อทันที จากนั้นก็เล็งไปที่หลินอิ่ง

เกิดเสียงดังครึกโครม หัวหน้าที่นำพากลุ่มชักปืน เวลานี้บอดี้การ์ดในชุดสูทสีดำหลายสิบคนที่บุกเข้ามา ต่างชักปืนออกมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ทั้งหมดจ้องไปที่หลินอิ่งด้วยแววตาดุร้าย สถานการณ์ดูน่าหวาดหวั่นเป็นพิเศษ

“ฮัวศือ? แกคิดจะทำอะไร เหยียนหลงลูกพี่นายอยู่ในกำมือฉันนะ แกกล้ายิงหรือ?” ถังฮุยพูดเสียงเย็น มองคนกลุ่มใหญ่ที่บุกเข้ามาราวกับเผชิญหน้ากับศึกใหญ่

เขารู้จักชายสักลายที่นำพากลุ่มคนนี้ มีฉายาว่าฮัวศือ เป็นลูกสมุนอันดับหนึ่งที่อยู่ใต้อาณัติของเหยียนหลง ขึ้นชื่อว่าโหดร้ายในโลกสีเทา ทำอะไรไม่สนผลที่ตามมา บ้าบิ่นไม่ยั้งคิด

“ฮุยสุง หากพวกแกไม่อยากตายล่ะก็ ก็รีบปล่อยคน แล้วยอมจำนนซะ!” ฮัวศือขู่

หลินอิ่งมองฮัวศือด้วยสีหน้าเป็นปกติ กล่าวเสียงเรียบว่า “แกทำได้ก็ลองยิงดู”

ฮัวศือหรี่ตา จ้องหลินอิ่งด้วยสายตาเย็นเยียบ

เวลานี้ เกิดเสียงตึงดังขึ้น จู่ๆ ฮาเดสก็สะบัดมือจับเหยียนหลงกระแทกลงกับโต๊ะไม้ ควานเจอปืน Desert Eagle หนึ่งกระบอกจากบั้นเอว เอาปากกระบอกปืนจ่อที่หน้าผากเหยียนหลงอย่างทันท่วงที ทำเขาตกใจจนสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง

“อย่า! พวกแกอย่ามาวุ่นวาย!” เหยียนหลงเหงื่อท่วมศีรษะ รีบเอ่ยปากพูด “ฮัวศือ บอกให้คนของแกวางปืนลง! ได้ยินไหม!”

ภายใต้สีหน้าลังเลของฮัวศือ เขาก็โบกมือ จากนั้นชายในชุดสูทกลุ่มนี้ก็วางปืนลง แต่ไม่ได้เก็บปืน ยังคงรักษาความระแวดระวังระดับสูงไว้ สายตาแต่ละคนจ้องมองหลินอิ่งอย่างดุร้าย

“หลินอิ่ง ให้บอดี้การ์ดของแกวางปืนลง ฉันรับรอง วันนี้จะให้แกออกไปจากเขตเหยียนหวงอย่างปลอดภัยไร้รอยขีดข่วน” เหยียนหลงเอ่ยปากพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เรื่องของแกกับสวีชิงซง ฉันช่วยแกไกล่เกลี่ยได้ เปลี่ยนจากศัตรูมาเป็นมิตรกัน เป็นยังไง?”

เห็นหลินอิ่งไม่แสดงท่าทีอะไร ภายในใจเหยียนหลงก็ยิ่งลนลาน พลางกล่าวว่า “หลินอิ่ง ฉันเหยียนหลงอยู่ที่ตี้จิงเป็นคนมีหน้ามีตา วันนี้ให้คำมั่นต่อหน้าคนมากมายขนาดนี้ นั่นคือการพูดแล้วไม่คืนคำ พูดจริงทำจริง ขอเพียงนายปล่อยคน ฉันรับรองว่าเรื่องราวต่อจากนี้ จะไม่ไปหานายคิดบัญชีภายหลังอีก”

เหยียนหลงรู้จักกลัวบ้างแล้ว ช่วยไม่ได้ บุคลิกของหลินอิ่งแข็งแกร่งเกินไป!

คนของเขาต่างพกปืนรุดมาถึงที่นี่กันหมดแล้ว หลินอิ่งกลับยังคงเผด็จการขนาดนี้

หากยังฝืนต่อไป เหยียนหลงไม่กล้ารับประกันว่าชีวิตตนเองจะยังรักษาไว้ได้หรือไม่

“หลินอิ่ง หรือนายอยากจะให้ปลาตายตาข่ายขาดจริงๆ ใช่ไหม?” เหยียนหลงกล่าวเสียงเย็น “ต่อให้นายกำจัดฉันกับสวีชิงซง ลูกน้องฉันก็จะบดกระดูกนายจนกลายเป็นขี้เถ้าเช่นกัน!”

“ปลาตายตาข่ายขาด?” หลินอิ่งส่ายหน้า “แกมีความสามารถขนาดนั้นเหรอ?”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads แทงบอลออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน