ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 288 รู้ไหมว่าพูดกับใครอยู่

บทที่ 288 รู้ไหมว่าพูดกับใครอยู่

บทที่ 288 รู้ไหมว่าพูดกับใครอยู่

พูดจบ บอดี้การ์ดของนิ่งจองเสียนทั้งสองแถว ก็วิ่งเข้าไปเอาคน จะจับตัวหลินอิ่ง

“นิ่งจองเสียน แกกล้าลงมือก็ลองดู” ถูซานตะโกน

โรงแรมหลงเถิงยังไงก็เป็นเขตจงเทียน วันนี้ถ้านิ่งจองเสียนกล้าเอาตัวท่านอิ่งไป

เขาถูซาน อีกหน่อยก็ไม่ต้องอยู่แล้ว

“ทำไม? ถูซาน ให้ตายก็จะปกป้องหลินอิ่ง?” นิ่งจองเสียนตะโกนเย็นชา “แกต้องรู้ดี ถ้าแกมีเรื่องกับตระกูลนิ่งของเรา อีกหน่อยจะไม่มีจุดยืนที่ตี้จิง”

“แกอย่าคิดว่าที่นี่เป็นเขตจงเทียน ฉันจะทำอะไรแกไม่ได้” นิ่งจองเสียนพูด “คนที่ฉันพามา ล้อมที่นี่ไว้หมดแล้ว”

“อะไร?” ถูซานสีหน้าตกใจ “นิ่งจองเสียน แกจะเอาจริงใช่ไหม? กล้าลงมือในเขตจงเทียน?”

เขาคิดไม่ถึง ว่านิ่งจองเสียนอยู่ดีๆ ก็พาคนมาพร้อม จะเอาจริงให้ถึงตายใช่ไหม กล้าลงมือในเขตจงเทียน

“นิ่งจองเสียน แกต้องเข้าใจ ที่นี่เป็นเขตจงเทียน แกทำแบบนี้ เท่าไม่ไม่เห็นลูกพี่หยูอยู่ในสายตา” ถูซานพูดเสียบเย็นชา

ต้องรู้ว่า เขาเป็นคนของหยูจื๋อเฉิง ทำร้ายคนของลูกพี่หยูในเขตจงเทียน นั่นก็เท่ากับว่าหาเรื่องเจ้าถิ่น

“เหอะ ทางด้านหยูจื๋อเฉินฉันก็ต้องมีคำอธิบายอยู่แล้ว” นิ่งจองเสียนพูดเย็นชา “แต่ว่า ลูกสาวฉันเป็นหัวอกของฉัน แกกล้าหาเรื่องก่อน อย่าหาว่าฉันไม่เกรงใจ”

กำลังพูดอยู่ ก็มีเสียงเคาะประตู

ชายใส่แว่นดำเดินเข้ามา พูดกับนิ่งจองเสียนอย่างเคารพ “ท่านประธาน เคลียร์โรงแรมหลงเถิงเรียบร้อยแล้ว ทุกคนเตรียมตัวรอแล้ว จะจัดการยังไงกับถูซานแล้วก็ไอ้หลินอิ่งนั่น ท่านสั่งได้เลยครับ”

พอเห็นชายแว่นดำเดินข้าวมา สีหน้าถูซานก็เปลี่ยนไป รู้สึกสถานการณ์ไม่ดีแล้ว

ชายแว่นดำคนนี้ถูซานรู้จัก สมญานามว่าเฮยเป้า เป็นคนมีอำนาจระดับต้นๆในโลกแห่งความมืดเขตเสิ่นหนงแห่งตี้จิง เตรียมมาขนาดนี้ นิ่งจองเสียนเอาจริงแล้ว

“ประธานหลิน สถานการณ์ไม่ดีแล้ว นิ่งจองเสียนเรียกคนในวงการมาแบบนี้ มันบ้าไปแล้ว เหมือนลูกสาวตัวเอง พูดอะไรก็ไม่ฟัง” ถูซานพูดเสียงต่ำข้างหลินอิ่ง “ไม่เรียกคนมา เกรงว่าจะจัดการลำบาก……”

หลินอิ่งยิ้มอย่างเย็นชา

ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น มิน่านิ่งเสี่ยวชิงถึงได้อวดดีขนาดนี้ ที่แท้ก็มีพ่อเป็นแบบอย่างนี่เอง

อยู่ดีๆก็เรียกคนมาทำเป็นเรื่องราวใหญ่โต

“ถูซาน ส่งตัวหลินอิ่งออกมา แล้วแกค่อยมาขอขมาลูกสาวฉันดีๆ เห็นแก่หน้าหยูจื๋อเฉิง วันนี้ฉันจะปล่อยแกไป” นิ่งจองเสียนพูด

“สำหรับหลินอิ่ง ไม่ว่าใครมาก็ปกป้องมันไม่ได้ กล้าทำร้ายลูกสาวฉัน รังแกลูกสาวฉัน แบบนี้ก็รอตายได้เลย” นิ่งจองเสียนพูด สายตาก็มองไปที่หลินอิ่ง

“นิ่งจองเสียน คนให้แกไม่ได้แน่ อีกอย่าง แกมันไม่แยกแยะถูกผิดก็มาทำตัวอวดดี แกนึกว่าฉันกลัวแกเหรอ?” ถูซานโมโหตะโกนด่าไปสองคำ เดินไปที่ประตู หยิบมือถือขึ้นมาโทร

นิ่งจองเสียนเรื่องเล็กแค่นี้ทำเป็นเรื่องใหญ่โต ทำเหมือนคนอื่นทำอะไรลูกสาวตัวเอง

ชิ้ว

ตอนที่ถูซานหยิบมือถือออกมา

เฮยเป้าพาบอดี้การ์ดสองคน พุ่งเข้าไปจับคน จับไว้คนละข้าง จับไหล่ของถูซานไว้สองข้าง

“ถูซาน แกยังอยากเรียกคน? คิดว่าฉันจะให้โอกาสแกเหรอ” นิ่งจองเสียนพูดเรียบเฉย

ถูซานสีหน้าโมโห โดนจับไว้แล้ว ยังไม่ได้โทรเรียกลูกน้องเลย

“นิ่งจองเสียน แกรนหาที่ตายใช่ไหม? ฉันขอบอกแก ประธานหลินไม่ใช่คนที่แกจะมีเรื่องด้วยได้” ถูซานพูดเสียงโมโห

“คนที่ฉันมีเรื่องด้วยไม่ได้? หรือว่าไอ้หลินอิ่งนี่มันเป็นญาติของหยูจื๋อเฉิง?” นิ่งจองเสียนยขมวดคิ้ว พูดอย่างเฉื่อยชา “นั่นก็ไม่มีประโยชน์ หยูจื๋อเฉิงมาด้วยตัวเองก็ไม่มีประโยชน์ วันนี้ต้องทำให้ลูกสาวฉันพอใจ”

เห็นสถานการณ์แบบนี้แล้ว นิ่งเสี่ยวชิงก็ยิ้มอย่างพอใจ “หลินอิ่ง ถูซาน บอกแล้วว่าให้แกสองคนอย่าอวดดี พวกแกยังหาเรื่องถึงขั้นนี้ ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา”

“พ่อ พ่อสั่งคนไปทำให้หลินอิ่งมันคุกเข่าเลย จากนั้นก็ตบหน้ามัน ให้มันยอมรับผิด” นิ่งเสี่ยวชิงพูด

“วางใจได้ วันนี้หลินอิ่งมันหนีไม่รอดแน่” นิ่งจองเสียนพูดจริงจัง

พูดแล้ว นิ่งจองเสียนก็เดินเข้าไปหาหลินอิ่ง สีหน้าเคร่งขรึม พูดด้วยน้ำเสียงออกคำสั่ง “ฉันเห็นแก่ที่แกยังอายุน้อยไม่รู้เรื่อง และเห็นแก่หน้าหยูจื๋อเฉิง จะไว้ชีวิตแก ตอนนี้ ไปคุกเข่าขอโทษต่อหน้าลูกสาวฉันเดี๋ยวนี้”

“ถ้าไม่พอใจ ไม่ยอมคุกเข่า แกก็อย่าหวังที่จะได้เห็นตะวันพรุ่งนี้เลย” นิ่งจองเสียนพูดอย่างมีเหตุมีผล

หลินอิ่งเริ่มรู้สึกสนใจ ยกไวน์ขึ้นดื่ม แล้วยิ้มอย่างเย็นชา

“ภัยมาถึงหัวแล้ว แกยังยิ้มอีกเหรอ?” นิ่งเสี่ยวชิงมองหลินอิ่งอย่างดูถูก “ฉันไม่รู้จริงๆว่าแกเอาความมั่นใจมาจากไหน”

“นี่ เสี่ยวชิง เรื่องนี้มันจะใหญ่เกินไปไหม ทุกคนเป็นเพื่อนร่วมห้องกัน ต่างคนต่างถอยหนึ่งก้าว?” จางฉีโม่มองนิ่งเสี่ยวชิง พูดจริงจัง

“ฉีโม่? ถอยคนละก้าว? เธอกำลังขอร้องฉันเหรอ?” นิ่งเสี่ยวชิงมองจางฉีโม่อย่างได้ใจ พูดอย่างเฉื่อยชา “เอาอย่างนี้ ฉีโม่ ฉันเห็นแก่ความเป็นเพื่อน เธอมาขอร้องฉัน แล้วก็ยอมรับว่าสามีเธอไร้น้ำยา ถ้าแบบนี้ ฉันก็จะปล่อยพวกเธอไป”

“ระวังนะ ความอดทนฉันมีขีดจำกัด อยากขอร้องฉันก็เร็วหน่อย ถ้าฉันเปลี่ยนใจ เธอขอร้องฉันก็ไม่มีประโยชน์” นิ่งเสี่ยวชิงพูดอย่างได้ใจ

“ฉีโม่ ไม่ต้องสนใจเขา” หลินอิ่งพูดเรียบเฉย

ฉีโม่พยักหน้า เธอรู้ว่าหลินอิ่งมีวิธีจัดการเรื่องนี้ได้ เพียงแค่ว่าเธอไม่อยากให้หลินอิ่งทำให้เรื่องราวใหญ่โต

“ไม่ต้องสนฉัน? ได้ หลินอิ่ง แกนี่มันปากแข็งนะ แกนึกว่าแกเป็นใคร? ก็แค่หมาจรจัดตัวเดียวเท่านั้น” นิ่งเสี่ยวชิงพูดอย่างโมโห

เธอเห็นท่าทางยโสไม่ยอมก้มหัวของหลินอิ่งแล้วก็รู้สึกไม่พอใจ

“พ่อ ไม่มีอะไรต้องคุยกับพวกมันแล้ว ลงมือเลย จัดการให้ไอ้หลินอิ่งนี่คุกเข่าลง แล้วพากลับ” นิ่งเสี่ยวชิงพูดดุดัน

นิ่งจองเสียนมองไปที่หลินอิ่ง พูดว่า “ลูกสาวฉันเป็นคนมีเหตุมีผล พวกแกยังบีบให้เธอโมโหขนาดนี้ได้ ก็รู้ว่าพวกแกมันหน้าด้านขนาดไหน ให้โอกาสแกแล้ว ยังกล้ามาอวดดี สมควรตายจริงๆ”

“นิ่งจองเสียน แกรู้ไหมว่าแกพูดกับใครอยู่?”

ถูซานตะโกนพูด ถึงแม้เขาจะถูกบอดี้การ์ดสองคนจับตัวไว้ แต่ก็ยังไม่ได้มีความกลัวอะไร

“พูดกับใคร? เหอะเหอะ” นิ่งจองเสียนส่ายหน้า “ก็แค่ลูกน้องรับใช้ไร้น้ำยาคนเดียว? อย่างมาก ก็มีความสัมพันธ์กับหยูจื๋อเฉิงบ้าง?”

พูดจบ นิ่งจองเสียนโบกมือ “เฮยเป้า จัดการไอ้หลินอิ่งนั่น ให้มันคุกเข่าลง จัดการแขนข้างหนึ่งก่อน”

ชายแว่นดำที่ชื่อเฮยเป้า หมุนคอตัวเอง หยิบปืนออกจากเสื้อ เดินเข้าไปหาหลินอิ่ง

หลินอิ่งนั่งกับที่ไม่ขยับ ร่างสูงใหญ่คนหนึ่งเดินออกจากข้างกายหลินอิ่ง

บอดี้การ์ดชุดดำที่ไม่ได้พูดอะไรเลย เข้าไปขวางหน้าเฮยเป้าไว้

หลินอิ่งพูดเสียงเย็นชา

“จัดการพวกมันพิการไปเลย”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads แทงบอลออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน