ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 324 ไม่ได้เกิดมาเพื่อการแย่งชิง

บทที่ 324 ไม่ได้เกิดมาเพื่อการแย่งชิง

“หา? ผู้อาวุโสปฏิเสธคนมาเยี่ยม? นี่……”

“คนใหญ่คนโตในตี้จิงมากันมากมายขนาดนี้ ต่างก็เอาของล้ำค่ามามอบให้ แค่บอกว่าปฏิเสธง่ายๆเพียงคำเดียว นี่มัน หยิ่งยโสขนาดไหนกัน”

“นี่จะวางมาดใหญ่โตเกินไปไหม? ผู้ดีวงศ์ตระกูลในตี้จิง ตัวแทนของแต่ละตระกูลต่างก็มากันครบ ผู้อาวุโสอันลึกลับคนนี้ ไม่ปรากฏตัวมาเห็นเลย?” ชายวัยกลางคนบุคลิกดีคนหนึ่งพูดอย่างตะลึง

แขกที่นั่งในงานทั้งหมด ต่างก็ตะลึงกับคำพูดของนิ่งซวน ต่างก็รู้สึกเสียหน้า

พวกเขาที่นั่งในนี้ มีใครบ้างที่ไม่ใช่คนมีชื่อเสียง อำนาจทรัพย์สินเงินทองล้นฟ้า?

ครั้งนี้ที่มาร่วมงานตระกูลนิ่ง ต่างก็เอาของขวัญอันล้ำค่ามา หวังจะได้พบโฉมหน้าที่แท้จริงของผู้อาวุโสตระกูลนิ่งคนนี้ เพื่อหวังจะได้มีโอกาสประจบ แต่กลับไม่ได้เห็นแม้แต่คน?

“ให้นิ่งซวนออกหน้า ดูแบบนี้ ผู้อาวุโสคนนี้อยากช่วยนิ่งซวนให้ครองอำนาจของตระกูลนิ่งต่อจากนี้ ส่วนเขา จะเป็นจักรพรรดิของตระกูลนิ่ง” ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่เห็นอะไรมามากแล้วพูดขึ้นมา “ช่างกล้าหาญเหลือเกิน”

คนในงานต่างก็นั่งถอนหายใจ พวกเขาต่างก็เป็นผู้ใหญ่ที่เห็นอะไรมาพอสมควรแล้ว ขณะเดียวกันต่างก็เข้าใจกันแล้ว ผู้อาวุโสตระกูลนิ่ง ต่อจากนี้คนนี้ก็คือจักรพรรดิของตระกูลนิ่ง ทุกคนต่างรู้สึกว่า ตำแหน่งฐานะของพวกเขา ยังไม่มีสิทธิ์ได้เจอเขา

“นิ่งซวน คุณไปรายงานผู้อาวุโสหน่อย ขอเชิญผู้อาวุโสออกมาพูดสักคำ ให้พวกเราได้มีโอกาสแสดงความยินดี” ชายวัยกลางคนคนหนึ่งลุกขึ้น พูดอย่างจริงจัง

“คำพูดมีเหตุผล นิ่งซวน ไปรายงานผู้อาวุโสหน่อย พวกเราต่างก็เคารพผู้อาวุโส ถึงได้มาพบด้วยตัวเอง”

ชายวัยกลางคนอีกคนลุกขึ้นพูด

“นิ่งซวน ทุกคนในงาน ต่างก็เป็นคนมีหน้ามีตาในสังคมตี้จิง ผู้อาวุโสจะไม่ให้หน้ากันหน่อยเลยเหรอ?”

พวกเขาเหล่านี้มางานของตระกูลนิ่ง ก็ต้องอยากรู้สถานการณ์ของตอนนี้ของตระกูลนิ่งแห่งตี้จิงอยู่แล้ว ถ้าสามารถเข้าถึงตัวผู้อาวุโสตระกูลนิ่งก็ยิ่งดี เพราะว่า พวกเขาเหล่านี้ซึ่งเป็นตระกูลระดับหนึ่งระดับสองในตี้จิง จะอยู่ในสังคมตี้จิงแห่งนี้ ก็ต้องพึ่งท่าเรือของตระกูลนิ่งแน่นอน

พูดไปแล้ว ล้วนมาเพื่อกอดขาใหญ่ของตระกูลนิ่งทั้งนั้น ปรากฏว่า ไม่ได้เจอองค์พระอย่างหลินอิ่ง ในใจจะไม่รีบร้อนได้ยังไง?

นิ่งซวนขมวดคิ้ว เขารู้ว่าต้องมีคนไม่พอใจแน่นอน

“ทุกท่าน ผู้อาวุโสได้เขียนหนังสือไว้ให้ เพื่อแสดงทัศนคติของตระกูลนิ่งต่อวงศ์ตระกูลผู้ดีในตี้จิงต่อจากนี้” นิ่งซวนพูดด้วยสีหน้าหนักแน่น

พูดไป นิ่งซวนก็ขยับมือ ยกหนังสือที่หลินอิ่งเขียนให้ แขวนไว้ในตำแหน่งที่เห็นได้ชัดเจนของห้องรับรองอาคารนิ่งซื่อ”

“ป้ายตัวหนังสือนี้ผู้อาวุโสเขียนไว้เพื่อเตือนสติตระกูลนิ่ง ทุกท่าน ขอให้ชื่นชมกันอย่างระมัดระวัง” นิ่งซวนพูดอย่างจริงจัง

ทันใดนั้น สีหน้าของทุกคนในงานต่างก็เคร่งเครียด มองไปที่ตัวหนังสือนั้น

“ผมไม่ได้เกิดมาเพื่อการแย่งชิงชื่อเสียง ขี้เกียจจนไม่อยากสร้างบันไดทองมาอวด”

“ข้าราชการชั้นสูงก็เหมือนหมูหมา ล้วนเป็นเศษเน่าเหม็นภายใต้มีด”

ลายมืออันสวยงามดั่งมังกรบิน แรงปากกาอันแข็งแกร่ง เหมือนอำนาจของม้าเหล็ก ทำให้ทุกคนรู้สึกตะลึงในใจ

ทุกคนต่างมองไปที่ตัวหนังสือนั้น รู้สึกเหมือนจะมีมีดลอยออกมาจากหนังสือนั้นทิ่มเข้ากลางอกได้ตลอดเวลา แรงอาฆาตเต็มที่ พวกเขารู้สึกได้ถึงอำนาจของการเหยียดหยามทั่วแผ่นดินแบบนี้ แต่ละคนต่างก็รู้สึกตัวสั่น

ผู้อาวุโสตระกูลนิ่งท่านนี้ หรือจะเรียกว่าจักรพรรดิตระกูลนิ่ง ดูยิ่งใหญ่มาก

จากตัวหนังสือที่ทิ้งไว้ ทัศนคติของผู้อาวุโสอันลึกลับท่านนี้ แสดงอย่างชัดเจนแล้ว

“แรงปากกาอันเฉียบคมขนาดนี้ ปรมาจารย์แท้ๆ ไม่ได้เกิดมาเพื่อการแย่งชิงชื่อเสียง ไม่หวังในอำนาจเงินทอง…..” ผู้สูงอายุผมขาวท่านหนึ่ง พูดพึมพำขึ้นมา แววตาเต็มไปด้วยความตะลึง “นี่มันจิตในอันเหลื่อมล้ำขนาดไหน เป็นคนระดับสูงแค่ไหน…..”

“พ่อ กลอนที่ผู้อาวุโสตระกูลนิ่งท่านนี้ทิ้งไว้ มันหมายความว่าอะไรหรือ? หนูเหมือนดูไม่ค่อยเข้าใจ แต่รู้สึกว่า ตัวหนังสือนั้นทรงพลังมาก ทักษะการเขียนหนังสือชั้นสูง” ข้างกายชายชรานั้น มีหญิงสาวหน้าตาสวยงามคนหนึ่งแววตาประกาย พูดจาชื่นชม ถามอย่างสงสัย

“กลอนนี้พูดได้ว่าบ้าคลั่งไม่เกรงกลัวใคร น่าเกรงขามเหนือโลก แต่ก็มีบุคลิกอันสูงส่งเหนือคนทั่วไปที่ไม่ยุ่งเกี่ยวทางโลก” คนแก่ผมขาวแววตากะพริบ พูดอย่างเชื่องช้า “จักรพรรดิตระกูลนิ่งท่านนี้หมายความว่า ฉันเกิดมาไม่ได้เพื่อไปแย่งชิงชื่อเสียงอำนาจ และไม่ได้มาเป็นพระราชาในตี้จิง ดังนั้นจึงขี้เกียจสร้างบันไดทองคำหน้าประตู เพื่อโอ้อวดของเหล่านี้ พวกเศรษฐีข้ารัชการชั้นสูงในตี้จิง ในสายตาฉันก็เป็นเพียงฝูงหมูหมา มีดเดียวก็ฆ่าได้แล้ว”

“คนคนนี้บ้าคลั่งเกินไปแล้ว” สาวสวยคนนี้เม้มปาก พูดอย่างประหลาดใจ

“เหอะ คนคนนี้ มีต้นทุนในการบ้าคลั่ง” คนแก่ผมขาวพูด “มีตัวหนังสือนี้แขวนไว้ที่ตระกูลนิ่ง เพื่อรักษาความสงบ คนรุ่นหลัง ไม่กล้าก้าวก่าย”

พูดไป ชายผมขาวลุกขึ้น พูดอย่างเกรงใจ “ผมพูดมากไปแล้ว ของขวัญแค่นี้ จะเชิญคนระดับท่านผู้อาวุโสออกมารับแขกได้อย่างไร? นิ่งซวน ช่วยฉันบอกผู้อาวุโสหน่อยนะ ถ้ามีโอกาส ฉันนายเจียงคนนี้จะเข้าไปทักด้วยตัวเอง”

นิ่งซวนสีหน้าอึ้งไปครู่หนึ่ง ตอบอย่างเกรงใจ “คำพูดผมจะนำไปบอกต่อให้ครับ ท่านเจียง เดินทางปลอดภัยครับ”

“ขอบคุณมาก” ผู้อาวุโสผมขาวพยักหน้าอย่างเกรงใจ มีบอดี้การ์ดชุดทหารท่าทางน่ากลัวสองนายปกป้องอยู่ เดินออกจากอาคารช้าๆ

จากคำพูดที่ผู้อาวุโสผมขาวท่านนี้ได้พูดไป ทุกคนในงานต่างก็เงียบ

ผู้อาวุโสผมขาวท่านนี้ เป็นถึงรองบัญชาการในที่ว่าการเมืองตี้จิง ตำแหน่งระดับสูงในรัชกาล ทุกคนที่นั่งในนี้ อำนาจสูงสุด เป็นผู้ใหญ่ที่มีอำนาจที่สุดในนี้

แม้แต่คนมีอำนาจสูงขนาดนี้ ยังต้องตะลึงกับหนังสือที่หลินอิ่งเขียนไว้ แล้วนับประสาอะไรกับพวกเขาละ? คราวนี้ ก็ไม่มีใครกล้าเอาฐานะตำแหน่งมีอ้างแล้ว อยากให้หลินอิ่งออกมา

เพราะว่า ในใจพวกเขารู้ดี พวกเขาไม่มีสิทธิ์จริง ให้จักรพรรดิตระกูลนิ่งออกมาพูด

…….

งานเลี้ยงตระกูลนิ่งยังไม่จบ หลินอิ่งก็กลับไปถึงจงเทียนซิงเฉิง

แผนผังในตระกูลนิ่งแห่งตี้จิงจัดเรียบร้อยแล้ว ทำลายสามยักษ์ใหญ่ของตระกูลนิ่งแล้ว ลงโทษนิ่งจองเป่าสองคนต่อหน้าคนทั้งตระกูลนิ่งเพื่อเป็นตัวอย่าง ทำถึงขั้นนี้แล้ว นิ่งซวนเป็นตัวแทนเขาในการควบคุมอำนาจตระกูลนิ่ง

สำหรับเหล่าตระกูลในตี้จิง ก็เขียนป้ายหนังสือนี้ไว้เพื่อแสดงทัศนคติ

ขอเพียงผู้อาวุโสอันลึกลับคนนี้ยังอยู่ ตี้จิง ก็ไม่มีใครกล้าทำอะไรตระกูลนิ่ง

ต่อมา จะได้มีเวลา ไปจัดการเรื่องของจี้ฉงซาน อีกอย่าง กงจิ่วผู้ลึกลับคนนั้น ก็ต้องรีบจับตัวให้ได้

เพราะว่า เขาทำลายงานของกงจิ่วในตระกูลนิ่ง องค์กรนี้ไม่มีวันจบแค่นี้แน่นอน ไม่รู้ว่าครั้งต่อไปจะมีแผนการอะไรอี

หลินอิ่งนั่งหลับตาพักผ่อนอยู่ที่นั่งเบาะหลัง ในหัวคิดถึงภาพบางอย่าง

สิบนาทีผ่านไป

รถจอดอยู่ใต้อาคารดวงดาว หลินอิ่งลงจากรถ

แต่กลับพบว่า หน้าอาคารมีรถสปอร์ตสีสันสดใสจอดอยู่คันหนึ่ง รอบด้านล้อมรอบไปด้วยรถRolls Royceสีดำมากมาย ดูแล้วอลังการ

ติ๊ดติ๊ด

เวลาเดียวกัน โทรศัพท์ของหลินอิ่งดังขึ้น

“ฮัลโหล ท่านอิ่ง ยุ่งอยู่ไหมครับ? ผมอยู่อาคารซิงเฉิง ที่นี่ มีคนมา มีคนมาหาท่าน” ในโทรศัพท์ เป็นเสียงของถูซานที่พูดอย่างตื่นเต้น

“ตื่นเต้นอะไร ใครมาหาผม?” หลินอิ่งมองไปที่ทีมรถหน้าอาคาร เปิดปากถาม

“ครับ คนของตระกูลจ้าว บอกว่าเป็นคู่หมั้นของท่าน” ถูซานพูดอย่างตื่นเต้น

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads แทงบอลออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน