ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 387 เพื่อนเก่าคนหนึ่ง?

บทที่ 387 เพื่อนเก่าคนหนึ่ง?

“เวทีมวย?” หลินอิ่งมุมปากยิ้มขึ้น “นายมีสิทธิ์ขึ้นเวทีมวยกับฉัน?”

“”แกพูดอะไร?” โม่เก๋อติงจ้องหลินอิ่งสายตาเย็นชา “แกนี่มันช่างอวดดีจริงๆนะ? แกคิดว่าตัวเองเก่งกาจไร้คู่ต่อสู้เหรอ?”

“ประธานโม่ ฉันว่าไอ้บ้านนอกนี่มันกลัวแล้ว ยังแกล้งทำเป็นยอดฝีมือเก่งกาจอีก”

หนีซิงพูดจาเสียดสี “ความคิดมันแค่นี้ฉันจะไม่รู้ได้ยังไง ปากแข็ง ทั้งๆที่กลัวลูกน้องของประธานโม่ฝีมือดี ทำจนมันพิการ”

“ฮาฮา หนีซิงพูดถูก” โม่เก๋อติงหัวเราะ มองหลินอิ่งด้วยสายตาหยอกล้อ “แกไม่กล้าก็พูดมาตามตรง กลัวแล้ว? แกเห็นหรือยัง แม้แต่ผู้หญิงประเทศหลุงของพวกแกยังดูถูกไอ้ขี้ขลาดอย่างอก ฉันบอกจะซ้อมแกให้พิการ แกไม่กล้าแม้แต่ขึ้นเวที?”

พูดไป โม่เก๋อติงก็จุดซิการ์อีกมวนอย่างสบายใจ มองไปที่คริส พูดว่า “คริส อย่าบอกว่าฉันไม่ให้โอกาสนาย สู้กันอย่างผ่าเผยบนเวที ขอเพียงพวกแกมีความสามารถเอาชนะลูกน้องฉันได้ บริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์จื่อจินให้นายก็ได้”

“การแข่งขันบนเวที พวกแกคงไม่ใช่ไม่กล้าหรอกนะ?” โม่เก๋อติงพูดจาเสียดสี “ถ้าเป็นแบบนี้ นายทุนใหญ่ที่อยู่หลังแก ก็ขยะไปไหม เรื่องแค่นี้ยังไม่กล้าเล่น?”

คริสสีหน้าเคร่งเครียด ไม่รู้ว่าโม่เก๋อติงจะเล่นไม้ไหนอีก กลับคิดจะเอาการต่อสู้บนเวลามาตัดสินว่าใครจะได้บริษัท หรือว่าโม่เก๋อติงไปเชิญยอดฝีมือที่เก่งกาจมาจากไหน? มั่นใจว่าจะชนะแน่นอน

“ประธานหลิน ท่านว่า……” คริสหันไปมองหลินอิ่งสีหน้ากังวล

การตัดสินใจสุดท้าย ต้องรอประธานหลินเป็นคนตัดสิน

เขาเป็นลูกน้องเท่านนั้น จะไปกล้าตัดสินใจได้อย่างไร

“อือ? ประธานหลิน?” โม่เก๋อติงหันไปมองหลินอิ่ง สีหน้าสงสัย

เขาสังเกตเห็นรายละเอียดนี้ คริสเรียกหนุ่มประเทศหลุงคนนี้ว่าประธานหลิน ท่าทางเคารพเกรงใจ?

แม้แต่เรื่องพนันขึ้นเวทีต่อสู้ คริสยังไม่กล้าตัดสินใจ ยังต้องถามเด็กหนุ่มคนนี้?

เป็นคู่แข่งเก่าแก่ของคริส โม่เก๋อติงรู้นิสัยของคริสดี

คริสเป็นลูกครึ่งลาตินอเมริกา เกิดในครอบครัวที่ถือว่าค่อนข้างรวย มีศักดิ์ศรีสูงส่ง คิดว่าตัวเองอายุมากกว่าเห็นอะไรมากเยอะ ชอบคิดว่าตัวเองอายุเยอะรู้เยอะแล้วดูถูกคนอื่น

คราวนี้ คริสกลับก้มหัวให้กับเด็กที่อายุน้อยกว่าเขาตั้งยี่สิบสามสิบปี ยังเป็นคนประเทศหลุง? นี่ก็น่าแปลกใจมาก

นอกจาก เด็กหนุ่มประเทศหลุงคนนี้มีความสามารถที่สามารถกดทับคริสไปเลย ถึงทำให้คริสทิ้งศักดิ์ศรีทุกอย่างทิ้ง มาติดตามคนที่เก่งกว่า

หรือว่า ประธานหลินประเทศหลุงคนนี้ ก็คือนายทุนใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังคริส?

โม่เก๋อติงสำรวจดูหลินอิ่งใหม่อีกครั้ง ในใจกำลังครุ่นคิด

“แกมาจากไหนกันแน่? ฐานะอะไร?” โม่เก๋อติงจ้องหน้าหลินอิ่ง เปิดปากถาม “เมื่อก่อนฉันไม่เคยเจอแกมาก่อนเลยใช่ไหม? ไม่รู้ว่าทำไมแกต้องไปช่วยคริส?”

“ฐานะผม คุณไม่มีสิทธิ์รู้” หลินอิ่งพูดเสียงเรียบ “คุณอยากขึ้นเวทีมวย? คิดอยากรนหาที่ตาย ผมก็จะทำให้คุณสมหวัง”

“ฉันไม่มีสิทธิ์? ฉันไม่คู่ควร? แกไอ้ลิงประเทศหลุง อวดดีไม่มีที่สิ้นสุดจริงๆ” โม่เก๋อติงโมโหมาก รู้สึกว่าหลินอิ่งกำลังดูถูกเขา “ฉันไม่สนว่าแกเป็นเทวดามาจากไหน วันนี้แกตายแน่”

ตอนแรกโม่เก๋อติงอยากทดลองถามดู ทำความเข้าใจกับฐานะเบื้องหลังของหลินอิ่ง จะได้จัดการอย่างระวัง

แต่ว่า ท่าทางหลินอิ่งที่ดูถูก ทำให้เขาโมโห รู้สึกว่าตัวเองถูกเหยียดหยาม

“คริส ไม่รู้ว่าแกไปหาคนอวดดีขนาดนี้มาจากไหน คิดว่าเขาคุ้มหัวแกได้? เหอะเหอะ” โม่เก๋อติงหัวเราะเย็นชา “ไอ้แซ่หลิน วันนี้ฉันจะรอดูว่า ใครกันแน่ที่รนหาที่ตาย”

“เวลา สถานที่” หลินอิ่งพูดอย่างเด็ดเดี่ยว

“ก็ในอาคารสุ่ยจิน เมื่อไหร่ก็ได้” โม่เก๋อติงพูดเสียงเย็นชา ในสายตามีแววแห่งความโหดเหี้ยมและได้ใจ

เขาเป็นคนเสนอเรื่องเวทีมวยเอง ก็ต้องเชิญยอดฝีมือที่เก่งกาจมาแน่นอน

ความสามารถของหลินอิ่ง สามารถทำให้บอดี้การ์ดผิวดำของเขาเฟยบี่พ่ายแพ้อย่างง่ายดาย

แต่ว่า คนที่เขาเชิญมาในวันนี้ แม้แต่เฟยบี่สิบคนก็สู้ไม่ได้

หลินอิ่งพูดเรียบเฉย “งั้นก็เรียกคนของคุณมา”

“เหอะเหอะ คุณหลิน มีความมั่นใจมากเลยนะ? คุณคงไม่ได้คิดว่าฮาเดสจะช่วยคุณขึ้นเวทีต่อสู้ได้หรอกนะ? หรือว่าคุณจะขึ้นเวทีเอง?” โม่เก๋อติงพูดด้วยสีหน้าหยอกล้อ “คืนที่ที่เวทีใต้ดิน มีคนใหญ่คนโตในเมืองก่างมาร่วมงานมากมาย ต้องสนุกแน่นอน”

“แต่ก่อนอื่น ผมยังมีเพื่อนเก่าของคริส จะแนะนำให้พวกคุณรู้จัก”

กำลังพูด ก็มีบอดี้การ์ดต่างชาติชุดดำค่อยๆเดินเข้ามา บอดี้การ์ดสองคนเดินอยู่ตรงกลางเข็นรถเข็นคันหนึ่ง

บนรถเข็นเป็นชายลูกครึ่งหน้าซีด ใช้สายตาอันอาฆาตจ้องหน้าคริส

“คริส คุณคงไม่ลืมหรอกนะ เซียวจวง คุณชายเซียว?” โม่เก๋อติงพูดด้วยสีหน้าล้อเล่น

คริสเห็นชายลูกครึ่งที่อยู่บนรถเข็น ขมวดคิ้วเล็กน้อย มองไปที่หลินอิ่ง

“ประธานหลิน เซียวจวนมาแล้ว…….ก่อนหน้านี้ผมเคยรายงานแล้ว เซียวซื่อกรุ๊ปประเทศMในเมืองก่าง มีอำนาจไม่น้อย ก่อนหน้านี้ยังมีปฏิบัติการลอบฆ่าผมไปครั้งหนึ่ง แต่ถูกผมจัดการเรียบร้อยแล้ว” คริสรายงานด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

หลินอิ่งมองไป เซียวจวนที่นั่งอยู่บนรถเข็นตะลึง จากนั้นก็กลายเป็นสายตาอันโกรธแค้น

“คุณยังกล้ามาแสดงตัวต่อหน้าผมอีก?” หลินอิ่งมองไปที่เซียวจวนสายตาเรียบเฉย “ลืมไปแล้วเหรอว่าผมเคยพูดอะไร? กล้าเข้ามาในประเทศหลุงอีกก้าวเดียว ได้ตายไร้ที่ผังแน่”

ตอนอยู่ที่เมืองชิงหยูน เซียวจวนคอยหาเรื่องตลอด สุดท้ายโดยเขาพลิกสถานการณ์ ทำให้เซียวจวนท่อนล่างพิการไป สั่งคนส่งกลับประเทศM

คิดไม่ถึง ว่าเซียวจวนนี่ยังไม่ตายใจ ครั้งนี้ยังมาถึงเมืองก่าง?

“เหอะ คิดไม่ถึงว่าไอ้ลูกเขยไร้น้ำยาอย่างแกจะมาถึงเมืองก่าง ครั้งที่แล้วที่เมืองชิงหยูนเพราะติดกับดักแก อย่าคิดว่ามีคริสคอยช่วยแก แกก็จะต่อต้านเซียวซื่อกรุ๊ปได้” เซียวจวนมองหลินอิ่งสายตาอาฆาต “ในถิ่นเมืองก่างนี้ ฉันจะดูว่าแกจะทำอะไรได้อีก”

ตอนที่เซียวจวนเห็นหลินอิ่งนั้น รู้สึกตกใจ ในใจยังมีความหวาดกลัวที่หลินอิ่งทำไว้ จากนั้นไฟแรงอาฆาตอยากแก้แค้นก็ลุกขึ้น

ตอนแรกเขาฟังโม่เก๋อติงพูด คริสมาที่เมืองก่าง จึงตัดสินใจร่วมมือกับโม่เก๋อติงเพื่อจัดการคริส

แต่คิดไม่ถึง คู่แข่งอย่างหลินอิ่งก็มาเมืองก่าง

“พอดีเลย แกกับคริสมากันพร้อมแล้ว ฉันจะนำสิ่งที่ได้เจอ คืนกลับไปให้พวกแกร้อยเท่า” เซียวจวนพูดด้วยสีหน้าอาฆาต

“คุณชายเซียว คนนี้ก็คือไอ้หนุ่มที่ทำให้ท่านพิการ ที่ท่านพูดก่อนหน้านี้?”

ข้างกายเซียวจวน มีชายวัยกลางคนที่ท่าทางไม่ธรรมดายืนอยู่ สวมชุดจีนโบราณสีเขียว สายตาเฉียบคมดั่งมีด ดูก็รู้ว่าเป็นยอดฝีมือด้านกังฟู

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท