ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 403 ถึงเวลามังกรแท้จริงปรากฏตัวแล้ว

บทที่ 403 ถึงเวลามังกรแท้จริงปรากฏตัวแล้ว

“พ่อบ้านหลี่ ส่งแขก เอาของขวัญที่พวกเขาเอามาคืนกลับไปด้วย ครอบครัวเราไม่ต้องการ” จางฉีโม่พูดอย่างเรียบเฉย ไม่มีอารมณ์ที่จะพูดอะไรกับคนตระกูลจาง

“ครับ”

หลี่ผูเดินออกมา มองหน้าคนตระกูลจางทุกคนในนี้ด้วยสีหน้าเย็นชา

“ทุกท่าน คุณนายหลินไม่อยากคุยกับพวกท่านแล้ว เชิญกลับ” หลี่ผูพูดอย่างไม่เกรงใจ โบกมือเพื่อแสดงท่าเชิญ

จางหงจูนและจางหงซวนสีหน้าลำบากใจ หน้าแดงก่ำ แววตาซ่อนความโหดเหี้ยมอาฆาตไว้ หันหลังเดินออกไป

คนตระกูลจางทั้งกลุ่ม ต่างก็สีหน้าไม่ดี ออกจากคฤหาสน์ตามจางหงจูนทั้งสองไป

“ฉีโม่ นี่ ทำไมลูกถึงได้ไม่เกรงใจคนของตระกูลจางขนาดนี้” ลู่หย่าฮุ่ยพูด ไม่พอใจสำหรับผลลัพธ์นี้อย่างมาก

“พ่อแม่ หนูเหนื่อยแล้ว ต้องการพักผ่อน” จางฉีโม่ถอนหายใจ หันตัวเดินกลับห้องนอน

เธอเหนื่อยมาก เหนื่อยทั้งกายและใจ

จางฉีโม่ไม่มีใจที่จะไปยุ่งเรื่องของตระกูลจาง ทั้งใจคิดแต่เรื่องของหลินอิ่ง

ในใจเธอรู้ดี ไม่มีหลินอิ่ง เธอไม่มีวันมีวันนี้

เรื่องที่เกิดวันนี้ เธอยิ่งรู้ถึงความสำคัญของหลินอิ่งที่มีต่อเธอ ไม่มีหลินอิ่ง บางที ชีวิตของเธอ เป็นไปไม่ได้ที่จะพลิกผันได้สวยงามขนาดนี้

อีกฝั่งหนึ่ง จางหงจูนและจางหงซวนเดินออกจากวิลล่าหิมะมังกร

ทั้งสองคนสีหน้าโมโห ในตามีแต่ความขมขื่น

“โถ่เอ้ย ขายหน้าจริงๆ กลับมาถูกคนรุ่นลูกอย่างจางฉีโม่ ชักสีหน้าใส่ ต่อหน้าพวกเราทุกคน?” จางหงจูนพูดอย่างไม่พอใจ

“ช่วยไม่ได้ จางฉีโม่โชคเข้าข้าง เจริญรุ่งเรืองแล้ว พวกเราสู้ไม่ได้แม้แต่น้อย ครอบครัวเขา แม้แต่ชื่อบริษัทก็ไม่เอา ปัญหาบริษัทเรา จะแก้ไขยังไง” จางหงซวนพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“พวกคุณสองคนคือลุงของจางฉีโม่ ฟังนะ พวกคุณอยากจัดการครอบครัวของจางฉีโม่ไหม?”

เวลานี้ ชายชุดดำคนหนึ่งเดินมาด้วยสีหน้าเย็นชา มองจางหงจูนสองพี่น้องด้วยสีหน้าเย็นชา

“คุณคือ?” จางหงจูนถามด้วยความสงสัย

“พวกคุณสองคนถ้าไม่อยากให้บริษัทล้มละลาย อยากทำให้บริษัทจางฉีโม่ล่ม? ก็ทำตามที่ผมพูด แค่นั้นก็พอ” ชายชุดดำพูดอย่างเย็นชา

……

เมืองก่าง ยามค่ำคืน

ท้องฟ้า เต็มไปด้วยดวงดาว

เมืองอันกว้างใหญ่ ตึกสูงตระหง่าน แสงสีเสียงตระการตา

ภายในคอนโดแห่งหนึ่ง ในทางเดินหน้าห้อง628 สายลมพัดแรง กระทบจนดังกึกก้อง

เงาของร่างสองร่างเคลื่อนไหวไปมา ต่อสู้กันไม่หยุด จนทำให้เกิดเสียงกระทบกันกลางอากาศ เป็นเสียงดังสะเทือน

ปัง

เสียงดังปังอย่างแรง ร่างหนึ่งล้มลงไปกับพื้นอย่างแรง ชนจนกำแพงเป็นหลุม

“เอื้อก”

ชายหนุ่มที่ใส่เสื้อทีเชิ้ตสีขาว กระอักเลือดออกมาจากปาก แสดงสีหน้าไม่อยากเชื่อ มองไปที่หลินอิ่ง

หลินอิ่งสีหน้าไม่แสดงอารมณ์ ยืนมือกอดอก ชุดดำปลิวไสว ท่าทางสง่า

“ไม่เลว สามารถต่อสู้กับผมได้ยี่สิบสองท่า” หลินอิ่งพูดเสียงเรียบ

“คุณ คุณเป็นใครกันแน่? ทำไมถึงมาหาถึงที่นี่?” ชายเสื้อทีเชิ้ตถามอย่างสงสัย “คุณเป็นคนฝั่งไหน?”

เขาหลบซ่อนตัวอยู่ในเมืองอันรุ่งเรืองนี้มานานหลายปี ใช้ชีวิตคนธรรมดา ต้องไปทำงานที่บริษัททุกวัน ชีวิตความเป็นอยู่เหมือนคนธรรมดา แม้กระทั่งทะเลาะวิวาทชกต่อยกับคนอื่น ก็ไม่เคยแสดงวิชาความสามารถแม้แต่น้อย ไม่เคยแสดงฝีมือออกมาให้คนอื่นเห็นแม้แต่นิดเดียว

ทำไมถึงมีคนมาหาถึงที่? เกิดปัญหาตรงไหน?

หลินอิ่งมองชายหนุ่มเสื้อทีเชิ้ต พูดด้วยเสียงเรียบ

“มังกรแท้จริงปรากฏในนภา”

ได้ยินแล้ว ชายหนุ่มทีเชิ้ตสีขาวสีหน้าตกใจ สายตาเฉียบคมดั่งมีด จ้องหน้าหลินอิ่งไม่กะพริบตา

หน้าผากของเขาเหงื่อไหลไม่หยุด สั่นไปทั้งตัว

“อาชานับเหมื่อนล้วนธรรมดายิ่ง”

หลินอิ่งพูดเรียบเฉย

ตั๊บ

ชายหนุ่มเสื้อทีเชิ้ตคุกเข่าลงทันที กราบคำนับให้หลินอิ่งสามครั้ง ในสายตาเต็มไปด้วยความตื้นตัน ความรู้สึกที่อัดอั้นมานานหลายปี ระเบิดออกมาทั้งหมดในวินาทีนี้

“ท่านประมุข”

เย่เฮยก้มกราบ หัวโขกพื้น ในสายตานั้นเต็มไปด้วยความดีใจและตื้นตัน

พูดไป เย่เฮยเงยหน้า แววตาเคร่งเครียด สะบัดแขนขึ้นทันที เสียงดังปัง แรงกำลังภายในเคลื่อนไหวภายในเสื้อผ้า สะเทือนไปครู่หนึ่ง เสื้อทีเชิ้ตสีขาวแตกออกทันที

เผยร่างกายที่มีหุ่นอันกำยำบึกบึนของเย่เฮย ทั่วทั้งร่างไม่มีไขมันส่วนเกินแม้แต่นิดเดียว ร่างเหล็กเหมือนถูกหล่อหลอมมาจากโลหะ

บนร่างที่กล้ามเนื้ออันแข็งแกร่งนั้น มีรอยแผลจากทั้งปืนมีดและระเบิด ดูแล้วน่าตกใจ มีความน่าเกรงขาม ทำให้คนรู้สึกหวาดกลัว

บนไหล่เขา เป็นรอยสักหมึกดำรูปภาพสัญลักษณ์โบราณ เป็นภาพมังกรดำเงยหน้าโบยบิน ดูน่าเกรงขาม

“องครักษ์มังกรดำ หัวหน้าองครักษ์ เย่เฮย กราบเคารพท่านประมุข”

หลินอิ่งแววตาตื้นตันเล็กน้อย บนตัวเย่เฮย คือสัญลักษณ์ที่มีเฉพาะหัวหน้าองครักษ์ ขององครักษ์มังกรดำ

เย่เฮยฝึกฝนวิชาการต่อสู้ เป็นวิชาการต่อสู้ที่มีเฉพาะของสำนักมังกรดำ ที่เดียวในโลก

“ลุกขึ้น” หลินอิ่งพูด

เย่เฮยลุกขึ้นทันที รวดเร็วเหมือนจรวดและยืนตัวตรง แววตาเฉียบคม ท่าทางน่าเกรงขาม

วินาทีนี้ เย่เฮยเหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ไม่ได้ดูอ่อนแอเหมือนก่อนหน้านี้ พนักงานบริษัทที่ต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำ แต่เป็น นักรบหน้าเย็นที่สามารถฆ่าฟันศัตรูเลือดอาบได้

“เย่เฮย เข้าไปคุยข้างใน” หลินอิ่งพูดเสียงเรียบ

ห้อง628 หนึ่งห้องนอนหนึ่งห้องน้ำ ตกแต่งเรียบง่าย

หลินอิ่งนั่งบนเก้าอี้ ชงน้ำชาหนึ่งเหยือก ท่าทางดั่งนายพลสั่งทหาร เทน้ำชาสองแก้ว

“นั่งลง”

เย่เฮยพยักหน้า รับน้ำชามาจากมือหลินอิ่งอย่างเคารพ แล้วนั่งลง

“เย่เฮย ทุกวันนี้ องครักษ์ที่ซ่อนตัวอยู่ในเมืองก่าง ยังเหลือกี่คน?” หลินอิ่งถามสีหน้าจริงจัง

เย่เฮยสีหน้าหดหู่ลงเล็กน้อย พูดว่า “ท่านประมุข องครักษ์เหลือเพียงแค่ผมกับพี่น้องอีกไม่กี่คน ทั้งหมดหกคน”

“แต่ในภายนอก องครักษ์มังกรดำยังเป็นทีมที่จัดระเบียนอย่างสมบูรณ์ ควบคุมเมืองก่างทั้งหมดในที่ลับเป็นอย่างดี”

“ไอ้หมาขโมยอาจารย์กู้ต้านั่น ไม่เพียงแค่แย่งตำแหน่งประมุขไป ยังยึดอำนาจทั้งหมด ขจัดคนที่ต่อต้านเขาออกจากแก๊งมังกร ทีมองครักษ์มังกรดำของสมัยหยังถังจู่ ส่วนมากก็แปลพรรคกันหมดแล้ว……”(ถังจู่คือผู้นำของสำนัก)

หลินอิ่งขมวดคิ้ว องครักษ์มังกรดำยังควบคุมเมืองก่างในที่ลับ?

ข่าวที่เย่เฮยบอกสำคัญมาก และใหญ่โตมาก

เขาก็รู้ดี องครักษ์มังกรดำของแก๊งมังกรในอดีต ซ่อนตัวในเมืองก่าง ควบคุมอำนาจในที่ลับ พอเพียงสำหรับการขับเคลื่อนเมืองก่าง

ถังจู่แห่งสำนักมังกรดำหยังสวนเจิง ก็เคยเป็นราชาแห่งโลกใต้ดินเมืองก่าง

แต่ว่า วันนี้แก๊งมังกรเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ หยังสวนเจิงตายแล้ว องครักษ์มังกรดำแตกแยก

องครักษ์มังกรดำชุดใหม่ ยังสามารถควบคุมเมืองก่างได้?

ถ้าอย่างนั้น มหาเศรษฐีอันดับหนึ่งแห่งเมืองก่างจี้ฉงซาน จะมีความสัมพันธ์อะไรกับองครักษ์มังกรดำหรือไม่?

หลินอิ่งทำเสียงตอบรับ ถามว่า “เย่เฮย ปีนั้นก่อนที่หยังสวนเจิงจากไป ในแก๊งมังกรเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้นบ้าง?”

“เล่าเรื่องทั้งหมดที่รู้มาให้ผมฟังหน่อย”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads แทงบอลออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน