ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 423 หรงหยังยอมแพ้

บทที่ 423 หรงหยังยอมแพ้

หลินอิ่ง ใช้แค่ท่าเดียวจริงๆ ก็ทำให้หรงหยังกระอักเลือดไม่หยุด กระตุกไปทั้งร่าง

“นี่ เป็นไปได้ยังไง”

หรงหยังสีหน้าไม่อยากเชื่อ สีหน้าทรมานจนปิดบังไม่ได้

เขาจ้องหน้าหลินอิ่งตาไม่กะพริบ สายตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

หมัดนี้ลงไปปะทะกับหลินอิ่ง เขารู้สึกได้ถึงกำลังภายในของหลินอิ่งนั้นมีพลังมหาศาล มากมายเหมือนดั่งทะเล

แม้แต่พื้นฐานของหลินอิ่ง เขายังไม่สามารถรู้ได้

ท่าที่ดูเหมือนง่ายเพียงท่าเดียว ก็ทำจนเขารับไม่ไหวแม้แต่น้อย

อีกอย่าง หลินอิ่งยังออมมือ

ไม่อย่างนั้น กำลังภายในอันล้ำลึกนั้นพุ่งออกมา สามารถทำให้เขาเอ็นขาดทั้งร่าง อวัยวะทั้งร่างแตกกระจาย อีกอย่างสามารถทำให้หรงหยังตายคาที่

นี่เป็นยอดฝีมือระดับไหนถึงน่ากลัวขนาดนี้?

หรงหยังไม่อยากเชื่อ หลินอิ่งมีวิชาการต่อสู้อันสูงสง่าได้ถึงขนาดนี้

เพราะอะไร?

คนที่เหมือนดั่งเทพแบบนี้ ถึงได้ไร้ชื่อเสียงในแวดวงลึกลับนี้?

ก่อนหน้านี้ ดูถูกหลินอิ่งเกินไปแล้ว……

“คุณแพ้แล้ว”

หลินอิ่งสีหน้าเรียบเฉย ปล่อยมือ

ต๊ง

วินาทีที่หลินอิ่งปล่อยมือ ร่างของหรงหยังก็เหมือนร่างที่สูญเสียการทรงตัว ล้มลงกับพื้นอย่างแรง ร่างกระตุกอย่างทนไม่ได้ เหงื่อไหลออกมาเต็มหน้า แววตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

หรงหยังกลัวแล้ว

เพียงแค่ท่าเดียว ทำจนเขาร่างกายพังทลาย

เวลานี้หรงหยังรู้สึกว่า คนที่อยู่ตรงหน้านี้ไม่ใช่คน แต่เป็นมังกรที่โบยบินอยู่บนฟ้า ก้มหน้ามองลงมา แค่หายใจเพียงครั้งเดียวก็สามารถระเบิดเขาจนกลายเป็นซาก

ต่อหน้าหลินอิ่ง เขาหมดความมั่นใจมันเลย รู้สึกเพียงแค่ร่างกายอ่อนเพลียไร้เรี่ยวแรง

ความสามารถห่างกันมากเกินไป

“ฉัน ฉันแพ้แล้ว……”

หรงหยังสายตาสับสน พูดพึมพำเอง

เขาก้มหัวอันหยิ่งยโสลง คุกเข่าต่อหน้าหลินอิ่ง สมองว่างเปล่า ท่าทางเหมือนทำอะไรไม่ถูก

ความสามารถของหลินอิ่งสะเทือนต่อความรู้ความเข้าใจของเขา ทำลายความมั่นใจในวิชาการต่อสู้ของเขา

ทำจนเขาสงสัยชีวิตแล้ว

“นี่มันสถานการณ์อะไร หัวหน้าแก๊งหรง กลับรับไม่ได้แม้แต่ท่าเดียว?”

“น่ากลัวจริงๆ หัวหน้าแก๊งหรงฝีมือเก่งกาจขนาดนี้แล้ว หมัดหนึ่งลงไป หลินอิ่งกลับรับได้อย่างง่ายดาย ยังกระอักเลือดด้วย?”

“หลินอิ่งคนนี้ ฝึกวิชาอะไรกันเนี่ย? กลับมีฝีมือเก่งกาจถึงขนาดนี้?”

จอมพลสิบสามแก๊งหยางเหมินที่ดูอยู่ แต่ละคนต่างสีหน้าตกตะลึง สายตาเต็มไปด้วยความตกใจ มองไปที่หลินอิ่ง เหมือนกับมองเทพแห่งสงคราม

ภาพนี้ทำให้สะเทือนต่อความรู้ความเข้าใจในวิชาการต่อสู้ของพวกเขา

ท่าเดียวก็ทำให้ยอดฝีมือในรายการแห่งคนอย่างหรงหยังกระอักเลือด นี่มันความสามารถที่แข็งแกร่งขนาดไหน ช่างน่ากลัวเหลือเกิน

วันนี้พวกเขาคิดแล้ว รู้สึกขมขื่นยิ่งนัก เมื่อก่อนยังคิดว่าตัวเองวิชาสูงส่ง ยังคิดอยากจะบอกให้เทพอย่างหลินอิ่งออกไปจากเมืองก่าง อวดดีต่อหน้าเทพแท้ๆ

ถูกคนดั่งเทพอย่างหลินอิ่งทำลายวิชาการต่อสู้ ก็ไม่มีอะไรผิด……

“จากข้อตกลงก่อนหน้านี้ คุณต้องพาผมไปหาจี้ฉงซาน” หลินอิ่งมองไปที่หรงหยัง พูดอย่างเรียบเฉย

หรงหยังเงยหน้าขึ้นทันที มองไปที่หลินอิ่ง สีหน้าไม่ดี ค่อยๆพูดขึ้น “ฉันยอมแล้ว ฉันรู้ว่าจี้ฉงซานอยู่ไหน แต่ว่า ต้องใช้เวลาในการจัดการนิดหน่อย”

หลินอิ่งพยักหน้าอย่างเรียบเฉย “ได้ แต่ก่อนอื่น บอกผมก่อน นายน้อยจ้าวที่คุณพูดถึง คือใคร?”

ในใจหลินอิ่งมีความสงสัยในจุดนี้

เขาไม่เข้าใจ ว่านายน้อยจ้าวที่หรงหยังพูดถึงนั้นเป็นใคร ทำไมถึงเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องของเขา

หรงหยังพูด “เป็นลูกชายที่โดดเด่นของตระกูลจ้าว จ้าวเฉิงเฉียน เขาก็เป็นของแก๊งหยางเหมินของเรา”

“นายน้อยจ้าว รู้สึกเหมือนจะมีความสัมพันธ์กับหลิน อาจารย์หลินบ้าง……” หรงหยังสีหน้าลังเลไปครู่หนึ่ง สุดท้ายก็เปลี่ยนคำเรียก จากหลินอิ่งเรียกว่าอาจารย์หลิน

ความสามารถในวิชาการต่อสู้ที่หลินอิ่งแสดงออกมา ทำให้เขายอมแพ้อย่างเต็มใจแล้ว

ท่าเดียวก็ทำให้เขาไร้แรงต่อต้าน ยอดฝีมือระดับนี้ คู่ควรกับคำว่าปรมาจารย์

ดังนั้น หรงหยังก็ไม่ได้ปิดบังหลินอิ่ง พูดเรื่องของจ้าวเฉิงเฉียนให้เขาฟังโดยตรง

เป็นคนฝึกวิชาการต่อสู้ สู้คนอื่นไม่ได้ต้องแพ้ ดังนั้นก็ต้องยอม

หลินอิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย “มีความสัมพันธ์กับผม? คุณชายจ้าวแห่งตระกูลจ้าวตี้จิง?”

ตัวเองกับตระกูลจ้าวตี้จิงจะมีความเกี่ยวพันอะไรกัน?

หรือว่า คือจ้าวหลินเอ๋อร์?

หลินอิ่งนึกขึ้นมาได้ จ้าวหลินเอ๋อร์อะไรนั่น เข้ามายุ่งเกี่ยวกับตัวเอง ถูกปฏิเสธแล้วยังมาเตือนเขาว่าคอยดูเดี๋ยวได้เจอดีแน่?

หรือจะเป็นคนที่ไอ้เด็กบ้านั่นส่งมา?

คิดไป หลินอิ่งก็ถาม “จ้าวเฉิงเฉียนอยู่ไหน? เขามีตำแหน่งอะไรในแก๊งหยางเหมิน? คุณมาหาผมครั้งนี้ ระหว่างจี้ฉงซานติดต่อกันยังไง? คุยกันไว้ว่ายังไง?”

หรงหยังคิดไปครู่หนึ่ง พูดว่า “นายน้อยจ้าว คนมาถึงแล้ว อยู่บนดาดฟ้าอาคารสุ่ยจิน……”

“ปฏิบัติการครั้งนี้ จี้ฉงซานไปหาผมเองที่สำนักเมืองก่าง หลังจากเจรจากันเสร็จแล้ว ผมไม่ได้อยากฆ่าอาจารย์หลิน แค่อยากให้ท่านถอนตัวออกไป”

“ผมติดหนี้บุญคุณจี้ฉงซาน ครั้งนี้ก็เพื่อใช้หนี้บุญคุณเขา ส่วนด้านธุรกิจ กิจการภายใต้ชื่อผมร่วมมือกับเขา”

หรงหยังไม่ได้ปิดบังอะไรแม้แต่น้อย เล่าเรื่องความเป็นมาทั้งหมด

หลังจากได้เห็นฝีมือของหลินอิ่งแล้ว ในใจเขาก็รู้ดี เผชิญหน้าต่อคนระดับหลินอิ่ง ปิดบังความจริงก็ไม่มีประโยชน์ มีแต่จะนำพาเรื่องไม่ดีมาสู่ตน

หลินอิ่งพยักหน้า แววตาก็คมขึ้น

เขาดูออกว่า หรงหยังไม่ได้โกหก

ถึงแม้จี้ฉงซานจะเป็นมหาเศรษฐีเมืองก่าง เป็นเทพแห่งเงินทองที่ร่ำรวยมหาศาล แต่ว่า เขายังไม่มีความสามารถที่จะออกคำสั่งแก๊งหยางเหมินได้

หรงหยังก็ไม่มีวันที่จะช่วยเขาทำงาน มาตามฆ่าตัวเอง ดังนั้นเป้าหมายที่แท้จริงคือทดสอบ

เห็นได้ชัดว่า ตามปฏิบัติการของเขาในเมืองก่าง ทำให้จี้ฉงซานนั่งไม่อยู่แล้ว

แต่ไอ้สุนัขจิ้งจอกพันปีคนนี้ก็ยังคงไม่กล้าลงมือเอง ยังใช้วิธียืมมือฆ่าคน

สุนัขจิ้งจอกพันปีคนนี้คงคิดไม่ถึง ว่าหรงหยังไม่เพียงแค่ทดสอบตัวเองไม่ได้ แม้แต่ความสามารถในการรับมือยังไม่มี กลับกัน ยังเสียทีให้เขา

ส่วนนายน้อยแก๊งหยางเหมินอะไรนั้น จ้าวเฉิงเฉียน?

หลินอิ่งเคยได้ยินชื่อเสียงของคุณชายแห่งตระกูลจ้าวท่านนี้ พี่ชายแท้ๆของจ้าวหลินเอ๋อร์ บุกเบิกอยู่ในต่างประเทศ

ดูแล้ว ก็คือคุณชายจ้าวท่านนี้

“ตามผมไปพบจ้าวเฉิงเฉียน”

หลินอิ่งพูดเสียงเรียบ หันหลังเดินขึ้นไปบนดาดฟ้าอาคารสุ่ยจิน

หรงหยังมองร่างหลินอิ่งที่เดินจากไป สีหน้าลังเลไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ก้มหัว เดินตามหลินอิ่งไป

“หัวหน้าแก๊งหรง ผม พวกเราจะเปลี่ยนทางไปช่วยหลินอิ่งทำงาน? ต่อต้านจี้ฉงซาน?” หงต้าสีหน้าลังเล

หรงหยังหยุดเดิน พูดด้วยเสียงเย็นชา “ความสามารถสู้คนอื่นไม่ได้ ก็ต้องยอมแพ้ ผมหรงหยังจะไม่ยอมรับแม้แต่การประลองวิชาแพ้เหรอ?”

“แต่ว่า หัวหน้าแก๊งหรง ทางด้านจี้ฉงซาน เกี่ยวพันกับกิจการอันใหญ่โตของสำนักเรา……” หงต้าพูดอย่างลังเ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท