ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 424 มีความสามารถที่จะเป็นน้องเขยฉันไหม?

บทที่ 424 มีความสามารถที่จะเป็นน้องเขยฉันไหม?

“เรื่องบางอย่าง ไม่วัดด้วยเงินไม่ได้” หรงหยังพูดอย่างเรียบเฉย “ผมติดหนี้บุญคุณจี้ฉงซาน ได้คืนไปแล้ว ไม่ได้ติดอะไรกับเขา สำหรับเรื่องช่วยหลินอิ่งทำงาน นั่นเพื่อทำตามกติกา คนฝึกวิชาการต่อสู้อย่างพวกเรา สามารถเล่นกลไกได้ แต่เรื่องเกี่ยวกับการต่อสู้นั้น คำพูดที่พูดออกไปก็ต้องรักษาสัญญา แพ้แล้วก็ก็ยอมรับ”

ขอให้คนที่ฝึกวิชาการต่อสู้จนถึงระดับหนึ่ง ก็ต้องมีจิตวิญญาณในการเคารพวิชาการต่อสู้

“หัวหน้าแก๊ง พวกเราเข้าใจแล้ว”

พูดไป หรงหยังก็รีบตามหลินอิ่งขึ้นไปบนดาดฟ้าอาคารสุ่ยจิน

สามนาทีผ่านไป

หลินอิ่งปรากฏตัวอยู่บน เขาสวมใส่ชุดดำกะทัดรัด เสื้อถูกลมพัดไสว แปร่งประกายความเย็นชาทั้งร่าง

ส่วน หรงหยังสีหน้าเคร่งเครียดยืนอยู่ข้างหลินอิ่ง

“คุณก็คือจ้าวเฉิงเฉียน? บอกผมมา ว่าคุณมาหาผมที่เมืองก่าง เพราะเรื่องอะไร?”

หลินอิ่งมองไปที่ชายชุดสูทสีขาวที่นั่งบนเก้าอี้ พูดเสียงเรียบ

ท่ามกลางน้ำเสียงอันเรียบเฉยของหลินอิ่งนั้น แปร่งประกายความแข็งแกร่งที่ทำให้คนต้านทานไม่ได้

จากการมาถึงของเขา พวกจ้าวเฉิงเฉียน ต่างก็แสดงสีหน้าแปลกใจ ต่างก็พากันหันไปมอง

วินาทีที่สบตากัน นอกจากจ้าวเฉิงเฉียนแล้ว ทุกคนที่ติดตามอยู่ข้างกายเขา ต่างพากันถอยหลัง เหมือนกับเห็นอสูรร้ายตัวหนึ่ง

หลินอิ่งกวาดสายตามองมา ทำให้พวกเขารู้สึกหวาดกลัวตัวสั่น เหมือนถูกมังกรร้ายตัวหนึ่งจ้องมองอยู่

ความกดดันท่ามกลางความเรียบเฉยนั้น ทำให้คนรู้สึกหวาดกลัว

ความรู้สึกแรกที่มีต่อหลินอิ่ง

ให้จ้าวเฉิงเฉียนความรู้สึกถึงความลึกซึ้งจนยากที่จะคาดเดา

“ใช่แล้ว ผมก็คือจ้าวเฉินเฉียน” จ้าวเฉิงเฉียนพูดอย่างเชื่องช้า “ผมมาหาคุณที่เมืองก่าง เพื่อจะมาทดสอบดูว่าหลินอิ่งนาย มีความสามารถพอที่จะเป็นน้องเขยฉันไหม”

“ได้ยินมาว่า คุณยโสอวดดี? ที่ตี้จิง ปฏิเสธน้องสาวผมครั้งแล้วครั้งเล่า? ยังอวดดีไร้มารยาท?”

“ผมจะดูว่า นายหลินอิ่งเอาความมั่นใจมาจากไหน กล้าไม่มีน้องสาวผมในสายตา”

จ้าวเฉิงเฉียนพูดอย่างเชื่อมั่น พูดเหมือนกับน้องสาวตัวเองชอบใคร คนนั้นก็ต้องมาชอบน้องสาวของเขา เหมือนดั่งตัวเองสูงส่ง

หลินอิ่งส่ายหัว

“เรื่องของน้องสาวคุณ ไม่เกี่ยวกับผม”

“อะไร? ไม่เกี่ยวกับคุณ?” จ้าวเฉิงเฉียนฟังแล้ว โมโหเหมือนดั่งจะระเบิด ลุกขึ้นจากเก้าอี้ ชี้หน้าหลินอิ่ง “นายกับน้องสาวฉันมีสัญญาหมั้นหมายกับแต่เด็ก จนถึงวันนี้แล้วนางเด็กคนนี้ยังหลงนายอยู่ นายกล้าพูดว่าไม่เกี่ยวกับนาย?”

หลินอิ่งไม่อยากอธิบาย

“ช่างเถอะ” จ้าวเฉิงเฉียนยิ่งดูท่าทางยโสของหลินอิ่ง ในใจก็ยิ่งรู้สึกไม่พอใจ

คิดถึงน้องสาวของเขาจ้าวหลินเอ๋อร์ คุณหนูที่ถูกดูแลมาอย่างดี หลังจากได้เจอกับหลินอิ่งแล้ว ก็หลงจนไม่รู้จะพูดยังไง ความโมโหมันก็ขึ้นมาทันที

ในตี้จิงมีคุณชายมากหน้าหลายตาเข้าแถวมาตามจีบน้องสาวของเขา ปรากฏว่า น้องสาวของตัวเองกลับถูกไอ้หนุ่มหลินอิ่งนี่ทำให้เสียเวลา แต่ละวันก็เหมือนคนทุกข์เพราะความรัก

“วันนี้ฉันจะสั่งสอนนายเอง” จ้าวเฉิงเฉียนพูดเสียงเย็นชา “คิดว่าตัวเองเป็นคุณชายอันดับหนึ่งแห่งตี้จิงไปแล้วเหรอ? ไม่มีใครเป็นคู่แห่งนายแล้ว?”

หลินอิ่งรู้สึกตลก อยากหัวเราะแต่หัวเราะไม่ออก

จ้าวเฉิงเฉียนกับน้องสาวของเขาจ้าวหลินเอ๋อร์ ไม่เสียดายที่เป็นพี่น้องกัน

ไร้เหตุผลเหมือนกัน ท่าทางเหมือนโลกทั้งใบต้องหมุนรอบพวกเขา

“จ้าวเฉิงเฉียน เป้าหมายที่มาเมืองก่างคืออะไร ผมไม่อยากสนใจ” หลินอิ่งพูดเสียงเรียบ “แต่ว่า อย่าขัดขวางเรื่องที่ผมจะทำ”

“ไม่อย่างนั้น อย่าโทษผมว่าไม่ไว้หน้านายท่านตระกูลจ้าวของพวกคุณ”

“ออ?” จ้าวเฉิงเฉียนมองหลินอิ่งอย่างน่าสนใจ “นี่กำลังเตือนฉันเหรอ?”

พูดไป จ้าวเฉิงเฉียนแววตากะพริบ มองไปที่หรงหยังที่อยู่ข้างหลินอิ่ง ด้วยสายตาแปลกใจ

เขาดูออกว่า หรงหยังถูกหลินอิ่งสู้จนยอมแพ้แล้ว

“หรงหยัง? นายแพ้ให้เขาแล้ว?” จ้าวเฉิงเฉียนถามด้วยเสียงเย็นชา “เรื่องของฉัน นายเป็นคนบอกเขา?”

หรงหยังสายตาลำบากใจ พูดว่า “นายน้อยจ้าว ผมวิชาสู้เขาไม่ได้ แพ้แล้ว”

“ผมตอบตกลงแล้ว จะช่วยอาจารย์หลินจัดการธุระเรื่องหนึ่งในเมืองก่าง ดังนั้นเรื่องจะส่งมอบกลุ่มย่อยสาขาเมืองก่างให้ท่าน ต้องรอสักพัก”

หรงหยังจะช่วยหลินอิ่งหาจี้ฉงซาน แน่นอนว่าต้องใช้คนในสำนักเมืองก่าง

ถ้าเช่นนี้แล้ว ก็มีเวลาชะลอออกไปสำหรับการเผชิญความกดดันต่อหน้าจ้าวเฉิงเฉียน

หากมองในมุมอื่น หรงหยังนี่ก็เหมือนในลาภจากความโชคร้าย

ถึงแม้ว่าจะช่วยหลินอิ่งไปหาจี้ฉงซาน สูญเสียเทพแห่งเงินทองอย่างจี้ฉงซานไป แต่ว่า กลับได้เทพอย่างหลินอิ่งมา สามารถขวางแรงกดดันจากจ้าวเฉิงเฉียนได้ ไม่ต้องถูกจ้าวเฉิงเฉียนปลดจากตำแหน่งหัวหน้าสำนักในเมืองก่างทันที

สำหรับหรงหยังแล้ว กิจการอำนาจในเมืองก่าง นั้นเป็นรากฐานทั้งหมดของเขา

“หรงหยัง? นายพูดอะไร?” จ้าวเฉิงเฉียนสีหน้าเปลี่ยน จ้องหน้าหรงหยังสีหน้าโมโห

“นายจะหักหลังฉันเหรอ? หักหลังแก๊งหยางเหมิน?” จ้าวเฉิงเฉียนถามน้ำเสียงเย็นชา ส่อแววแห่งความน่ากลัว

ทำไมเขาจะฟังความหมายในคำพูดหรงหยังไม่ออก จะหันไปอยู่ฝ่ายหลินอิ่ง จะเอาหลินอิ่งมาต่อต้านเขา

นี่มันเป็นเรื่องที่ไม่สามารถยอมได้

ไม่รู้ว่าหรงหยังลงไปไม่กี่นาที จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้น?

หลินอิ่งนี่มีความสามารถอะไรกัน? ทำให้ยอดฝีมือยโสคนหนึ่งอย่างหรงหยัง ยอมแพ้เขาด้วยความเต็มใจ?

“นายน้อยจ้าว ไม่ถึงขั้นหักหลัง ผมแพ้ให้อาจารย์หลิน ก็ต้องทำเรื่องนี้ให้” หรงหยังพูดอย่างจริงจัง

“เหอะเหอะเหอะ……กล้าดีจริงๆ” จ้าวเฉิงเฉียนโมโหมากจนหัวเราะ “หรงหยัง นายคงหรือว่า ได้พึ่งหลินอิ่ง? ฉันจะทำอะไรนายไม่ได้? จะมาหักหลังฉัน?”

เหตุการณ์พลิกผัน จนเกินที่จ้าวเฉิงเฉียนจะคาดการณ์ได้

ตอนแรกอยากใช้หรงหยังเพื่อไปทดสอบบรรทัดฐานของหลินอิ่ง จากนั้นก็ถือโอกาสเอาคืนหลินอิ่ง

แต่คิดไม่ถึงเลย สถานการณ์เปลี่ยนไปจนแย่ขนาดนี้ หรงหยังกลับแปลพรรค? ยังถูกหลินอิ่งปราบจนอยู่มือ?

สถานการณ์ตอนนี้ ตอนแรกหลินอิ่งสำหรับเขาแล้วก็เป็นเหมือนเหงื่อที่ถูกตามล่า

พอมาแล้วถึงรู้ว่า หลินอิ่งไม่ใช่สัตว์ตัวเล็กๆอย่างลูกหมาลูกแมว แต่เป็นมังกรข้ามแม่น้ำอันดุร้าย

“หลินอิ่ง ก่อนหน้านี้ฉันดูถูกนายไป” จ้าวเฉิงเฉียนมองไปที่หลินอิ่งตาเป็นประกาย ค่อยๆพูดขึ้น “คิดไม่ถึงจริงๆ ในระยะเวลาสั้นๆ นายก็ปราบหรงหยังได้แล้ว?”

“แต่ว่า นายก็ยังไม่รู้ ว่าฉันจ้าวเฉิงเฉียน เป็นคนระดับไหน” จ้าวเฉิงเฉียนพูดอย่างยโส โบกมือไปมา “เผยหวูหมิง นายไปลองมือกับเขาหน่อย”

พูดไป ชายหนุ่มชุดสีเท่าข้างกายจ้าวเฉิงเฉียน ยืนขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชา จ้องหน้าหลินอิ่งเฉยชา

เผยหวูหมิงร่างกายสูงใหญ่ ใบหน้าเด็ดเดี่ยว แววตามั่นคง คนทั้งคนมีบุคลิกที่แข็งแกร่ง

“ผม เผยหวูหมิงแห่งจี้โจว ท่านสามารถเอาชนะหรงหยังได้ ก็คงจะเป็นยอดฝีมือคนหนึ่งเช่นกัน”

“ผมขอประลองฝีมือกับท่านหน่อย”

เผยหวูหมิงยกกำปั้นทำท่าเคารพ จากนั้น แววตาก็มีประกายแห่งความเยือกเย็น ท่าทางพร้อมสู้

หลินอิ่งขมวดคิ้ว สำรวจดูเผยหวูหมิง จากแววตาอันแรงกล้าของเขานั้นดูออกว่า นี่คือคนที่บ้าคลั่งในวิชาการต่อสู้ ดูเหมือนยอดฝีมือที่ชอบในการท้าทาย

เผยหวูหมิงแห่งจี้โจว? มณฑลจี้โจว ห่างจากตี้จิงไม่ไกลนัก เป็นเมืองที่ซ่อนยอดฝีมือไว้ไม่น้อย

หลินอิ่งจำได้ ที่มณฑลจี้โจวมีตระกูลเผยอยู่ เป็นตระกูลแห่งวิชาการต่อสู้ในวงการลึกลับ ชื่อเสียงโด่งดังไม่น้อย

ตอนที่อายุสิบหก เขาเคยท่องเที่ยวไปที่มณฑลจี้โจว เคยรู้จักกับตระกูลเผย

“คุณเป็นคนของตระกูลเผยแห่งจี้โจว?” หลินอิ่งถามเสียงเรียบเฉย

เผยหวูหมิงพูดสีหน้าจริงจัง “ครับ”

“คุณถอยไปเถอะ” หลินอิ่งพูดด้วยเสียงเรียบ “คุณท่านตระกูลเผยของพวกคุณต่อหน้า ยังไม่กล้าพูดขนาดนี้”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads แทงบอลออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน