ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 478 หลินอิ่ง ตระกูลจ้าวของเราไปหาเรื่องไม่ได้

บทที่ 478 หลินอิ่ง ตระกูลจ้าวของเราไปหาเรื่องไม่ได้

ถึงแม้จ้าวซานจะอวดดีถึงขีดสุด ไม่มีคนอื่นในสายตา แต่ก็ยังพอมีสมองอยู่บ้าง

ฉินฝู้กุ้ยฉีกหน้ากันแบบนี้ อยู่ดีๆก็แยกเคี้ยว ตบเขาไม่อั้น

นี่หมายความว่า ฉินฝู้กุ้ยมีความมั่นใจเต็มที่

เพราะว่า ฉินฝู้กุ้ยรู้จักฐานะเบื้องหลังของจ้าวหลินเอ๋อร์เป็นอย่างดี

ประสานงานกับฉินฝู้กุ้ยมาหลายวัน จ้าวซานก็รู้ว่าฉินฝู้กุ้ยเป็นคนลื่นไหลยิ่งกว่าปลาไหล

ฉินฝู้กุ้ยไม่มีเหตุผลที่จะฉีกหน้าเขา

แต่วันนี้ กลับมาฉีกหน้าเขาเพราะว่าไอ้หนุ่มลึกลับคนนี้

นั่นก็หมายความว่า ชายหนุ่มคนนี้ต้องมีฐานะอำนาจล้นฟ้าแน่นอน

“นายไม่รู้จักฉัน?” หลินอิ่งมองจ้าวซานอย่างเรียบเฉย

“ฉัน…..ฉันไม่รู้จัก” จ้าวซานพูดด้วยสีหน้าลังเล

หลินอิ่งหัวเราะเย็นชา “ไม่รู้จักฉัน ถ้าอย่างนั้นใครให้ความมั่นใจกับนาย กล้าเอาชื่อคุณชายอิ่งแห่งตี้จิงไปหลอกลวงอยู่ข้างนอก?”

“อะไร”

จ้าวซานสีหน้าตกใจ จ้องหน้าหลินอิ่งตาไม่กะพริบ เหงื่อท่วมหน้าผาก

ฉินฝู้กุ้ยมองจ้าวซานแล้วหัวเราะเย็นชา เพี๊ยะเพี๊ยะตบหน้าเข้าไปสองครั้ง

“เหอะ ไอ้หน้าโง่ แกพูดเต็มปากเต็มคำว่าคุณชายอิ่งตี้จิงเป็นพี่เขยแก ส่วนคุณชายอิ่งผู้เก่งกาจในปากของแก ก็อยู่ตรงหน้าแก ถูกแกด่าว่าไอ้บ้านนอก”

“แกนี่มันมีตาหามีแววไม่จริงๆ”

“ไม่ นี่ เป็นไปไม่ได้ แกเป็นคุณชาย คุณชายอิ่ง?”

จ้าวซานจับหน้าที่ถูกตบจนบวม สีหน้าไม่อยากเชื่อ

จ้าวซานคิดไม่ถึง ว่าคุณชายอิ่งที่เขาโอ้อวดเต็มปาก กลับนั่งอยู่ตรงหน้า

อีกอย่าง เขากลับพูดโอ้อวดต่อหน้าคุณชายอิ่ง?

เวลาเดียวกน จ้าวซานสีหน้าแดงก่ำ ทั้งโมโหทั้งอับอาย

“ฉันไม่เชื่อ แกจะเป็นคุณชายอิ่งแห่งตี้จิงได้ยังไง” จ้าวซานตาแดง พูดด้วยความโมโห

ถูกฉินฝู้กุ้ยตบหน้าไปหลายรอบ ในใจจ้าวซานรู้สึกโมโหอย่างบอกไม่ถูก ไม่ว่ายังไงก็ไม่ยอมเชื่อว่าหลินอิ่งก็คือคุณชายอิ่ง ยังไงก็ไม่ยอมก้มหัวให้หลินอิ่งที่ตัวเองไปพูดจาเหยียดหยาม

แต่ว่า จ้าวซานไม่เคยเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของคุณชายอิ่ง ล้วนเป็นการโอ้อวดที่แสดงออกมาทั้งนั้น

คราวนี้ ในใจเขาทั้งอึดอัดและโมโห

“ฉันไม่ใช่? เหอะ” หลินอิ่งส่ายหน้ายิ้มอย่างเย็นชา ดับบุหรี่ในมือ “ถ้าอย่างนั้นฉันก็รู้สึกสงสัย คุณชายอิ่งในปากของนายนั้นเป็นใคร? นายก็เรียกเขามาดูหน่อย”

“แก” จ้าวซานสีหน้าแดงก่ำ พูดอย่างเย็นชา “แกกล้าปลอมตัวเป็นพี่เขยฉัน รอพี่สาวฉันมา ต้องคิดบัญชีกับแกแน่”

เพี๊ยะ

จ้าวซานยังปากแข็งอยากพูดอะไรต่อ ฉินฝู้กุ้ยเดินเข้าไปก็ตบหน้าเขาอีกสองที ตบจนเขาปากบวม

หลินอิ่งค่อยๆลุกขึ้น ยืนอยู่ข้างหน้าต่าง

“อีกสิบนาที ถ้าจ้าวหลินเอ๋อร์ยังไม่มา ฉินฝู้กุ้ย นายก็เอาคนนี้ไปหักแขนหักขา แล้วส่งกลับไปตี้จิงตระกูลจ้าว”

หลินอิ่งพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา

ทันใดนั้น ฟังจนจ้าวซานรู้สึกกลัวจนตัวสั่น สีหน้าซีดขาว

……

ในเวลาเดียวกัน อีกฝั่งหนึ่ง

เมืองชิงหยูน โรงแรมชิงหยูน

จ้าวหลินเอ๋อร์รับโทรศัพท์แล้ว ก็เดินออกจากออฟฟิศอย่างรีบร้อน พาบอดี้การ์ดหญิงสองคน ลงจากโรงแรมอย่างรีบร้อน

โรงแรมชิงหยูน หลังจากถูกหลินอิ่งรับซื้อไปแล้ว เป็นสถานที่สำหรับนัดเจอกันระหว่างเสิ่นซานและเจียงฉีกับหลินอิ่ง

หลังจากจ้าวหลินเอ๋อร์มาถึงเมืองชิงหยูนแล้ว ก็จัดการธุระทุกอย่างและพักในโรงแรมชิงหยูน

ส่วนเจียงฉีและเสิ่นซาน ก็ถูกเธอสั่งคนกักตัวไว้ในนี้

“หลินอิ่งกลับมาเมืองชิงหยูนแล้ว กลับมาอย่างเงียบๆแบบนี้” จ้าวหลินเอ๋อร์มุมปากยิ้มขึ้นอย่างคิดสนุก แววตาเป็นประกาย พูดพึมพำเอง “หลินอิ่งนะ หลินอิ่ง ฉันจะรอดู ว่าเรื่องราวเจ้าชู้ที่คุณทำในเมืองก่างลือกันออกมา คุณยังจะแสดงยังไงต่อ?”

“น้องเก้า จะไปไหน?”

จ้าวหลินเอ๋อร์เพิ่งเดินลงไป กำลังจะไปเอารถ ก็มีเสียงอันเคร่งขรึมดังขึ้น

มีก็รถไมบัคสีดำคันหนึ่งจอดอยู่หน้าประตู ชายหนุ่มชุดสูทสีขาวคนหนึ่งเดินลงจากรถ มีคนติดตามอยู่ซ้ายขวาสองคน

“พี่ใหญ่? พี่กลับจากเมืองก่างตั้งแต่เมื่อไหร่? ทำไมไม่แจ้งให้หนูรู้?” จ้าวหลินเอ๋อร์เห็นคนที่มา ก็พูดด้วยสีหน้าตะลึง

จ้าวเฉิงเฉียนสีหน้าเคร่งเครียด พูดอย่างจริงจัง “เรื่องในเมืองก่างเหนือการคาดเดาแล้ว พี่กลัวเธอก่อเรื่องใหญ่ ถึงได้รีบมาห้ามที่เมืองชิงหยูน”

“ห้ามหนูทำไม?” จ้าวหลินเอ๋อร์ถามอย่างสงสัย

จ้าวเฉิงเฉียนพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “เธออย่าไปหาเรื่องหลินอิ่งอีก ตระกูลจ้าวของเรา มีเรื่องกับหลินอิ่งไม่ได้”

หลังจากได้ลองมือหลินอิ่งที่เมืองก่างแล้ว จ้าวเฉิงเฉียนกลับไปคิดอย่างรอบคอบแล้ว

สุดท้ายตัดสินใจ รีบกลับมาเมืองชิงหยูน ห้ามน้องสาวตัวเองให้วางมือ อย่าไปยั่วหลินอิ่งโมโหแล้วให้เขาทำเรื่องน่ากลัว

เพราะว่า เขาเห็นมากับตาแล้ว จี้ฉงซานถูกหลินอิ่งบีบจนถึงขั้นไหน

จี้ฉงซานระดับอภิมหาเศรษฐีเมืองก่าง ก็เป็นเพราะไปหาเรื่องหลินอิ่งที่ตี้จิง กลับไปถึงเมืองก่างแล้วก็หนีความตายไม่พ้น แม้แต่ตระกูลจี้ทั้งก็พังพินาศหมด

น้องสาวตัวเองถ้าไม่ระวังทำเกินเลยไป ถ้าหากหลินอิ่งเปิดศึกกับตระกูลจ้าว เรื่องราวก็ไม่จบง่ายๆแน่

“พี่ นี่มันเรื่องอะไรกัน? พี่ไปเมืองก่างก็ราบรื่นดีไม่ใช่เหรอ ทำไมกลับมาก็มาพูดแบบนี้?” จ้าวหลินเอ๋อร์ถามอย่างสงสัย ยิ่งฟังยิ่งรู้สึกแปลกใจ

จ้าวเฉิงเฉียนถอนหายใจ พูดว่า “เรื่องที่เมืองก่างเรื่องมันยาว ไม่ว่ายังไง ก่อนหน้านี้พี่ดูถูกหลินอิ่งมากเกินไป ความสามารถของหลินอิ่งมันเกินที่จะคาดเดา”

หลังจากเผชิญหน้าสู้กับหลินอิ่งแล้ว จ้าวเฉิงเฉียนจำเป็นต้องปล่อยวางความยโส ไปมองหลินอิ่งคนนี้อย่างดี

“พี่ นี่พี่ล้อเล่นใช่ไหม? พี่รีบกลับมา ก็เพราะเรื่องนี้?” จ้าวหลินเอ๋อร์พูดด้วยความไม่พอใจ “หนูไม่สนใจอะไรพวกนั้นหรอก หนูไม่ได้ทำอะไรผิด ไม่ได้ทำอะไรเกินไปสักหน่อย”

จ้าวเฉิงเฉียนเงียบไปครู่หนึ่ง ถามว่า “รูปที่พี่ส่งมาให้ครั้งก่อน เธอส่งออกไปแล้วใช่ไหม?”

“หนูส่งออกไปแล้ว หนูเอาไปให้ครอบครัวของไอ้ผู้หญิงที่หลินอิ่งคบอยู่ข้างนอกคนนั้นดูแล้ว” จ้าวหลินเอ๋อร์พูดอย่างเรียบเฉย “พี่ พี่ไม่พูดยังดี พี่พูดแล้วหนูก็โมโห หลินอิ่งเป็นลูกเขยของตระกูลจ้าว เมื่อก่อนไปแต่งงานกับจางฉีโม่อะไรนั่นก็แล้วไป ตอนนี้หนูออกมาแล้ว เขายังไปจีบกับสาวฝรั่งที่เมืองก่างอีก? นี่มันดูถูกหนูชัดๆ?”​

“อีกอย่าง พี่ ตอนนั้นพี่ก็โมโหมาก พี่ก็พูดไปแล้ว ว่าพี่จะช่วยหนูสั่งสอนหลินอิ่ง” จ้าวหลินเอ๋อร์พูดด้วยสีหน้าไม่พอใจ “ปรากฏว่า ตอนนี้พี่มาบอกหนูว่าไปมีเรื่องกับหลินอิ่งไม่ได้? ท่าทางเหมือนกลัวเขา”

“พี่ยังเป็นพี่ใหญ่ที่หนูรู้จักอยู่ไหม?”​ จ้าวหลินเอ๋อร์มองจ้าวเฉิงเฉียนด้วยสีหน้าสงสัย

ได้ยินจ้าวหลินเอ๋อร์พูดแบบนี้ สีหน้าจ้าวเฉิงเฉียนก็รู้สึกอึดอัด

แน่นอน คุณชายตระกูลจ้าวมีอำนาจแข็งแกร่งขนาดไหน? มองไปทั่วประเทศหลุง คนรุ่นเดียวกัน คนที่สามารถเทียบเคียงกับจ้าวเฉิงเฉียนได้มีแค่ไม่กี่คน

แต่ ความสามารถอันแข็งแกร่งของหลินอิ่ง ทำให้จ้าวเฉิงเฉียนรู้สึกตกใจ เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่กลัว

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads แทงบอลออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน