ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 516 รู้ไหมว่าคนเก่งเขาเล่นอะไรกัน?

บทที่ 516 รู้ไหมว่าคนเก่งเขาเล่นอะไรกัน?

ในใจเขา เต็มไปด้วยความมั่นใจ ไม่ได้มีไอ้ขยะอย่างหลินอิ่งในใจแม้แต่น้อย

อุตส่าห์มีโอกาสได้เจอกับเทพธิดาในดวงใจเก่าของเขา ก็ต้องฉวยโอกาสโอ้อวดความร่ำรวยของตัวเอง โดยเฉพาะมีคนอย่างหลินอิ่งให้เปรียบเทียบอย่างชัดเจน

ยังไง ผู้หญิงอย่างฉู่ฉู่ที่เรียบจบจากมหาลัยต่างประเทศชื่อดัง เป็นคนฉลากและเก่ง ต้องแยกแยะออกมาแน่นอน เขาซือหม่าเฟิงเทียบกับไอ้แซ่หลิน ใครดีกว่ากัน

พูดได้อีกว่า คุณชายตระกูลซือหม่าอย่างเขา ซือหม่าเฟิง คุณชายเจ้าสำราญขึ้นชื่อในตี้จิง เป็นคนใจป้ำ คนเรียกว่าคุณชายสี่แห่งเมือง ส่วนคนไร้น้ำยาอย่างหลินอิ่งแบบนี้ แม้แต่สิทธิ์ในการช่วยเขาถือรองเท้ายังไม่มี ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเอามาเปรียบเทียบกับเขา ต้องนำโด่งอย่างไม่ต้องพูดแน่นอน

“ปาร์ตี้? ไม่ต้องแล้ว ฉันยังมีเรื่องต้องคุยกับคุณหลิน” ฉู่ฉู่ปฏิเสธ

มีเรื่องต้องคุยกับไอ้บ้านนอกหลินอิ่ง เพราะฉะนั้นปฏิเสธคำเชิญ? ซือหม่าเฟิงทนความโมโหในใจ พูดด้วยรอยยิ้ม “ฉู่ฉู่ ฉันจัดปาร์ตี้งานเลี้ยง เชิญมาแต่กลุ่มคนไฮโซในตี้จิง เชื่อว่าเธอต้องได้อะไรจากงานนี้มากมายแน่นอน ไม่ได้เจอกันตั้งหลายปี ทุกคนก็พูดคุยกันหน่อยซิ”

“ใช่ ฉู่ฉู่ เธอดูพี่เฟิงเชิญเธออย่างจริงใจขนาดนี้ ทุกคนต่างก็เป็นเพื่อนนักเรียกกัน ให้เกียรติกันหน่อยซิ”

“ก็ว่าอย่างนั้น ฉู่ฉู่ พี่เฟิงก็ชอบเธอมาตั้งหลายปีแล้ว จนทุกวันนี้ยังไม่แต่งงานเลย ยังสืบหาเรื่องของเธออยู่ เพียงแค่ไม่ได้ข่าวของเธอเลย ความรู้สึกนี้เธอก็ไม่ใช่ว่าจะไม่รู้”

“ใช่ ได้พบกันสักครั้งไม่ใช่เรื่องง่าย ฉู่ฉู่ เธอยังมีได้เจอกับพี่เฟิง ก็หมายความว่ามีพรหมลิขิต”

ชายหญิงข้างกายซือหม่าเฟิง ต่างก็ช่วยกันพูดโน้มน้าว ช่วยเขาพูดคำพูดดีๆ

ฉู่ฉู่ไม่ได้พูด มองหน้าซือหม่าเฟิงอย่างเย็นชา

คราวนี้ ซือหม่าเฟิงรู้สึกอึดอัดมาก จนรู้สึกอับอายหายหน้า

แต่ว่าเขาก็โมโหใส่ฉู่ฉู่ไม่ได้ เพราะว่ายังอยากได้สาวสวยคนนี้

คิดไป ซือหม่าเฟิงก็มองหลินอิ่งอย่างเย็นชา พูดว่า “ไอ้แซ่หลิน นายแสดงตัวว่าเก่งมากไม่ใช่เหรอ? ตั้งใจแสดงความแข็งแกร่งต่อหน้าฉู่ฉู่ ทำเหมือนตัวเองมีความสามารถมาก?”

“ฉันจัดงานปาร์ตี้ในโรงแรมสากลกวงหุย เป็นไง นายกล้ามาร่วมงานไหม ให้นายได้เปิดหูเปิดตาจะได้รู้ว่าอะไรคือการเข้าสังคม” ซือหม่าเฟิงสีหน้าเย่อหยิ่ง ดูหมิ่นหลินอิ่ง “ถ้าหากนายอยากพิสูจน์ว่าตัวเองเก่งขนาดไหน สามารถเทียบความเก่งกับฉัน ก็มาเลย ดูว่าไอ้บ้านนอกอย่างนาย ดูว่าสามารถเข้าไปได้ไหม อยู่ในงานหรูแบบนั้นไปไหม”

“หรือว่า? นายกลัวแล้ว? เมื่อกี้ถามว่านายทำงานที่บริษัทอะไรในตี้จิงก็ไม่กล้าพูด หรือว่ากลัวฉันใช่ไหม?”

“ถ้าหากว่านายกลัว ก็ยอมรับมา ยอมรับว่าตัวเองไร้น้ำยา ฉันก็ขี้เกียจไปถือสาไอ้ขยะอย่างนาย”

ซือหม่าเฟิงพูดด้วยท่าทางยโสโอหัง แสดงท่าทางว่าตัวเองอยู่เหนือกว่า

“เหอะ” หลินอิ่งหัวเราะเย็นชา ส่ายหน้า

“ทำไมผมต้องไปพิสูจน์ด้วยว่าเหนือกว่าคุณ? จำเป็นต้องพิสูจน์หรือ?” หลินอิ่งหัวเราะเย็นชา และถาม

“นายหมายความว่ายังไง?” ซือหม่าเฟิงถามอย่างเย็นชา ไม่พอใจกับท่าทางใจเย็นของหลินอิ่งมาก

คนขยะสังคมแบบนี้ ควรต้องยอมรับผิดกับเขา ยังกล้าทำท่าทางอวดดี?

“พูดมามากมายขนาดนี้ ฉู่ฉู่ยังไม่สนใจคุณเลย คุณยังอยากพิสูจน์อะไรอีก?” หลินอิ่งพูดอย่างเย็นชา

เขาไม่เข้าใจจริงๆว่าสมองของซือหม่าเฟิงนั้นใส่อะไรไว้บ้าง

อยากที่จะพิสูจน์ว่าเก่งกว่าเขา? ใช้อำนาจเงินทองมาพิสูจน์?

“นาย นาย” ซือหม่าเฟิงสีหน้าแดงก่ำ หลินอิ่งพูดถึงจุดเจ็บของเขา และเป็นจุดที่เขาไม่อาจเข้าใจได้

ทำไมฉู่ฉู่ถึงไม่หวั่นไหวต่อผู้ชายที่สมบูรณ์แบบอย่างเขาเลย แต่กลับพูดจายิ้มแย้มกับไอ้ไร้น้ำยาแซ่หลินนั่น ติดตามเชื่อฟัง?

ช่างไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย

“ช่างเป็นผู้ชายที่ไร้ยางอายจริงๆ ฉันว่ามันนอกจากปากเก่ง ปากแข็งแล้ว ไม่ได้มีความสามารถอะไรเลย ไร้น้ำยาขนาดนี้ ยังกล้าท้าทายกับพี่เฟิงอีก ถ้าแน่จริงก็เอาความสามารถของนายออกมาซิ? ไม่ใช่มาอวดดีอยู่นี่”

“ไอ้แซ่หลิน แกคิดว่าพี่เฟิงไว้หน้าแกแล้ว? ยังกล้ามาอวดดีที่นี่อีกซ้อมแกตายแน่ พี่เฟิงให้แกร่วมงานปาร์ตี้ยังไม่กล้า กลับตัวเองขายหน้าต่อหน้าฉู่ฉู่ใช่ไหม?”

ผู้ชายสองคนข้างกายซือหม่าเฟิงจ้องหลินอิ่งอย่างโหดเหี้ยม ท่าทางเหมือนพร้อมจะทำอะไรสักอย่าง

ซือหม่าเฟิงหัวเราะเย็นชา พูดว่า “ฉันดูท่าทางกระจอกอย่างนาย ก็แค่ครอบครัวยากจน แมงดา ไม่มีเงินไม่กล้าเล่น ยังอวดดี? หลบอยู่ด้านหลังผู้หญิงทำตัวเท่? ตลกสิ้นดี ถ้าไม่ใช่เห็นแก่หน้าฉู่ฉู่ ตอนนี้นายได้คุกเข่าอยู่ที่พื้นแล้วรู้ไหม?”

“ซือหม่าเฟิง คุณหลินเป็นเพื่อนฉัน กรุณาพูดจาระวังหน่อย” ฉู่ฉู่พูดอย่างเคร่งขรึม รู้สึกลำบากใจ

เธอใส่ใจภาพลักษณ์ของตัวเองที่อยู่ในใจหลินอิ่ง ถ้าหากซือหม่าเฟิงทาให้หลินอิ่งไม่พอใจ ภาพลักษณ์ของเธอที่อยู่ในใจหลินอิ่งก็ไม่ดีแล้ว นี่ทำให้คนโมโหจริงๆ

“ฉู่ฉู่ ฉันไม่ได้ไม่เคารพเพื่อนของเธอ แต่เพื่อนของเธอคนนี้ มันไม่คู่ควร” ซือหม่าเฟิงพูดอย่างจริงจัง “ฟังคำพูดของฉัน อยู่ห่างกับคนไร้น้ำยาแบบนี้หน่อย ต้องดีต่อเธอแน่นอน”

“ไอ้แซ่หลิน วันนี้ ฉันเห็นแก่หน้าฉู่ฉู่ ให้ฉู่ฉู่มาร่วมงานกัน นายไม่กล้ามาก็ได้ ขอโทษยอมรับผิดกับฉันเดี๋ยวนี้ ยอมรับว่านายเป็นคนไร้น้ำยา” ซือหม่าเฟิงพูดอย่างเย็นชา ทนไม่ไหวที่จะระเบิดอารมณ์โกรธออกมา

“ไม่อย่างนั้น……”

“ไม่อย่างนั้นทำไมเหรอ?” หลินอิ่งถามด้วยความสนใจ

“เหอะเหอะเหอะ” ซือหม่าเฟิงหัวเราะอย่างโหดเหี้ยม “ฉันรับรองว่านายจะเสียใจกับคำพูดที่พูดวันนี้”

“เหอะ” หลินอิ่งก็หัวเราะเย็นชา “ในเมื่อคุณอยากพิสูจน์ว่าตัวเองเก่งขนาดนั้น ผมก็ให้โอกาสคุณสักครั้งก็ได้”

หลินอิ่งพูดอย่างเรียบเฉย “ไปเถอะ ไปดูว่างานเลี้ยงที่คุณจัดนั้นใหญ่โตแค่ไหน ผมก็อยากรู้ ความมั่นใจของคุณซือหม่าเฟิงนั้น เอามาจากไหน”​

“ออ? เหอะเหอะเหอะ” ซือหม่าเฟิงหัวเราะขึ้นมาอย่างเหยียดหยาม “ไอ้แซ่หลิน นายนี่มันช่างเป็นคนซื่อบื้อจริงๆ ถึงตอนนี้แล้วยังไม่รู้ว่าตระกูลซือหม่าคืออะไร”

“ก็ได้ ฉันจะให้นายไปเปิดหูเปิดตาดู สังคมไฮโซเขาเล่นอะไรกัน ให้นายรู้ว่าคนเก่งในสังคมเขาเล่นอะไรกัน ให้ไอ้บ้านนอกอย่างนาย ได้เปิดหูเปิดตาบ้าง” ซือหม่าเฟิงพูดด้วยสีหน้าได้ใจและมั่นใจ

“ฉู่ฉู่ มาเลย พอดีในงานเลี้ยงมีการประมูลของล้ำค่า ไม่เจอกันตั้งนาน ผมเตรียมของขวัญให้คุณชิ้นหนึ่ง” ซือหม่าเฟิงพูดกับฉู่ฉู่สีหน้ายิ้มแย้ม คิดไว้เรียบร้อยแล้ว ควรจะเหยียดหยามศักดิ์ศรีหลินอิ่งที่นี่ให้สาสมได้ยังไง ให้ได้รับความสะใจต่อหน้าฉู่ฉู่

ฉู่ฉู่สายตายกะพริบ มองไปที่หลินอิ่ง ยินดีทำตามความหมายของหลินอิ่ง

ในใจของเธอ ไม่ว่าไปทำอะไรก็ดี ขอแค่ได้อยู่กับหลินอิ่งนานอีกสักวินาทีก็ดี

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads แทงบอลออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน