ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 643 ศึกตะลุมบอน

บทที่ 643 ศึกตะลุมบอน

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับชายหนุ่มชุดดำที่พุ่งเข้ามาหวังที่จะฆ่า หลินอิ่งทำหน้าเรียบเฉย มีแต่ดวงตาที่เย็นชานั่น ที่มันเย็นเยือกจนทำให้รู้สึกสิ้นหวัง

ซิ่ว!

เสียงลมดังขึ้น หัวกะทิองครักษ์มังกรดำคนหนึ่งได้เข้าประชิดตัว ยื่นมือออกมาแล้วเล็งไปที่คอของหลินอิ่ง

สองมือที่เขายื่นไป ต่างก็สวมใส่ถุงมือไหมเงินที่อบอวลไปด้วยรังสีที่ไม่ปกติ แค่มันสัมผัสโดนร่างกาย มันก็สามารถทำให้กระดูกและเลือดเนื้อต้องแหลกสลายไปทันที

หลินอิ่งพลิกมือแล้วจับข้อมือของคนคนนั้นเอาไว้ พอแขนกระตุก ลมปราณที่แทบจะกลายเป็นของแข็งได้พุ่งออกไป จนเกิดเป็นการระเบิดขึ้นอย่างรุนแรง

เสียงตูมดังขึ้น พร้อมกับมือข้างหนึ่งขององครักษ์มังกรดำคนนั้นที่ระเบิดออกอย่างกะทันหัน เลือดพุ่งออกมาราวกับสายฝน

มือข้างหนึ่งของเขา สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าว่ามันได้แตกร้าวไปอย่างรวดเร็ว เหมือนมันได้แหลกเป็นจุณไปแล้ว ส่วนร่างกายก็ถูกแรงปะทะที่มองไม่เห็นซัดจนกระเด็นออกไปเป็นสิบเมตร

“อ้าก!”

หัวกะทิองครักษ์มังกรดำคนหนึ่งที่พุ่งเข้ามา ได้ส่งเสียงร้องครวญครางออกมา เขาลงไปนอนอย่างอ่อนแรงอยู่บนพื้น ราวกับคนที่ถูกไฟช็อต มือข้างหนึ่งของเขาถูกทำลายไปอย่างสมบูรณ์ แม้แต่ถุงมือที่ถูกสั่งทำมาเป็นพิเศษยังแหลกละเอียดไม่เหลือชิ้นดี

องครักษ์มังกรดำอีกหลายสิบคนที่เหลือ ต่างก็ยืนนิ่งอยู่กับที่ สีหน้าเหมือนกำลังตกอยู่ในความช็อก

ทันใดนั้น คนกลุ่มนี้ก็พุ่งออกไปราวกับสายฟ้าอีกครั้ง ทุกคนต่างมุ่งเป้าไปที่หลินอิ่งหวังที่จะสังหารเขา

ราวกับการเสียสละตนเองของหัวกะทิองครักษ์มังกรดำคนแรกนั้นไม่ได้ส่งผลอะไรกับพวกเขาเลย

พอเห็นแบบนั้น มุมปากของหลินอิ่งก็ปรากฏรอยยิ้มที่เหี้ยมโหดขึ้น

เขารู้ดี ว่าการฝึกฝนของแก๊งมังกรนั้น ต้องเป็นที่สุดของโลกแน่นอน ไม่ว่าต้องเจอกับภัยอันตรายแบบไหน ก็ยังคงปฏิบัติตามคำสั่งที่ได้รับมอบหมายมาอย่างเคร่งครัด

หลินอิ่งเตะขาออกไป แล้วเขาก็หายไปจากที่ที่ยืนอยู่ราวกับสายลม

จากนั้น ที่ตรงนั้นก็เกิดความโกลาหลขึ้น

หลินอิ่งได้เปิดฉากการสังหารที่ทรงประสิทธิภาพขึ้น

ตัวเขานั้น เป็นเหมือนมัจจุราชที่กำลังทำการเข่นฆ่าอย่างบ้าคลั่ง กลายเป็นมังกรที่กำลังแหวกว่าย พุ่งผ่านชายหนุ่มชุดดำไปทีละคนทีละคน ทุกครั้งที่ผ่านไป ก็ต้องมีเลือดพุ่งกระฉูดออกมา แล้วหัวกะทิองครักษ์มังกรดำไปหลายคน

ฝีมือและความเร็วของเขา ไม่ใช่สิ่งที่องครักษ์มังกรดำพวกนี้จะคาดเดาได้เลย ส่วนมากนั้นยังมองเห็นร่างของหลินอิ่งไม่ชัดก็ต้องล้มตายไปก่อนแล้ว

“อ้าอ้า!”

“เอือก! อ้า!”

เสียงร้องครวญครางดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า องครักษ์มังกรดำล้มลงบนกองเลือดคนแล้วคนเล่า

แต่ร่างกายของหลินอิ่งนั้น ก็ยังไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า ทุกครั้งที่เขาปรากฏตัว ก็จะมีเสียงที่น่าสะพรึงกลัวดังขึ้น ดังจนทำให้แสบแก้วหู จากนั้นก็เป็นภาพร่างคนที่ลอยกระเด็นกระดอนออกไป

ภาพที่เกิดขึ้นคือการโจมตีอยู่ฝ่ายเดียว

เห็นได้ชัดว่าหัวกะทิองครักษ์มังกรดำพวกนี้ ไม่สามารถถ่วงหรือตัดกำลังของหลินอิ่งได้เลย

“นี่……”

สีหน้าของเหวินเทียนเฟิ่งดูตกใจเล็กน้อย มองดูหลินอิ่งที่เหมือนได้รับพรจากพระเจ้า จึงอดไม่ได้ที่ต้องขมวดคิ้ว แล้วมองไปยังนายพลงูที่ยืนอยู่ข้างๆ ด้วยสายตาที่ช็อก

“ไหนคุณบอกว่าหลินอิ่งมันต่อสู้ไม่ได้แล้วไม่ใช่เหรอ? แล้วทำไมถึงยังเก่งได้ถึงขนาดนี้?” เหวินเทียนเฟิ่งถามออกไปด้วยความสงสัย

“ผมเองก็ไม่นึกเหมือนกัน ว่าระดับหัวกะทิขององครักษ์มังกรดำจะขวางเขาไว้ไม่ได้” นายพลงูพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักอึ้ง พร้อมกับจ้องมองหลินอิ่งด้วยสายตาที่เคร่งขรึม

ภารกิจที่ท่านมังกรดำมอบหมายให้เขาทำก็คือ การนำทีมหัวกะทิองครักษ์มังกรดำบีบให้หลินอิ่งโมโหให้ได้

ถ้าสามารถตัดกำลังหรือถ่วงหลินอิ่ง ให้หลินอิ่งต้องลำบากจะดีที่สุด

แต่ว่า ตอนนี้มันเป็นสถานการณ์ที่โจมตีอยู่ฝ่ายเดียวนั้น หัวกะทิองครักษ์มังกรดำถูกหลินอิ่งเข่นฆ่าไปทีละคนทีละคน นั่นจึงทำให้ความกดดันที่อยู่ในใจของนายพลงูเพิ่มขึ้นไปอีก และเขาก็ยังรู้สึกปวดใจไปด้วยในเวลาเดียวกัน

ต้องเข้าใจก่อนว่า หัวกะทิองครักษ์มังกรดำทุกคนต่างก็ฝึกฝนออกมาอย่างยากลำบาก ชีวิตของยอดฝีมือพวกนี้ไม่อาจซื้อได้ด้วยเงินทองได้

การที่ต้องมายืนมองหัวกะทิพวกนี้ล้มตายไปทีละคน ในใจของนายพลงูก็แทบจะกระอักเลือดแล้ว

“พวกนายถอยไป! เดี๋ยวฉันจะเป็นคนสั่งสอนเขาเอง!”

นายพลงูพูดออกมาอย่างไม่ชอบใจ จากนั้นก็เตะขาออกมา ร่างกายของเขาก็เคลื่อนไหวราวกับแสงจากดาวตก ก่อเกิดเสียงลมที่ดังลั่น แล้วพุ่งเข้าไปในฝูงชน

ในการที่นายพลงูเข้าร่วมการต่อสู้ พวกองครักษ์มังกรดำที่ต่อสู้กับหลินอิ่งจนพ่ายแพ้ย่อยยับ ก็พากันล่าถอยออกไป

บนร่างกายของพวกเขาทุกคน ต่างก็เปียกชุ่มไปด้วยเลือด หลังจากที่ปะทะกับหลินอิ่ง ไม่มีใครเลยที่ไม่บาดเจ็บสาหัส

บางคนถึงขั้นยังไม่ทันได้เข้าใกล้หลินอิ่ง ก็ถูกชี่กังที่น่าสะพรึงกลัวกระแทกจนช้ำในแล้วก็มี

ตูม!

ในตอนนั้นเอง ทันทีที่ผู้คนล่าถอยออกไป ใจกลางของสนามรบก็ได้เกิดเสียงที่ดังสนั่นหวั่นไหวขึ้น

นายพลงูลอยลงจากฟ้าเหมือนเครื่องจักรที่น่าสะพรึงกลัว กระแทกลงไปที่กลางสนาม จนก่อให้เกิดเกลียวคลื่นที่คลุ้งไปด้วยฝุ่น

ฝ่ามือที่เขาซัดลงมาจากกลางอากาศนั้น ได้ก่อเกิดเป็นคลื่นพลังชี่กังที่น่าสะพรึงกลัว พลังอันมหาศาลทำให้พื้นดินในรัศมีสิบเมตรสะเทือนจนยุบลงไปเลย

โดยเฉพาะหลินอิ่งที่ยืนมือไขว้หลังอยู่กลางวง ได้ถูกการโจมตีในครั้งนี้เข้าก่อนใคร

การที่ต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีที่ทรงอำนาจและรุนแรงแบบนี้ หลินอิ่งก็ยังดูไม่สะทกสะท้าน พลิกมือแล้วซัดฝ่ามือสวนไป

คนหนึ่งอยู่บนฝ้า ส่วนอีกคนก็อยู่บนพื้น

เมื่อทั้งสองประชันฝ่ามือกัน ก็ก่อให้เกิดคลื่นพลังที่รุนแรงอย่างถึงที่สุดขึ้น แผ่กระจายไปตามทาง แรงสั่นสะเทือนทำให้พื้นดินถึงกับแตกร้าว กลายเป็นภาพของหินทรายปลิวว่อนที่ชวนให้ตกใจ

แววตาของนายพลงูนั้นดูตกตะลึง เหงื่อเย็นไหลออกมาจากหน้าผาก ร่างกายแข็งแกร่งอยู่กลางอากาศ เขารู้สึกแค่ว่าเหมือนกำลังภายในที่อยู่ตรงฝ่ามือกำลังถูกหลุมที่ไม่มีที่สิ้นสุดดูมันเข้าไปอย่างช้าๆ

เห็นแล้วเหมือนเขาจะดูน่าเกรงขาม เพียงฝ่ามือเดียวก็ทำให้เกิดภาพที่น่าสะพรึงกลัวแบบนี้ขึ้นมาได้

แต่ความจริงแล้ว ทันทีที่ปะทะฝ่ามือกับหลินอิ่ง ในใจของนายพลงูก็รู้ตัวแล้ว ว่าเขานั้นได้พ่ายแพ้อย่างราบคาบไปแล้ว

เพราะว่า หลินอิ่งนั้นใช้มือเพียงข้างเดียว ส่วนมืออีกข้างยังคงอยู่ที่ด้านหลัง ร่างกายไม่ขยับเขยื้อน ก็สามารถรับการโจมตีโดยกำลังภายในที่รุนแรงของเขาได้อย่างง่ายดายแล้ว

ส่วนตัวเขานั้น แม้แต่หลินอิ่งมีความแข็งแกร่งแค่ไหนเขายังรับรู้ไม่ได้เลยด้วยซ้ำ

หลินอิ่งจ้องมองนายพลงูด้วยแววตาที่เฉยชา แล้วขำออกมาอย่างไม่ชอบใจ

“คุณ ยังแข็งแกร่งไม่พอ”

พูดจบ ข้อมือของหลินอิ่งก็สั่นไหว เสียงดังสนั่นของอากาศที่ว่างเปล่าจากชี่กังได้ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง แล้วมันก็วิ่งเข้าไปในร่างกายของนายพลงูอย่างรวดเร็วสั่นสะเทือนจนร่างกายของเขาแข็งแกร่งอยู่กลางอากาศ และเริ่มสั่นขึ้นมา

“นี่ คุณไปฝึกกำลังภายในอะไรมากันแน่? ทำไมมันถึงได้ประหลาดแบบนี้?” นายพลงูถามไปด้วยความประหลาดใจ พร้อมกับสายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกที่ไม่อยากจะเชื่อ

ทันทีที่กำลังภายในไหลเข้าไปในร่างกาย ชีพจรทั่วร่างต่างก็สั่นไหว พละกำลังในร่างกายได้เกิดรวน แล้วเริ่มต่อต้านตัวเองขึ้นมา

มันบ่งบอกได้อย่างชัดเจนแล้วว่า กำลังภายในของหลินอิ่งนั้นไม่เพียงล้ำลึกเกินจะคาดเดา ที่สำคัญคือมันมีการเปลี่ยนแปลงที่น่าประหลาด มันสามารถส่งเข้ามาในร่างกายของคนได้ จนทำให้ชีพจรนั้นรวนไปทันที

ในตอนนี้ แรงกดดันที่มีอยู่ในใจของนายพลงูมันมากจนทำให้หัวสมองขาวโพลน จนมันแทบจะกลายเป็นความหวาดกลัวไปแล้ว

หลินอิ่งยังคงทำหน้าเหมือนเดิม แววตานั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยจิตสังหารอันรุนแรง ข้อมือหมุนวน แล้วถือโอกาสจับที่ข้อมือของนายพลงูไปด้วย จากนั้นก็ผลักออก กล้ามเนื้อและกระดูกของนายพลงูเคลื่อนจนเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว

“เอื้อกเอื้อกเอื้อกเอื้อกเอื้อกเอื้อกเอื้อก!”

ร่างกายของนายพลงูหดเกร็งอย่างบ้าคลั่งไปทั่วตัว มีฟองขาวๆ ทะลักออกจากปาก ส่งเสียงครวญครางที่แปลกประหลาดออกมา สายตาที่จ้องไปยังหลินอิ่ง ก็เต็มไปด้วยความแตกตื่น

ในตอนนี้ ในใจของเขากำลังรู้สึกเสียใจมาก เสียใจที่ไม่น่ามั่นใจในตัวจนไปปะทะฝ่ามือกับหลินอิ่งเลย

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads แทงบอลออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน