ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 677 ขัดเกลาให้หินกลายเป็นทอง

บทที่ 677 ขัดเกลาให้หินกลายเป็นทอง

“อะไรนะ? รับมือฉันไม่ใช่ปัญหา?”

ได้ยินหลินอิ่งพูดแบบนี้ สีหน้าของหลินชิงเย่ก็ชะงักอยู่ครู่ หลังจากนั้นก็หัวเราะขึ้นมา

“หลินอิ่ง นายนี่น่าขันจริงๆ นะ? นายสอนตาแก่นี่นิดหน่อย ก็สามารถล้มฉันได้?” หลินชิงเย่หัวเราะลั่น “ฉันไม่เข้าใจ ว่าในหัวนายใส่อะไรไว้กัน”

เมื่อก่อน หลินชิงเย่ยังถูกท่าทีของหลินอิ่งทำให้ตกใจอยู่เลย

แต่ตอนนี้ คำพูดของหลินอิ่ง ทำให้หลินชิงเย่รู้สึกน่าขัน ตลก

ไม่คิดหน่อย ตาแก่กู่ชางไห่คนนั้น กับเขามันอยู่กันคนละโลกเลย

ในนั้น อย่างน้อยก็ต้องพยายามอย่างสิบกว่าปีถึงจะเทียบกันได้

แต่หลินอิ่ง กลับพูดว่าจะสอนกู่ชางไห่นิดหน่อย ก็สามารถคว่ำตนลงได้?

นี่เกรงว่าคงเสียสติไปแล้ว!

“ทำไม? นายไม่กล้า?” หลินอิ่งถามอย่างนิ่งๆ

“ฮ่าๆๆ !” หลินชิงเย่หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง นัยน์ตาเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม “ฉันไม่กล้า? ฉันกลัวว่าคนของนายจะไม่สู้ แล้วจะถูกฉันตีตาย!”

“หลินอิ่ง ฉันไม่รู้จริงๆ นายคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน? เป็นปราชญ์แห่งประเทศหลุงเหรอ?” หลินชิงเย่ทำหน้าดูถูกพลางยิ้มเยาะ “แค่ไม่กี่กระบวนท่า ก็ฝันว่าคนที่ฝืนตัวเองเข้าอันดับมา สู้กับฉันได้?”

“แค่ไอ้แก่นี่ กลับไปฝึกซ้อมอีกสิบปีก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้!”

ความสามารถของกู่ชางไห่ ในใจของหลินชิงเย่นั้นรู้ดี

อายุอย่างตาแก่นี่ ได้มาถึงจุดสูงสุดของศิลปะการต่อสู้แล้ว หมดศักยภาพ เลื่อนขั้นขึ้นไม่ได้อีกแล้ว

ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการก้าวไปอีกขั้น เป็นการยากที่จะรักษาความแข็งแกร่งของศิลปะการต่อสู้ของตอนนี้

ถึงยังไงอายุถึงเวลาแล้ว ลมปราณเลื่อนขั้นไม่ได้ วิทยายุทธก็จะค่อยๆ ถดถอยลงไปทุกวัน ไม่มีทางเพิ่มขึ้น!

และตัวกู่ชางไห่ ในใจก็รู้เรื่องนี้ดี

ถึงแม้เขาใช้ชีวิตแก่ๆ จะสู้จนตาย เป็นไปไม่ได้เลยที่จะชนะหลินชิงเย่ชายหนุ่มที่มีพรสวรรค์คนนี้ และก็ไม่รู้ว่า ในใจผู้อาวุโสนั้นคิดยังไง

“สรุปแล้วนายกล้ารับหรือว่าไม่กล้ารับ?” หลินอิ่งมองหลินชิงเย่ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ และถามอย่างนิ่งๆ

“รับ!ทำไมฉันถึงจะไม่รับล่ะ?” หลินชิงเย่พูดอย่างมั่นใจสุดๆ

“แต่ไม่ใช่ว่าใครก็สามารถมาสู้กันฉันได้หรอก” หลินชิงเย่พูดอย่างโอ้อวด “หลินอิ่ง นายถึงกับส่งคนแก่งั่กแบบนี้เป็นตัวแทนนายออกมาสู้ งั้นถ้าแพ้ล่ะ ควรจะทำยังไงดี?”

“นายอย่าคิดว่า แค่เรียกคนมาจัดการ มาดูถูกฉันได้!” หลินชิงเย่พูดเสียงเข้ม

ในฐานะที่เป็นชายหนุ่มที่มีชื่อเสียง เป็นคนที่อยู่ในอันดับสูง

หลินชิงเย่แน่นอนว่าต้องความโอ้อวดและศักดิ์ศรีในตัวเอง

เรื่องการประลอง ไม่สามารถทำไปทีได้

ไม่ใช่ว่าใคร ฐานะอะไร ก็จะสามารถมาสู้กับยอดฝีมือได้

หลินชิงเย่มาสู้กับกู่ชางไห่ ก็ไม่ได้ดูดีขึ้น แถมกลับยังลดค่าตกต่ำลง

ดังนั้น ชื่อต้องเป็นค่าบวก

“นายอัปยศ?” หลินอิ่งส่ายหน้า แล้วหัวเราะอย่างเย็นชา “นายคิดว่าฉันให้กู่ชางไห่สู้กับนาย เป็นการทำให้นายอัปยศ?”

“ฉันก็ทำให้นายอัปยศแหละ เกรงแต่ว่า แม้แต่จะอัปยศ นายยังจะรับไว้ไม่ไหว”

หลินอิ่งพูดอย่างสบายๆ

“นาย!” ทันใดนั้นหลินชิงก็โมโหขึ้นทันที และถลึงตามองหลินอิ่งอย่างโมโห

โอหัง โอหังเกินไปแล้ว!

หลินชิงเย่คิดว่าตัวเองโอหังมากแล้ว แต่ก็ไม่เคยเจอใครโอหังอย่างหลินอิ่งมาก่อนจริงๆ !

“ฉันให้เขาออกไปสู้ แน่นอนว่าต้องเป็นตัวแทนฉัน นายสามารถชนะกู่ชางไห่ได้ งั้นก็เท่ากับว่าชนะฉัน” หลินอิ่งพูดอย่างนิ่งๆ

“วันนี้ถ้าหากกู่ชางไห่แพ้แล้ว ฉันจะฟัง และยอมนาย” หลินอิ่งพูดอย่างสบายๆ

พอได้ยิน นัยน์ตาของหลินชิงเย่ก็มีประกาย และพูดอย่างประหลาดใจ: “เรื่องจริงมั้ย?”

“ฉันหลินอิ่งเคยพูดล้อเล่นเมื่อไหร่?” หลินอิ่งพูดนิ่งๆ

“งั้นก็ดี!ถ้าหากวันนี้เขาแพ้ ฉันจะให้นายหลินอิ่งคุกเข่าโขกหัว และยอมรับผิดอย่างเชื่อฟัง หลังจากนั้น ก็กลับตระกูลหลินแห่งลังยาไปกับฉัน คุกเข่าหน้าประตูตระกูลหลิน และยอมรับผิด ต่อหน้าคนตระกูลหลินทุกคน!”

หลินชิงเย่พูดเสียงเย็นชา

“หลินอิ่ง นายกลับยอมรับมั้ย?”

หลินอิ่งหัวเราะนิ่งๆ แล้วพูด: “ได้สิ”

“แต่ว่า” พูดถึงตรงนี้ หลินอิ่งเปลี่ยน น้ำเสียงของเขากลายเป็นเย็นชาสุดๆ

“ถ้าหากนายแพ้ ฉันจะให้นายหลินชิงเย่ เอาคำที่นายต้องการทั้งหมด ทำมันเหมือนกัน!”

“นายต้องโขกหัวให้ฉัน เช่นกัน ว่าต้องกลับตระกูลหลิน และคุกเข่าขอโทษต่อหน้าทุกคน!”

“ขอโทษรู้สึกผิด โทษฐานที่นายกวาดล้างรากฐานที่ตี้จิง รบกวนแผนการฉันที่เมืองชิงหยูน แตะคนของฉัน!”

หลินอิ่งพูดอย่างเย็นชา

หลินชิงเย่สีหน้าตกใจ เหมือนโดนสายฟ้าฟาด

เขาไม่รู้ว่า ทำไมหลินอิ่งถึงได้มีความกล้าและความมั่นใจขนาดนี้

หรือว่า เขาจะสามารถสร้างปาฏิหาริย์ได้จริงๆ ให้ตาเฒ่าสู้ให้ฉันแพ้?

สีหน้าของหลินชิงเย่สงสัยอยู่ครู่ และลังเลขึ้นมาเล็กน้อย

“ทำไม? นายบอกว่าฉันทำให้นายอัปยศอดสู แต่ราวกับฉันแกล้งนาย นายกลับยังลังเลไม่กล้าตอบรับคำท้า?”

หลินอิ่งยกยิ้มที่มุมปากอย่างเย็นชา แล้วมองหลินชิงเย่

ต่อมา หลินชิงเย่ก็โมโหถึงขีดสุด จนเส้นเลือดบนหน้าผากปูดขึ้นมา

“หลินอิ่ง นายข่มเหงฉันมากไปแล้ว!”

หลินชิงเย่พูดอย่างโมโห ยื่นมือชี้ไปทางกู่ชางไห่ “นายออกมา ตอบรับคำท้า!”

หลินชิงเย่พูด พลางปล่อยออร่าที่ดูดุร้าย เสื้อยาวบนร่างสั่นทั้งๆ ที่ไม่มีลม ราวกับมีลมพัดเข้ามาปะทะกับร่าง

“กู่ชางไห่ มานี่” หลินอิ่งเรียกหนึ่งคำ

กู่ชางไห่เดินเข้ามาด้านหน้า และก้มหน้าอย่างเคารพ

“ต่อจากนี้ แต่ละคำพูด นายจำเอาไว้ให้ดี” หลินอิ่งพูดอย่างจริงจัง

“ครับ ผู้อาวุโส” กู่ชางไห่พูดอย่างเคารพ และตื่นเต้นเล็กน้อย

“นายทำ……แบบนี้นะ……”

หลินอิ่งค่อยๆ พูดสอนกู่ชางไห่อย่างช้าๆ

หลังจากนั้นสองนาที กู่ชางไห่ก็สะดุ้งอยู่ครู่ ราวกับว่าได้ฟังความลับที่สืบทอดต่อกันมา นัยน์ตาปรากฏความมั่นใจอย่างมาก

เขาค่อยๆ เดินออกมา ประชันหน้ากับหลินชิงเย่

“หลินชิงเย่ นายลงมือเถอะ” กู่ชางไห่ค่อยๆ กวักมือเรียกพลางพูด อย่างมั่นใจสุดๆ

หลินชิงเย่ขมวดคิ้ว พลางมองดูการเปลี่ยนไปของกู่ชางไห่ ในใจก็เกิดความสงสัย

ท่าทีของกู่ชางไห่ หรือว่าหลินอิ่งจะสามารถขัดเกลาหินให้เป็นทองได้กัน?

พูดเพียงเล็กน้อย สามารถทำให้กู่ชางไห่เผชิญหน้ากับตน และมีความมั่นใจได้ขนาดนี้

“หึ!”

หลังจากนึกคิด หลินชิงเย่หึอย่างเย็นชา และก็ไม่กล้าคิดมาก

“เล่นแง่อะไรตรงนี้!”

“วันนี้ฉันจะอัดนายให้เดี้ยง!”

พูดจบ ร่างของหลินชิงเย่กลายเป็นอย่างระเบิดปรมาณู และพุ่งเข้าไปทางกู่ชางไห่อย่างแรง

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads แทงบอลออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน