ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 689 ตี้จิงสั่นสะเทือน

บทที่ 689 ตี้จิงสั่นสะเทือน

ตระกูลกงซุนแห่งตี้จิงกำลังประชุมหารือร่วมกัน

ส่วนในคฤหาสน์ตระกูลจ้าว ตอนนี้สว่างไสว

แม่เฒ่าและคุณท่านตระกูลจ้าว นั่งตำแหน่งหัวหน้า

ถัดไปคือกลุ่มผู้มีอำนาจตระกูลจ้าว ตลอดจนจ้าวเฉิงเฉียนและจ้าวหลินเอ๋อร์ที่เป็นรุ่นน้องที่โปรดปราน

“การเรียกประชุมที่อาคารเทียนหลงในวันพรุ่งนี้ เพื่อวางโครงการเมืองเทคโนโลยีเทียนหลงใหม่ พวกคุณได้ข่าวแล้วใช่ไหม?นิ่งไท่จี๋กับฉีเวิ่นติ่งแจ้งฉันแล้ว ว่าต้องการให้ตระกูลจ้าวสนับสนุนอย่างเต็มที่”คุณท่านตระกูลจ้าวพูดขึ้นช้าๆ

“พวกคุณคิดยังไงกับเรื่องนี้?”

ความวุ่นวายที่หลินสวนถูก่อในตี้จิงนั้นใหญ่หลวงจริงๆ สั่นสะเทือนไปทั้งตี้จิง

ตระกูลชั้นสูงในตี้จิงทุกตระกูล ตลอดจนกลุ่มนายทุนบางส่วน ตอนนี้ล้วนกำลังปรึกษาหารือกัน ว่าจะรับมือกับการประชุมที่อาคารเทียนหลงในวันพรุ่งนี้ยังไง

รู้หรือไม่ว่าโครงการเมืองเทคโนโลยีเทียนหลง เกี่ยวข้องกับอำนาจของตระกูลชั้นสูงในตี้จิงจำนวนมาก

หลินสวนถูอะไรนั่นมาถึงก็เสนอเงื่อนไขที่สูงมาก ต้องการเป็นใหญ่ในเมืองเทคโนโลยีเทียนหลงเพียงคนเดียว

ทุกคนในแต่ละวงการของตี้จิง ต่างไม่สบายใจกันทั้งนั้น

เพียงแต่พวกเขาก็กลัวบารมีของคนผู้นี้เช่นกัน

เพราะหลินสวนถูมีชื่อเสียงเป็นผู้เหยียบย่ำคุณชายอิ่งแห่งตี้จิง แถมยังแสดงตัวว่าเป็นผู้อาวุโสเบื้องหลังตระกูลของคุณชายอิ่ง

จนถึงตอนนี้ คุณชายอิ่งแห่งตี้จิงยังไม่มีการตอบโต้ใดๆ

ทำให้คนจำนวนมากไม่พอใจ แต่ก็ไม่กล้าทำอะไร

หารู้ไม่ว่าคนที่แม้แต่คุณชายอิ่งแห่งตี้จิงก็จัดการไม่ได้ ยังจะมีใครกล้าสู้ด้วย?

“คุณปู่ ผมว่าเรื่องนี้ตระกูลจ้าวของเราต้องออกหน้า เพราะเรามีความร่วมมืออันลึกซึ้งกับหลินอิ่งในเมืองเทคโนโลยีเทียนหลง หลักการน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า คนแก่อย่างปู่น่าจะเข้าใจ”จ้าวเฉิงเฉียนเงียบอยู่นาน จากนั้นก็แสดงความเห็นตัวเองออกมาด้วยท่าทีจริงจัง

หลินอิ่งจู่ๆ ก็ขาดการติดต่อ สำหรับจ้าวเฉิงเฉียนนั้นในใจค่อนข้างรู้สึกซับซ้อน ทั้งรู้สึกเสียดาย และตกตะลึง

เพราะหลินอิ่งเป็นคนด้านนอกที่ช่วนเขาได้มาก

และที่หลินอิ่งเป็นคนของตระกูลหลินแห่งลังยา ก็ทำให้จ้าวเฉิงเฉียนอึ้งมากเช่นกัน

จ้าวเฉิงเฉียนอยากรู้ที่มาที่ไปของหลินอิ่งในแวดวงลึกลับมาตลอด คิดยังไงก็คิดไม่ออกที่คิดไม่ถึงว่าจะเป็นตระกูลอันดับหนึ่งในแวดวงลึกลับอย่างตระกูลหลินแห่งลังยา

มิน่าล่ะไม่ว่าหลินอิ่งจะทำอะไรก็ดูมีความมั่นใจ

ถ้าเป็นยามสงบ จ้าวเฉิงเฉียนไม่มีทางไปตีเสมอตระกูลหลินแห่งลังยาแน่นอน

แต่ระหว่างหลินอิ่งกับเขานั้นมีผมประโยชน์ที่เชื่อมโยงกัน

จ้าวเฉิงเฉียนมีส่วนในโครงการเมืองเทคโนโลยีเทียนหลงไม่น้อย

อีกทั้งเรื่องที่จ้าวเฉิงเฉียนวางแผนมุ่งร้ายตระกูลเผยแห่งจี้โจว

ส่วนสำคัญที่สุดของแผนการใหญ่นี้ หนีไม่พ้นความช่วยเหลือของหลินอิ่ง

สิ่งที่สำคัญที่สุด คือในใจของจ้าวเฉิงเฉียน หลินอิ่งคือตำนานที่ไม่เคยพ่ายแพ้

เขาไม่เชื่อว่าหลินอิ่งจะผ่านภัยพิบัติครั้งนี้ไม่ได้ และไม่เชื่อว่าหลินสวนถูจะสามารถเหยียบย่ำหลินอิ่งได้

ดังนั้นในช่วงเวลาที่สำคัญ เขาต้องสนับสนุนหลินอิ่งอย่างเต็มที่!

ถ้ามองจากมุมอื่น นี่คือเสน่ห์เฉพาะตัวของหลินอิ่

แม้แต่คนเก่งอย่างจ้าวเฉิงเฉียน ภายในใจก็ยังนับถือหลินอิ่ง

“เฉิงเฉียน ความคิดเห็นของคุณมันเกินไปแล้ว!น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่าอะไรกัน?แม้ตระกูลจ้าวของจะมีความร่วมมือกับหลินอิ่ง แต่ยังไม่ต้องถึงขั้นไปตายเป็นเพื่อนเขา!”ผู้ผู้อาวุโสตระกูลจ้าวคนหนึ่งพูดเสียงเย็นชา

“ทิศทางลมในตี้จิงตอนนี้เปลี่ยนไปแล้ว ไม่ใช่ยุคของคุณชายอิ่งอีกแล้ว”

“หลินอิ่งแสดงให้เห็นชัดเจนแล้ว ว่าเป็นคนที่กู่ไม่กลับแล้ว ทำตระกูลจ้าวต้องไปช่วยเขา?ไปรับน้ำใจจากเขางั้นเหรอ?”

“อืม”คุณท่านตระกูลจ้าวพยักหน้าเบาๆ อย่างเห็นด้วยสุดๆ “ตัวตนของหลินอิ่งถูกเปิดเผยแล้ว ว่าเป็นลูกหลานตระกูลหลินแห่งลังยา คนที่ลงมือกับเขาตอนนี้ คือคนที่หนุนหลังเขา”

“หมายความว่า ตระกูลหลินแห่งลังยาออกหน้า ว่าหลินอิ่งเป็นคนที่สูญเสียอำนาจ เขาก็ไม่สำคัญแล้ว”

คุณท่านตระกูลจ้าวพูดอย่างค่อนข้างดูถูก

“คุณท่านฉลาดจริงๆ “ผู้อาวุโสตระกูลจ้าวคนหนึ่งพูดขึ้นด้วยความจริงจัง”หลินอิ่งในตอนนี้ แม้แต่คนเบื้องหลังก็ไม่สนับสนุนเขา เขายังมีสิทธิ์อะไรดูแลเมืองเทคโนโลยีเทียนหลง?”

“ไม่คิดหน่อยเหรอ ว่าตระกูลหลินแห่งลังยานั้นระดับไหน?คนในโลกธรรมอาจไม่เข้าใจ แต่ หลายคนที่นั่งอยู่ยังไม่เข้าใจว่าตระกูลหลินนั้นมีความสำคัญขนาดไหนเหรอ?”

“จะทำให้ทั้งตระกูลหลินขุ่นเคือง เพียงเพราะคนที่ถูกตระกูลหลินตัดหางปล่อยวัด อย่างหลินอิ่งงั้นเหรอ?นี่ไม่ได้เป็นเรื่องที่มีแต่คนโง่ทำหรอกเหรอ?”

เมื่อได้ยินผู้อาวุโสตระกูลจ้าวพูด

จ้าวหลินเอ๋อร์หน้าเริ่มแดง อยากพูดหักล้าง แต่จ้าวเฉิงเฉียนตบไหล่เธอเบาๆ เป็นการบอกให้เธอใจเย็นๆ

“คุณปู่ ส่วนตัวผมไม่คิดว่าหลินอิ่งจะแพ้ ถึงแม้หลินสวนถูจะเก่ง แต่ก็ยังเหยียบหลินอิ่งไม่ตาย”จ้าวเฉิงเฉียนพูดอย่างเฉียบขาด”ถ้าครั้งนี้พวกเรายอมอยู่ฝ่ายหลินอิ่ง สิ่งตอบแทนที่จะได้รับต่อจากนี้นั้นไม่จำกัด……”

“พอได้แล้ว!เฉิงเฉียน แกไม่ต้องพูดอะไรมากแล้ว”แม่เฒ่าตระกูลจ้าวพูดขัดอย่างเหลืออด”ต่อให้แกบอกจะพังฟ้า ฉันกับปู่แกก็ไม่เห็นด้วยยอมช่วยหลินอิ่งหรอกนะ”

“ยิ่งเรื่องนี้หลินอิ่งควรหรือไม่ควรได้รับความช่วยเหลือยิ่งไม่ต้องพูดถึง ก่อนหน้านี้หลินอิ่งปฏิเสธหลินเอ๋อร์ที่บ้านตระกูลจ้าวด้วยท่าทีอวดดีขนาดนั้น ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่ฉันจะสนับสนุนเขา!”แม่เฒ่าตระกูลจ้าวพูดอย่างผูกใจเจ็บ

“อีกอย่าง ตระกูลจ้าวของเราเป็นตระกูลชั้นสูงในโลกธรรม ไม่อาจมีปัญหากับตระกูลระดับนั้นอย่างตระกูลหลินแห่งลังยา ไม่งั้นได้เกิดภัยพิบัติแน่”

“คืนนี้ปรึกษากันดีกว่า ว่าจะอยู่ร่วมกันอย่างปรองดองกับหลินสวนถู ตัวแทนตระกูลหลินในตี้จิงยังไงในอนาคต……”

แม่เฒ่าตระกูลจ้าววางแนวทางไว้ พูดอย่างเป็นจังหวะ ไม่ให้คนอื่นมีช่องทางอื่นอีก

จ้าวเฉิงเฉียนถอนหายใจเบาๆ ไม่พูดอะไรอีก

ใช่ สถานการณ์ตอนนี้ นอกจากคนบ้าก็ไม่มีใครสนับสนุนหลินอิ่งต่อต้านตระกูลหลิน

คนส่วนมากล้วนรอหัวเราะเยาะหลินอิ่ง คิดว่าการโฆษกตระกูลหลินของหลินอิ่งนั้นถูกแทนที่แล้ว ของตระกูลหลิน เป็นแค่ลูกที่ถูกทอดทิ้งไม่มีค่า……

……

วันที่สอง ณ อาคารเทียนหลง

เป็นฉากความเจริญรุ่งเรืองอีกครั้ง มีขบวนรถหรูจำนวนมาก ตัวแทนจากตระกูลชั้นสูงทุกหนแห่งทยอยเข้ามา

ภาพเช่นนี้ เคยเกิดขึ้นที่อาคารเทียนหลงครั้งหนึ่ง

เพียงแค่ครั้งนั้นเป็นตอนที่หลินอิ่งกำจัดตระกูลสวี

แต่ครั้งนี้กลับเป็นคนอื่นที่มากำจัดหลินอิ่ง

ตระกูลนิ่งแห่งตี้จิง ตระกูลฉี ตระกูลจ้าว ตระกูลกงซุน ตระกูลซือหม่า ตระกูลหลี่ ตระกูลซ่ง……

ตัวแทนจากตระกูลต่างๆ มาถึงอาคารเทียนหลงแล้ว

หลินสวนถูยืนมือไขว้หลังมองผู้คนที่คับคั่ง พลางยิ้มเยาะจากบนยอดตึก สายตาเผยความพึงพอใจ

และในขณะเดียวกัน

ณ สนามบินนานาชาติตี้จิง

มีชายสวมเสื้อเชิ้ตสีดำเรียบๆ คนหนึ่ง มือจูงสาวสวยอารมณ์ดี ค่อยๆ เดินออกมาจากสนามบิน ขึ้นรถมุ่งหน้าไปยังอาคารเทียนหลง

หลินอิ่งกับจางฉีโม่ กลับมาถึงตี้จิงแล้ว……

หลินอิ่งที่นั่งตรงเบาะหลัง มีสายตาที่สงบที่ลึกซึ้ง มุมปากเผยความเท่

เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในตี้จิง หลินอิ่งได้รับข้อความจากนิ่งซวนแล้วเมื่อคืน

ทุกการกระทำของหลินสวนถู กำเริบเสิบสานกว่าที่หลินอิ่งคิดไว้มาก

วันนี้ไม่จัดการคนผู้นี้ วันข้างหน้าเขาก็ไม่ต้องยืนหยัดอยู่บนโลกนี้แล้ว

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads แทงบอลออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน