สวีซื่อจิ่นหัวเราะ “ข้าอยากขอหลินปัวจากท่าน!”
“ขอหลินปัว?” สวีลิ่งอี๋ตกใจ “เหตุใดเจ้าถึงนึกถึงเขา!”
หลินปัวกับจ้าวอิ่งเคยเป็นบ่าวรับใช้ของสวีลิ่งอี๋ มีความสามารถและจงรักภักดี หลังจากที่ให้พวกเขาสองคนออกไปแล้ว คนหนึ่งดูแลกิจการนอกเมืองของสกุลสวีที่กว่างโจว อีกคนหนึ่งดูแลกิจการนอกเมืองที่หนิงปัว ล้วนแต่ทำได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะจ้าวอิ่งที่กล้าหาญชาญชัย ตอนนี้กลายเป็นคนที่มีชื่อเสียงในเมืองหนิงปัว แม้แต่ข้าหลวงหนิงปัวเจอเขายังต้องไว้หน้าเขา
“ตอนนั้นฝ่าบาทไม่เห็นด้วยที่ข้าจะไปจับตัวตั่วเหยียนกับโอวหยางหมิง ต่อมาเพราะว่าไทเฮาถามด้วยตัวเอง ฝ่าบาทจึงยอมเห็นด้วยอย่างไม่เต็มใจ เห็นได้ชัดว่าในใจของฝ่าบาทนั้นยังคิดว่าข้าเด็กเกินไป ยังรับผิดชอบหน้าที่อันยิ่งใหญ่ไม่ได้ขอรับ” รอยยิ้มของเขามลายหายไปจากใบหน้า “แต่เป็นเรื่องบังเอิญ ข้าจับตัวตั่วเหยียนได้ ตอนที่ฝ่าบาทเห็นข้า เขาหัวเราะเยาะตรัสว่าข้าโชคดี แล้วยังบอกอีกว่าข้าเป็นแม่ทัพที่โชคดีของเขาขอรับ”
ฝ่าบาทตรัสเช่นนี้ที่พระตำหนักจินหลวน สวีลิ่งอี๋ก็อยู่ในเหตุการณ์
ตอนนั้นทำเอาบรรดาขุนนางต่างพากันหัวเราะ
เขาพยักหน้าเบาๆ
“ไม่ว่าฝ่าบาทจะพูดออกมาจากใจ หรือว่ากลัวไม้เด่นเกินไพร ลมพัดหักโค่น[1] ตามหลักแล้ว ฝ่าบาทไม่ควรให้ข้าเป็นผู้บัญชาการทหารกุ้ยโจว ราชวงศ์ของต้าโจว รวมถึงผู้ว่าการกรมขนส่งเสบียงอาหาร ทั้งหมดมีผู้ว่าการยี่สิบเอ็ดคน ถึงแม้ข้าจะโน้มตัวลง แต่สายตาของคนอื่นก็ต้องมองเห็นข้า” สวีซื่อจิ่นพูดด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม “หลังจากส่งใต้เท้ากงออกไปแล้ว ข้าไปจวนยงอ๋องมา ฟังจากน้ำเสียงของยงอ๋องแล้ว ที่ข้าได้เป็นผู้บัญชาการทหารก็เพราะว่าองค์หญิงเจียงตู…”
ที่ไปที่มาของเรื่องนี้ สวีลิ่งอี๋รู้มากกว่าสวีซื่อจิ่นเสียอีก แต่เขาอยากฟังว่าบุตรชายจะพูดอย่างไร
“พูดเกินจริงเกินไปหรือไม่” สวีลิ่งอี๋พูดอย่างไม่เห็นด้วย “นี่เป็นเรื่องสำคัญของแว่นแคว้น!”
“บรรดาเก๋อเหล่าอยากแย่งชิงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารกับกรมกลาโหม ฝ่าบาทรู้ดีขอรับ” สวีซื่อจิ่นพูด “ต่อมาคนของกรมกลาโหมได้เปรียบ ฝ่าบาทจึงไม่พอใจ บังเอิญองค์หญิงเจียงตูคิดว่าข้าได้รับความไม่ยุติธรรมเลยไปพูดกับฮองเฮา ตัดสินใจกะทันหันว่าให้ข้ารับตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการทหารกุ้ยโจว แล้วแต่งตั้งรองผู้บัญชาการฝูเจี้ยนที่บรรดาเก๋อเหล่าแนะนำขึ้นเป็นผู้บัญชาการทหารมณฑลซื่อชวน จะว่าไปแล้ว นี่คือแผนการสร้างความสมดุลของฝ่าบาทขอรับ “
สวีลิ่งอี๋มองสวีซื่อจิ่นด้วยความตกตะลึง
บุตรชายโตแล้วจริงๆ เขาไม่ใช่เด็กที่ทำให้ตนเป็นห่วงและไม่กล้าปล่อยมือแม้แต่นิดเดียวอีกต่อไปแล้ว
สนทนากับสวีซื่อจิ่นราวกับสนทนากับสหายของตัวเองแบบนี้เขาไม่ค่อยคุ้นชิน ซ้ำยังรู้สึกแปลกใหม่
“เจ้าไม่ควรคาดเดาความคิดของฝ่าบาท” เขาตำหนิบุตีชายอย่างอ่อนโยน ในน้ำเสียงไม่เพียงแต่ไม่มีความโมโห แล้วยังมีกลิ่นอายของความพึงพอใจ
แน่นอนว่าสวีซื่อจิ่นต้องฟังออก เขายิ้มแล้วมองบิดา จากนั้นก็เปลี่ยนเรื่อง “ที่ปรึกษาที่ดี สามารถพบเจอได้แต่ไม่สามารถจูงใจมาได้ ข้าไม่ฝืนดีกว่าขอรับ หาคนที่สามารถเขียนหนังสือทางการมาใช้งานสักสองสามคน เรื่องสำคัญคือต้องหาคนที่สามารถช่วยข้าดูแลเหมืองเงิน ข้าอายุยังน้อย แล้วยังเป็นทั้งขุนนางและสกุลญาติของราชวงศ์ ไปถึงกุ้ยโจวครั้งแรก บรรดาแม่ทัพที่มีอายุเป็นคนเก่าแก่เหล่านั้นจะต้อนรับข้าเช่นไร หากข้าอยากนั่งบนตำแหน่งผู้บัญชาการทหารกุ้ยโจว คงต้องมีการเชือดไก่ให้ลิงดู หากข้าเอาแต่สนใจเหมืองเงิน คงถูกคนเหล่านั้นอ้างชื่อยงอ๋อง เช่นนั้นมันคงจะวุ่นวาย สองสามปีที่ผ่านมาหลินปัวทำงานที่กว่างตงได้ไม่เลว แล้วยังรอบคอบกว่าจ้าวอิ่ง ให้เขาไปดูแลเหมืองเงินให้ข้า เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดแล้วขอรับ “
ไม่ว่าจะเป็นหลินปัวหรือจ้าวอิ่ง จะให้พวกเขาไปดูแลกิจการนอกเมืองที่กว่างตงหรือว่าหนิงปัว หรือให้พวกเขาไปอยู่ที่ไร่ล้วนแต่ขึ้นอยู่กับคำพูดของเขาแค่คำเดียว แต่เรื่องที่สวีลิ่งอี๋สนใจที่สุดคือเรื่องที่สวีซื่อจิ่นพูดว่า ‘เชือดไก่ให้ลิงดู’
“อ้อ!” เขาเลิกคิ้ว “เช่นนั้นก็หมายความว่า สำหรับเรื่องไปกุ้ยโจว เจ้ามีวิธีรับมือแล้วอย่างนั้นหรือ”
“ยังไม่มีขอรับ” สวีซื่อจิ่นหักข้อนิ้วมือตัวเอง ด้วยท่าทีราวกับจะต่อสู้กับใคร “แต่ใครก็อย่าคิดที่จะมาขี่คอข้า” เขาพูดต่อไปว่า “นี่คืองานแรกของข้า หากข้าทำได้ไม่ดี ทำให้ชื่อเสียงเสื่อมเสีย ต่อไปอยากทำอะไรคงไม่ใช่เรื่องง่าย”
เห็นบุตรชายตัวเองรู้ความ สวีลิ่งอี๋ก็พยักหน้าเบาๆ ไม่ถามอะไรอีก เขายิ้มแล้วพูดว่า “ตอนนี้พี่สี่ของเจ้าดูแลเรื่องในจวน หลินปัวคือผู้ดูแลกิจการนอกเมืองที่กว่างตง กำไรของกิจการนอกเมืองที่กว่างตงคือหนึ่งในสิบของรายได้ของตระกูล หากเจ้าอยากได้หลินปัว ก็ต้องไปคุยกับพี่สี่ของเจ้า!”
สวีซื่อจุนเป็นพี่ชาย อีกทั้งยังเป็นซื่อจื่อ เรื่องนี้ต้องเคารพเขา
สวีซื่อจิ่นได้ยินดังนั้นก็หัวเราะเริงร่า “ก่อนที่ข้าจะมา ข้าไปหาพี่สี่มาแล้วขอรับ พี่สี่บอกว่า ไม่ว่าข้าอยากได้ใคร หากท่านเห็นด้วยก็ให้ข้าพาเขาไปได้เลย แล้วยังมอบเงินให้ข้าสี่พันตำลึง บอกว่ารับตำแหน่งแล้วอย่าขูดรีดเงินของลูกน้อง อย่าทำเรื่องน่าเกลียด คนอื่นจะดูถูกเอาได้ขอรับ” พูดจบ เขาก็หันไปใช้ศอกสะกิดสวีลิ่งอี๋ “ท่านพ่อขอรับ ท่านเคยนำทัพมาก่อน เงินสี่พันตำลึง เป็นเพียงเม็ดฝนในสายตาของบรรดารองผู้บัญชาการและผู้บัญชาการเหล่านั้น ในหนึ่งๆ ปีนั้นพี่สี่ก็ได้เงินไม่เยอะ แต่ให้ข้าตั้งสี่พันตำลึง ส่วนท่านเป็นถึงหย่งผิงโหว ให้เงินส่วนตัวข้าบ้างเถิด ไม่เช่นนั้น…ไม่เช่นนั้น ท่านแม่คงจะบ่นว่าข้าฟุ่มเฟือย ท่านก็รู้ว่าหากท่านแม่อยากทำอะไรก็ต้องทำสำเร็จแน่นอน บางทีท่านแม่อาจส่งว่านต้าเสี่ยนไปดูบัญชีข้าที่กุ้ยโจวก็ได้ อย่างน้อยข้าก็เป็นถึงขุนนางใหญ่ของมณฑล ลูกน้องเห็นว่าข้าโตขนาดนี้แล้ว ท่านแม่ยังตามมาดูบัญชี ราวกับเด็กน้อยที่ยังไม่หย่านม ข้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ข้าจะจัดการลูกน้องได้เช่นไรขอรับ…”
“เจ้าอย่ามาพูดเกินจริง! ข้าไม่เชื่อว่าด้วยความฉลาดของเจ้า คนอื่นสู้รบยังสามารถซื้อที่ดินซื้อเรือนได้ แต่เจ้าจะกลับมามือเปล่า เจ้าไม่ต้องห่วง ข้ากับแม่ของเจ้าไม่มีทางขอเงินจากเจ้าแม้แต่สลึงเดียว เจ้าเก็บไว้เลี้ยงท่านย่าของเจ้าก็พอ เจ้าไม่ต้องมาทำตัวยากจนแถวนี้” ไม่รอให้สวีซื่อจิ่นพูดจบ สวีลิ่งอี๋ก็อดหัวเราะไม่ได้ “สำหรับแม่ของเจ้า นางทำอะไรมีเหตุผล จะส่งว่านต้าเสี่ยนไปตรวจสอบบัญชีเจ้าได้เช่นไรกัน แล้วอีกอย่าง ถึงแม้ท่านแม่ของเจ้าจะส่งว่านต้าเสี่ยนไปดูบัญชีเจ้า คนอื่นเห็นก็จะบอกว่าเจ้ากตัญญูรู้คุณกับนาง ใครจะกล้าหัวเราะเยาะเจ้า หากเจ้าวางแผนดี บางทีอาจมีฉายาว่าผู้บัญชาการกตัญญูรู้คุณก็ได้…”
ท่านแม่เข้มงวดเรื่องเงินกับเขามาโดยตลอด เขาแอบเก็บเงินส่วนตัวของตัวเอง ไม่อยากให้ท่านแม่รู้ แน่นอนว่าจะยอมรับต่อหน้าท่านพ่อไม่ได้ ถึงแม้ท่านพ่อจะไม่บอกท่านแม่ก่อน แต่หากท่านแม่ถามขึ้นมา ท่านพ่อย่อมไม่มีทางปิดบังท่านแม่ เพราะด้วยความเฉลียวฉลาดของท่านแม่ บอกท่านพ่อก็เท่ากับว่าบอกท่านแม่…
“ท่านพ่อ! ท่านพูดเช่นนี้ได้ที่ไหนกัน!” สวีซื่อจิ่นแสร้งทำเป็นไม่ได้รับความยุติธรรม เขาวางแผนว่าหากมารดาส่งว่านต้าเสี่ยนมาดูบัญชีจริงๆ เขาจะคิดหาวิธีให้ตุลาการโจมตีเขา เช่นนี้เขาจะได้ถือเป็นลูกกตัญญู “หากข้ามีเงิน นอกจากเลี้ยงดูท่านย่าแล้ว แน่นอนว่าต้องเลี้ยงดูท่านกับท่านแม่ด้วยขอรับ” ท่านพ่อมองความคิดของเขาออก รีบไปกุ้ยโจวโดยเร็วที่สุดดีกว่า ถึงแม้ที่นั่นจะลำบาก แต่ว่าอยู่ห่างไกล…
“เอาล่ะ เอาล่ะ!” สวีลิ่งอี๋ไหนเลยจะไม่รู้ว่าบุตรชายตัวเองคิดอะไรอยู่ การที่สืออีเหนียงเข้มงวดเรื่องเงินกับเขามาตลอดก็เพราะกลัวว่าเขาจะแอบไปเลี้ยงนางรำ เล่นการพนันเหมือนบรรดาลูกผู้ลากมากดีเหล่านั้น “ในเมื่อหลินปัวต้องไปกุ้ยโจวกับเจ้า เช่นนั้นก็ให้กิจการนอกเมืองที่กว่างตงส่งเงินให้เจ้าใช้ปีละหนึ่งหมื่นตำลึง!”
“ท่านพ่อขอรับ” สวีซื่อจิ่นดีอกดีใจ รีบประจบประแจงบิดา “ท่านดีกับข้าเสียจริง!” เมื่อเห็นท่าทีนิ่งเฉยของบิดา เขาก็ตระหนักอะไรขึ้นมาได้ ยิ้มแล้วถามสวีลิ่งอี๋ “ท่านวางแผนไว้นานแล้วใช่หรือไม่”
สวีลิ่งอี๋ไม่พูดอะไร แต่มองตาเขาด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม เข้มงวดและสุขุม “ตระกูลเราไม่ได้หวังให้เจ้าหาเงินกลับมา แต่เจ้าก็ต้องเอาการเอางาน ห้ามช่วงชิงผลประโยชน์กับราษฎรเด็ดขาด ต้องเป็นขุนนางที่ดี มีความดีความชอบ เมื่อราษฎรพูดถึงเจ้า ไม่จำเป็นต้องเอ่ยชื่นชมเจ้า แต่ก็จะให้ใครชี้หน้าเจ้าแล้วด่าถึงบรรพบุรุษของสกุลสวีไม่ได้!”
สวีซื่อจิ่นรีบทำสีหน้าเคร่งขรึม จากนั้นก็ขานรับ “ขอรับ” ด้วยความเชื่อฟัง “ท่านพ่อไม่ต้องเป็นห่วง ข้าไม่มีทางทำให้สกุลสวีอับอายขายขี้หน้า และยิ่งไม่มีทางทำร้ายราษฎรแน่นอน” พูดจบก็หยุดชะงักไปครู่หนึ่งแล้วพูดต่อไปว่า “และย่อมไม่มีทางให้ใครมาชี้หน้าข้าแล้วด่าทอท่านขอรับ!” พูดถึงตรงนี้ เขาก็ทำสีหน้าเคร่งขรึมกว่าเดิม
“เจ้าพูดอะไรก็เจ้าเล่ห์ไปเสียหมด!” สวีลิ่งอี๋ยิ้มแล้วพูดอย่างเอือมระอา “ข้ากับแม่ของเจ้าเป็นคนเข้มงวด เหตุใดถึงมีบุตรชายอย่างเจ้าได้!”
“ก็เพราะว่าท่านกับท่านแม่เข้มงวดมากเกินไป ดังนั้นเทวดาจึงส่งข้ามาให้พวกท่าน” สวีซื่อจิ่นกับบิดาหัวเราะเสียงดัง เขาลุกขึ้นขอตัวลา “ข้าจะไปขอหลินปัวจากพี่สี่ขอรับ!”
สวีลิ่งอี๋ยิ้มแล้วพยักหน้า สืออีเหนียงเปิดม่านเดินเข้ามา
สวีซื่อจิ่นขยิบตาให้บิดาพลางลูบกระเป๋าเงิน บอกเป็นนัยว่าห้ามบอกสืออีเหนียงว่าเขามีเงินส่วนตัว
สวีลิ่งอี๋ยิ้มแล้วพยักหน้าเบาๆ
สืออีเหนียงมองสองพ่อลูกด้วยสีหน้างงงวย “ทำอะไรกัน”
มุมปากของสวีซื่อจิ่นกระตุก กำลังจะพูดบางอย่าง สวีลิ่งอี๋ก็ชิงพูดตัดหน้าเขา “เขาสร้างความดีความชอบกลับมา แล้วยังถูกแต่งตั้งเป็นอู่จิ้นปั๋ว ผู้บัญชาการทหารกุ้ยโจว ต้องไปมาหาสู่กับญาติสนิทมิตรสหาย อยากเตรียมของขวัญให้พวกเขา จึงให้ข้าช่วยออกเงิน ข้าตอบตกลงเขา บอกให้เขาไปปรึกษากับจุนเกอ”
การไปมาหาสู่กันเช่นนี้ ส่วนกลางมีส่วนแบ่ง อีกทั้งสวีซื่อจิ่นยังเป็นคนใจกว้าง สืออีเหนียงจึงไม่สงสัยอะไร นางยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าอยากมอบอะไรให้พวกเขาก็เขียนรายการมาเถิด ข้าช่วยเจ้าออกเงินเอง”
สวีซื่อจิ่นมองบิดาด้วยสายตาที่มีความเลื่อมใส จากนั้นก็รีบไปโอบไหล่มารดา “ท่านแม่ เงินส่วนตัวของท่าน ท่านเก็บไว้ใช้เถิด ครั้งนี้ข้าจะใช้เงินของท่านพ่อขอรับ” พูดจบก็ทำสีหน้าทนรอไม่ไหว “ข้ายังต้องไปหาพี่สี่อีก” พูดจบก็ทำท่าทีเหมือนตระหนักอะไรขึ้นมาได้ สีหน้าของเขาหม่นหมอง ค่อยๆ พูดเสียงเบาลง “ข้าคงไม่กลับมาทานอาหารเที่ยงแล้ว ข้าอยากไปไหว้หวงเสี่ยวเหมากับหลิวเอ้อร์อู่”
สืออีเหนียงพอใจ นางรีบพูด “เจ้าช่วยข้าเผากระดาษเงินด้วย” พูดจบก็บอกให้หู่พั่วไปนำเงินมาสิบตำลึง
เรื่องกราบไหว้บูชา ต้องออกเงินในนามของตัวเอง
สวีซื่อจิ่นรับเงินมา คำนับบิดามารดา จากนั้นก็ไปที่เรือนของสวีซื่อจุน
สืออีเหนียงพูดกับสวีลิ่งอี๋ “เมื่อครู่ท่านแม่เรียกข้าไปหา ถามเรื่องแต่งงานของจิ่นเกอเจ้าค่ะ บอกว่าให้ข้ายื่นป้ายชื่อวันนี้ ท่านแม่จะเข้าไปทูลขอกับฮองเฮาในพระราชวังด้วยตัวเอง ข้ากับพี่สะใภ้สองเกลี้ยกล่อมเช่นไรก็ไม่ยอมฟัง ท่านโหว ท่านลองไปพูดกับท่านแม่เถิด!”
เพราะเรื่องสุขภาพร่างกาย ฮ่องเต้องค์ก่อนทรงมีพระราชดำรัสไม่ให้ไท่ฮูหยินเข้าไปแสดงความยินดีในวันแรกของปีใหม่ ไท่ฮูหยินไม่ได้เข้าไปในพระราชวังหลายปีแล้ว บางครั้งฮองเฮาคิดถึงไท่ฮูหยินก็ต้องแอบมาหาไท่ฮูหยินที่เรือนเงียบๆ
พวกเขาสองคนไปที่เรือนของไท่ฮูหยิน
[1]ไม้เด่นเกินไพร ลมพัดหักโค่น หมายถึง หากออกตัวเด่น มีแต่จะตกเป็นเป้าหมายของผู้อื่น ซ่อนเร้นความสามารถถึงจะเป็นทางเลือกที่ดี