ตอนที่ 310 ทดสอบ
ลู่เฉินโจวหาโอกาสที่จะกินดีอยู่ดีไม่ได้
คนที่ลงนามเข้าร่วมการรับสมัครของค่ายองครักษ์ล้วนต้องไปรวมตัวกันที่จัตุรัสเพื่อรับป้ายหมายเลข รวมตัวพักอยู่ในโกดัง
ข้อดีเพียงอย่างเดียวก็คือไม่ต้องเสียเงินค่าอาหาร รับรองความอิ่มท้อง แต่ไม่มีเนื้อ
หากจะพูดถึงเนื้อนั้น ความจริงก็มี
มีน้ำแกงกระดูกที่ไม่เห็นชิ้นเนื้อหนึ่งชาม
น้ำแกงกระดูกร้อนๆ ลงท้อง ความเหน็ดเหนื่อย ความอ่อนเพลียตลอดการเดินทางล้วนหายไป
เด็กหนุ่มหูตบท้อง “โตเพียงนี้ เป็นครั้งแรกที่กินจนแน่นท้อง!”
“ข้าด้วย!” เด็กหนุ่มหม่าเรอออกมาด้วยความอิ่ม
“ฮึ” ลู่เฉินโจวส่งเสียงไม่พอใจ “ไม่มีเนื้อแม้แต่น้อย จืดชืดเสียจริง”
“พี่ลู่เงื่อนไขสูงเกินไปแล้ว! สามารถกินอาหารแบบไม่ต้องเสียเงินในเรือนพักได้ก็คุ้มกับการเดินทางในคราวนี้แล้ว!”
“ได้ยินว่าหากไม่ได้รับคัดเลือก ทางเรือนพักยังมีเสบียงแจก เพื่อให้พวกเราสามารถกลับบ้านได้อย่างราบรื่น”
“เถ้าแก่ของเรือนพักร่ำรวยใจกว้างอย่างไรที่ติ!”
เด็กหนุ่มเจี่ยรีบวิ่งออกมาจากฝูงชนกลับมาถึงข้างกายของบรรดาสหาย “อย่ากินอิ่มมาก ข้าสืบรู้มาว่าพรุ่งนี้จะมีการทดสอบ รายการแรกคือวิ่งรอบจัตุรัส หากกินอิ่มเกินไปแล้วพรุ่งนี้ท้องเสีย คงจะจบสิ้นกันพอดี”
“อ้าก ข้ากินจนแน่นแล้ว! ทำอย่างไรดี ทำอย่างไรดี”
“ต้องอาเจียนออกมาหรือไม่”
“กลัวอันใด!” ลู่เฉินโจวตบโต๊ะ “ออกไปเดินรอบจัตุรัสนั้นสักเจ็ดแปดรอบบัดนี้ทันที รับรองไม่ท้องเสีย”
“จริงหรือ”
“แหะ ข้ามีประสบการณ์ช่ำชอง พวกเจ้าไม่เชื่อ?”
“เชื่อ! พวกเราเชื่อ!”
เด็กหนุ่มทั้งหลายไม่กล้ารอช้า พวกเขารีบลุกขึ้นไปเดินย่อยที่ลานจัตุรัสนอกโรงอาหาร
ลู่เฉินโจวหัวเราะออกมา “ไม่ได้กินเนื้อ จะท้องเสียได้อย่างไร เพียงแค่คำหลอกลวง”
พวกเด็กที่ไม่มีความรู้
แต่เขาก็ดีใจอย่างมาก
เขานึกถึงตอนที่ตนเองอายุเท่าพวกเขา เขาไม่มีความรู้เสียยิ่งกว่าเด็กพวกนี้อีก ไม่รู้เรื่องแม้แต่น้อย
เด็กพวกนี้อย่างน้อยก็เคยติดตามผู้ใหญ่ออกมาข้างนอก รู้ว่าโลกภายนอกเป็นอย่างไร
ไม่เหมือนเขา ก่อนขึ้นเขาไปเป็นโจรป่า เขาไม่รู้ว่าโลกภายนอกเป็นอย่างไรด้วยซ้ำ เป็นคนบ้านนอกอย่างแท้จริง
เขามองโรงอาหารที่กว้างใหญ่และเต็มไปด้วยผู้คน
เมื่อมาถึงเป็นครั้งแรก สถานที่ที่สายตามองเห็นได้นั้น เรือนพักร่ำรวยสมกับคำว่า “ร่ำรวย” เสียจริง
สถานที่นี้ไม่เลว
ดูจากเวลานี้เป็นสถานที่ที่เหมาะแก่การปักหลัก
เขากินอาหารคำใหญ่ หากได้รับคัดเลือก เขาจะอยู่อย่างสบายใจ
ฝึกฝนหนักหน่อยไม่สำคัญ
เขามีชาติกำเนิดจากครอบครัวคนจน ชีวิตที่ผ่านมาก็ยากลำบากอยู่แล้ว
แต่ก่อนอื่นคือเรือนพักร่ำรวยต้องมีดีเหมือนที่เขาเห็นจริง
…
วันรุ่งขึ้น ทดสอบ
บททดสอบแรก วิ่งรอบจัตุรัสสี่รอบภายในเวลาหนึ่งดอกธูป
ผู้ที่สามารถทำได้ตามเวลาที่กำหนด สอบผ่าน
ผู้ที่ล่วงเวลา สอบตก
บางคนคร่ำครวญ บางคนกระตือรือร้นที่จะลอง บางคนแสดงสีหน้าเคร่งเครียด บางคนตื่นเต้นเป็นพิเศษ…
สีหน้าของแต่ละคนแตกต่างกันไป
เด็กหนุ่มหูพึมพำเสียงเบา “เพื่อรับมือกับบททดสอบ เช้านี้ข้ากินหมั่นโถวไปเพียงสองลูก น้ำยังไม่กล้าดื่มมาก ได้ยินว่าหากดื่มน้ำมาเกินไป จะวิ่งไม่ไหว”
“ข้าก็ด้วย” เด็กหนุ่มหม่าตัวสั่นเล็กน้อย เขาตื่นเต้น
เขาไม่กลัวำการวิ่ง แต่กลัวล่วงเวลา
“หากวิ่งสู้คนอื่นไม่ได้ทำอย่างไร ได้ยินว่ารับเพียงแปดร้อยคน ด้านหลังยังมีคนมาเพิ่มทุกวัน แต่ละวันล้วนมีการทดสอบ”
“มาก่อนได้ก่อน พวกเรามาก่อนมีข้อได้เปรียบ อย่ากังวลมากเกินไป!”
เด็กหนุ่มทั้งหลายต่างให้กำลังใจซึ่งกันและกัน
การทดสอบจะแบ่งกลุ่มตามป้ายหมายที่ที่ทุกคนได้รับเมื่อวาน
สี่สิบคนต่อหนึ่งกลุ่ม เมื่อเสียงสัญญาณดังขึ้น ทุกคนต่างวิ่งขึ้นมา
การวิ่งง่ายดายอย่างมาก ไม่ต้องเรียน เพียงแค่มีขาสองข้าง แค่เป็นคนก็วิ่งได้
วิ่งรอบตามเส้นสีขาวที่วาดด้วยปูนขาว รอบแรก ทุกคนต่างเต็มไปด้วยความม่านใจ
เด็กหนุ่มหม่าก็เต็มไปด้วยความมั่นใจ
จนกระทั่งรอบที่สอง เขารู้สึกคอแห้งจนอีดอัด
ปอดก็ร้อนเหมือนถูกเผา
ทั้งที่ระยะทางดูไม่ยาวไกลนัก เหตุใดวิ่งมานานเพียงนี้ยังวิ่งไม่จบรอบที่สองอีก
รอจนเขาวิ่งรอบที่สาม เขาอ้าปากกว้าง ลมกรอกเข้าไปในปากของเขา หน้าอกเขาแทบจะระเบิด
เขาได้ยินเสียงหอบหายใจหนักของตนเอง เขารู้สึกเหมือนหัวใจกำลังจะหลุดออกมา
คอไม่ใช่คออีกต่อไป มันปวดอย่ามาก…
ฝูงชนที่อยู่ด้านหน้าต่างมีฝีเท้าที่หนักอึ้งอย่างเห็นได้ชัด ราวกับบนขาของทุกคนล้วนแขวนไปด้วยลูกเหล็ก
ทุกย่างก้าวล้วนรู้สึกอยากตาย ปล่อยให้เขาล้มลงกับพื้นเถิด
แต่เหมือนเขาจะได้ยินเสียให้กำลังใจเขา บอกให้เขาวิ่งอยู่เลือนราง…
วิ่ง?
เขาแม้แต่จะขยับก็ขยับไม่ไหวแล้ว จะวิ่งอย่างไร
คอของเขาแห้งจนแทบจะกลายเป็นเนื้อแดดเดียวตากแห้งอยู่แล้ว บริเวณปิดราวกับจะระเบิดในทันที อย่าให้เขาวิ่งอีกเลย
เขาพยายามฝืนตัวเอง ทำการ ‘วิ่ง’ โดยเร่งฝีเท้าในแบบที่ตนเองคิดว่า ‘เร็วมาก’
เมื่อไปถึงตำแหน่งที่ขีดเส้นเอาไว้ เขาล้มนอนกับพื้นทันที สบายเสียจริง
บรรดาสหายพุ่งตัวเข้ามา พูดเสียงเจื้อยแจ้ว
เขาไม่สนใจฟังแม้แต่ประโยคเดียว ทำได้เพียงหอบหายใจหนัก ให้เขาได้พักหายใจก่อน
เขาสอบผ่านแล้วหรือไม่
ธูปยังจุดติดอยู่หรือไม่
เมื่อเห็นบรรดาสหายสายหน้า เขาสับสนเล็กน้อย
อดไม่ได้ที่จะหันไปมองทางกระถางธูปด้านข้าง
ขี้เถ้าหล่นงพื้น เขาเลยเวลาอย่างที่คาดการณ์
“โฮ!”
เสียงร้องไห้โฮดังมาจากบริเวณไกลจนทำให้ผู้คนหันไปมองด้วยความตกใจ
เด็กหนุ่มที่อยากจะร้องไห้อย่างหนักในเดิมที่เก็บน้ำตาที่กำลังจะไหลออกมากลับไปทันที
เขายืนขึ้นภายใต้การช่วยเหลือของสหาย
เขาพูดอย่างเชื่องช้าด้วยความเหน็ดเหนื่อย “ข้าไม่มีหวังแล้ว ต่อไปอยู่ที่พวกเจ้า พวกเจ้าต้องสอบผ่านให้ได้ อย่าทำให้ข้าผิดหวังเป็นอันขาด”
“เจ้าไปดื่มน้ำก่อน”
…
หลังจากการทดสอบกลุ่มหนึ่งเสร็จสิ้น มีคนร้องไห้ มีคนหัวเราะ แต่ละคนแตกต่างกันไป
เยียนหนานกวาดตามองรายชื่อ หนึ่งกลุ่มสี่สิบคน แต่มีคนที่สอบผ่านไม่ถึงครึ่งเสียด้วยซ้ำ
เขาอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
หากคัดคนที่สอบรอบแรกออกไปทั้งหมด บททดสอบต่อไปจะคัดคนออกอีกอย่างไร
จำนวนแปดร้อยคนดูเหมือนน้อยมาก แต่ก็อาจจะไม่เต็ม
ผู้ใต้บังคับบัญชาถามเขา “ต้องผ่อนผันกฎกติกาหรือไม่”
เยียนหนานส่ายหน้า “ทดสอบตามแผนการต่อไป กำหนดกติกาไว้อย่างไรก็ทำตามนั้น ต้องควบคุมอย่างเข้มงวด”
ยอมที่จะรับคนไม่ได้ แต่ก็ไม่อาจลดมาตรฐาน ทำลายแผนการของเถ้าแก่
ผู้ใต้บังคับบัญชารับคำสั่ง
ดังนั้นผู้คนจำนวนมากที่ทดสอบเป็นเวลาต่อมาจึงถูกคัดออก
รอบแรกก็คัดคนออกไปมากกว่าครึ่งหนึ่ง
คนที่ยังไม่ได้วิ่งล้วนหวาดกลัวเล็กน้อยเมื่อเห็นเหตุการณ์นี้
ดูเหมือนจะเป็นการวิ่งที่แสนง่ายดาย แต่ก็สามารถคัดคนออกมาได้มากเพียงนี้
คนจำนวนมากเกิดความหวั่นใจ อีกทั้งยังเกิดความคิดที่จะล้มเลิก
ตนเองจะทำได้หรือ
ผู้นั้นยังทำไม่ได้ ตนเองจะทำได้หรือ
ลู่เฉินโจวตตบไหล่ของเด็กหนุ่มหู “ไม่มั่นใจ?”
เด็กหนุ่มหูยิ้มเก้อ เขาไม่อยากยอมรับ แต่ก็ไม่กล้าพูดโอ้อวด
ทำได้เพียงยิ้มเก้อเหมือนคนโง่
ลู่เฉินโจวก็ยิ้มให้เขา “พวกเรากลุ่มเดียวกัน ข้าจะพาเจ้าวิ่งเอง จำไว้ อย่าหายใจแรง เจ้าก็ได้ยินใช่หรือไม่ ยิ่งหายใจแรง หน้าอกยิ่งอึดอัด ดังนั้นตอนวิ่งอย่าอ้าปากกว้างมาก”
อ่อ!
“พี่ลู่วิ่งเก่งมากหรือ”
“ต้องบอกอีกหรือ!”
เขาเป็นโจร
โจรเชี่ยวชาญเรี่องใดที่สุด
เผา ปล้น ชิง ฆ่า?
สังหารขุนนางเพื่อก่อกบฏ?
ผิด!
เรื่องที่โจรเชี่ยวชาญที่สุดคือ “การวิ่งหนี”
การวิ่งหนี้เป็นเรื่องสำคัญ
โจรที่วิ่งหนีไม่เป็นไม่ใช่โจรที่มีคุณสมบัติเหมาะสม
โจรที่วิ่งไม่เร็วก็คงไม่มีชีวิตรอดถึงวันนี้
โจรที่มีชีวิตรอดส่วนใหญ่ล้วนวิ่งได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังเชี่ยวชาญในการวิ่งหนีอย่างมาก
ลู่เฉินโจวไม่ได้โอ้อวด เขาวิ่งเก่งมากจริงๆ
หากไม่ต้องพาเด็กหนุ่มหูวิ่งไปด้วยกัน เขายังสามารถวิ่งเร็วกว่านี้ได้
เขาวิ่งผ่านเส้นชัยอย่างเฉียดฉิว ธูปยังยังท่อนเล็กๆ ที่กำลังเผาไหม้อยู่
เขาวิ่งเสร็จด้วยความสบาย หลังจากมั่นใจว่าตนเองผ่านการทดสอบรอบแรกแล้ว เขาก็อดไม่ได้ที่จะเปล่งเสียงหัวเราะออกมา
เด็กหนุ่มหูก็ผ่านการทดสอบภายใต้การนำของเขา
เยียนหนานสังเกตเห็นลู่เฉินโจวนานแล้ว เขาเป็นคนส่วนน้อยที่วิ่งได้อย่างสบาย
อีกทั้งรูปลักษณ์ภายนอกของเขาก็ยากที่จะไม่สังเกตเห็น
ชายหนุ่มหนวด ทั้งตัวมีแต่กล้ามเนื้อ เป็นบุรุษที่แท้จริง
เยียนหนานหาใบสมัครของลู่เฉินโจวออกมา โอย ชื่องดงามเช่นนี้ แต่รูปลักษณ์กลับกำยำ น่าสนใจ
เขาสั่งผู้ใต้บังคับบัญชา “จับตาดูคนที่ชื่อลู่เฉินโจวเอาไว้ให้ดี ดูว่ารอบต่อๆ ไปเขาเป็นอย่างไร”
“หัวหน้าชื่นชมเขาหรือ”
“เป็นต้นกล้าที่ดี”
ไม่แน่ว่าอาจเคยเป็นทหารมาก่อน
เยียนหนานมีสายตาที่แหลมคม แต่ไม่คิดว่าลู่เฉินโจวไม่เคยเป็นทหาร แต่เคยเป็นโจรกบฏมาก่อน
เด็กหนุ่มชนบทสี่คน มีเด็กหนุ่มหูที่สอบผ่านรอบแรกเพียงคนเดียว เพราะมีลู่เฉินโจวพาวิ่ง
บรรดาสหายกำลังจะต้องแยกย้ายจากกัน ทุกคนต่างรู้สึกโศกเศร้า
หากเรือนพักร่ำรวยยอมเลี้ยงผู้ตกรอบมากขึ้นหนึ่งวัน พวกเขาย่อมไม่รีบกลับไป
แต่เมื่อตกรอบแล้วก็ต้องไปรับเสบียงเพื่อกลับบ้าน ไม่มีอาหารที่ไม่เสียเงินให้กินอีก
เศร้ายิ่งนัก!
อารมณ์ของทุกคนต่างไม่ดีนัก
เด็กหนุ่มเจี่ยพูด “หลังจากกลับไป ข้าจะฝึกวิ่งทุกวัน พยายามสอบให้ผ่านตอนรับคนครั้งถัดไป หูเอ้อ เจ้าต้องพยายามสอบให้ผ่านทุกรอบ ครั้งหน้าเจ้ากลับไป เจ้าบอกพวกข้าว่าสอบอันใดบ้าง พวกข้าฝึกฝนอยู่ในเรือน พวกเราทั้งสามจะพยายามสอบให้ผ่านในคราวหน้า”
“พูดถูก! หูเอ้อ เจ้าต้องพยายามเข้า!”
เด็กหนุ่มหูหรือหูเอ้อรู้สึกกดดันอย่างมาก
เขาหวั่นใจ “ข้าจะพยายาม!”
“ไม่ใช่พยายาม แต่ต้องทุ่มสุดกำลัง”
ทุกคนต่างให้กำลังใจเขา
หูเอ้อพยักหน้า สัญญาต่อบรรดาสหาย
จากนั้นทุกคนจึงบอกลาลู่เฉินโจว
“พี่ลู่ หูเอ้อต้องรบกวนให้ท่านช่วยดูแลแล้ว หากเขาถูกคัดออกในรอบต่อไป เช่นนั้น…เช่นนั้นก็ช่างเถิด”
ลู่เฉินโจวถลึงตา “พูดไร้สาระอันใดกัน มีข้าช่วย พวกเจ้าจะกลัวอันใด วางใจเถิด ข้าดูบททดสอบต่อไปมาหมดแล้ว รับรองจะพาเขาสอบผ่าน”
“ขอบพระคุณพี่ลู่”
“พวกเจ้ากำลังทำอันใด รีบกลับไป? เหตุใดจึงไม่อยู่ต่ออีกหลายวัน”
เด็กหนุ่มเจี่ยยิ้มเก้อ “เรือนพักแจกเสบียงให้กลับบ้านแล้ว ไม่อาจอยู่ต่อได้”
ลู่เฉินโจวหัวเราะร่า “พูดแต่เรื่องไร้สาระ ไม่มีเงินแล้วใช่หรือไม่ ข้าบอกแล้วว่าจะคืนให้พวกเจ้าเป็นสองเท่า คิดว่าข้าหลอกพวกเจ้าหรือ ไม่มีเงินเหตุใดจึงไม่พูด อย่าเพิ่งไป รอข้าอยู่ตรงนี้”
พูดจบ เขาก็เดินจากไปอย่างรวดเร็ว
บรรดาเด็กหนุ่มต่างมองหน้ากัน
ไม่นานนัก ลู่เฉินโจวกลับมาพร้อมกับเงินหนึ่งพวงในมือ “มีเงินแล้ว อยู่ต่อเถิด! อยากทำสิ่งใดก็ทำ”
“เงินนี้…”
“ไม่ได้ปล้น ไม่ได้ขโมย ยืมมา”
“ขอบพระคุณพี่ลู่ พวกข้าจะทำงานคืนท่าน”
“ไม่ต้องคืน เงินนี้เป็นค่าตอบแทนอาหารของพวกเจ้า! ข้าเหล่าลู่พูดคำไหนคำนั้น บอกว่าจะตอบแทนย่อมต้องตอบแทน ไม่โกหกอย่างแน่นอน”