Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล – ตอนที่ 264

ตอนที่ 264

เพราะเขาอาบน้ำคนเดียว วาห์นจึงล้างตัวเสร็จก่อนที่พวกสาวๆ จะเริ่มกันเสียอีก

ความรู้สึกที่ได้จากน้ำร้อนๆ ยังคงแผ่ซ่านไปทั่วร่างกายแม้ว่าเขาจะใช้ [หัวใจของเพลิงนิรันดร์] ซ้อนเอาไว้ก็ตาม

วาห์นเดินกลับไปที่ห้องก่อนจะลงไปนอนเล่นที่เตียงเหมือนเช่นทุกวัน

เขาคิดเรื่องผ่อนคลายซ้ำไปซ้ำมาในหัวจนเริ่มรู้สึกง่วงขึ้นมาจริงๆ และอยากเข้านอนเร็วกว่าปกติ

เกือบครึ่งชั่วโมงต่อมา วาห์นสัมผัสได้ว่าพวกสาวๆ เริ่มแยกกันและกลับไปที่ห้องของตัวเองแล้ว

พอเห็นฮารุฮิเมะเดินกลับห้องพร้อมมิโคโตะ วาห์นจึงถอนหายใจโล่งอกเพราะคิดว่าคืนนี้คงไม่มีจิ้งจอกแอบย่องเข้ามาในห้อง

มิลานกับทีน่าอยู่ในห้องของพรีเซียและเฟนเรียร์ ส่วนริวก็กลับไปที่ห้องของเธอเอง

วาห์นรู้สึกเศร้าเล็กน้อยเพราะเขาอยากจะใช้เวลาร่วมกับเอลฟ์สาวให้มากกว่านี้อีกหน่อย

พวกเขาพัฒนาไปถึงขั้นที่อาบน้ำด้วยกันได้แล้ว เรื่องนอนเตียงเดียวกันจึงเป็นสิ่งที่วาห์นคาดหวังอยู่บ้าง

ตอนนี้คู่แฝดก็เดินกลับห้องของพวกตนเป็นที่เรียบร้อย ดังนั้นเราก็จะเหลือผู้โชคดีรายสุดท้าย…

ออร่าขนาดใหญ่กำลังตรงเข้ามาเรื่อยๆ โดยเดินเบี่ยงมาทางด้านซ้าย วาห์นจึงค่อนข้างมั่นใจว่าเธอกำลังมาที่นี่

เพราะห้องของทั้งคู่อยู่ฝั่งตรงข้ามกัน หากต้องการกลับห้องของตัวเองเฉยๆ เธอก็จะเลือกเดินเบี่ยงไปทางขวาแทน

และแล้วก็เป็นไปตามคาด เฮสเทียเดินมาเปิดประตูห้องของเขาก่อนจะเดินเข้ามาแบบไม่ให้ซุ่มให้เสียง

เฮสเทียรู้เรื่องสกิลสัมผัสออร่าของวาห์นดี เธอจึงเลิกเคาะประตูหรืออะไรทำนองนั้นมาตั้งนานแล้ว อีกอย่างเจ้าของห้องเองก็ไม่เคยว่าอะไรสักคำด้วยสิ

หลังจากถอดถุงมือ ริบบิ้น และที่รัดผมออก เฮสเทียก็คลานขึ้นมาบนเตียงและซุกเข้ากับแผงอกกำยำ

วาห์นเข้าสวมกอดร่างเล็กอย่างนุ่มนวลเหมือนเช่นทุกครั้ง

นอกเหนือจากคืนที่มีคนอื่นมานอนด้วย เฮสเทียก็จะนอนที่ห้องของวาห์นจนมันกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว

ขณะที่วาห์นกำลังผ่อนคลาย เขาก็ได้ยินเสียงกระซิบเบาๆ

“ราตรีสวัสดิ์นะวาห์น…”

หลังรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างมาสัมผัสแก้ม เขาจึงหันกลับไปมองเฮสเทียที่กำลังหลับตาลงและพาดหัวไปกับร่องไหล่

วาห์นรู้สึกว่าเทพตัวเล็กดูสงบเสงี่ยมยิ่งกว่าทุกวันก็เลยเข้าใจว่าเธอคงอยากให้เขาพักผ่อนจริงๆ

เฮสเทียน่าจะละเมอและปีนขึ้นมาบนตัวของเขาเหมือนเดิม แต่วาห์นก็ดีใจที่เห็นว่าอีกฝ่ายคงพยายามเต็มที่แล้ว

มันเป็นการย้ำเตือนเรื่องที่เขาควรผ่อนคลาย ดังนั้นวาห์นจึงหยุดคิดเรื่องต่างๆ และกลับไปนอนต่ออีกครั้ง

วาห์นเป็นพวกที่สะดุ้งตื่นง่าย แต่ถ้าเป็นสิ่งที่เขาคาดไว้แล้ว (เช่นการถูกปีนป่ายโดยคนใกล้ตัว) เขาก็จะนอนต่อไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น นั่นเป็นการเปิดโอกาสให้เฮสเทียขยับขึ้นมาจ้องอีกฝ่ายด้วยสีหน้าครุ่นคิด

ดวงตาสีฟ้าฉายแววเปล่งประกายขณะที่เธอลูบไล้ใบหน้าอย่างหลงใหล

เด็กหนุ่มคนนี้มักจะระวังตัวอยู่ตลอดเวลา ยกเว้นแค่ตอนนอนนี่แหละ

เหตุผลเดียวที่เป็นแบบนี้ก็เพราะว่าวาห์นเชื่อใจเธอมาก นั่นทำให้เฮสเทียยิ่งสุขใจยิ่งกว่าเดิม

หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เฮสเทียก็ลงมาคร่อมร่างของวาห์นและจ้องมองเขาจากด้านบน

เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนที่เสื้อผ้าจะเริ่มสลายกลายเป็นกลีบดอกและออกไปเรียงกันอยู่รอบเตียง

ตอนนี้เฮสเทียกำลังนั่งอยู่บนหน้าท้องของวาห์นแบบไม่เหลืออะไรเลยนอกจากกางเกงในเพียงชิ้นเดียว

เธอไม่ค่อยแน่ใจว่าตัวเองต้องการทำอะไรต่อ แต่ที่แน่ๆ ก็คืออยากใกล้ชิดกับวาห์นให้มากที่สุด

เวลาส่วนตัวของทั้งสองกำลังหดสั้นลงเรื่อยๆ เฮสเทียจึงตัดสินว่าถึงเวลาแล้วที่เธอต้องก้าวสู่ขั้นต่อไป

บรรยากาศด้านนอกและในห้องนั้นค่อนข้างหนาวเย็นซึ่งต่างจากความร้อนที่แผ่ออกมาจากร่างกายของวาห์นอย่างสิ้นเชิง

ยิ่งให้ความสนใจกับไออุ่นมากเท่าไหร่ ความรู้สึกหวิวๆ ในช่องท้องของเฮสเทียก็ยิ่งเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

เรื่องเดียวที่เธอรู้สึกเสียดายก็คือลืมบอกให้วาห์นถอดเสื้อก่อนเข้านอน

ถึงเนื้อผ้าจะบางมาก แต่มันก็ทำให้ผิวพรรณแสนละเอียดอ่อนรู้สึกระคายเคืองอยู่ดี

เฮสเทียไม่ได้คิดจะปลุกวาห์นตั้งแต่แรกแล้ว แต่เทพตัวเล็กก็อดสงสัยไม่ได้ว่าเขาจะตอบสนองอย่างไรหากตื่นขึ้นมาเห็นเธอในสภาพนี้

วาห์นไม่ใช่พวกที่เอาช่วงล่างมาใช้แทนสมอง เรื่องนี้ทุกคนรู้ดี แต่เฮสเทียก็ยังแอบหวังลึกๆ ว่าเขาจะตื่นขึ้นมา… และเข้าจู่โจมเธออย่างป่าเถื่อน

‘…เห้อ’

เรื่องนี้เฮสเทียควรโทษตัวเองที่รู้สึกลังเลมาโดยตลอด แต่อีกใจหนึ่งก็อยากโบ้ยความผิดให้เด็กหนุ่มที่เป็นห่วงเธอมากจนเกินเหตุ… มากจนไม่กล้าก้าวข้ามเส้นบางๆ ที่เธอขีดเอาไว้

20 นาทีต่อมา เฮสเทียก็ต้องยอมแพ้เพราะรู้ว่าตัวเองไม่กล้าเป็นฝ่ายไปปลุกวาห์นก่อนแน่นอน เธอได้แต่นอนพิงร่างกำยำเหมือนปกติขณะพยายามสงบหัวใจของตัวเอง

พอไออุ่นแผ่ซ่านไปทั่วเรือนร่าง สติก็ค่อยๆ พร่าเลือนและขาดหายไปในที่สุด

ขณะที่หลับอยู่ วาห์นรู้สึกว่าตัวเองกำลังล่องลอยอยู่ในบรรยากาศอบอุ่นโดยมีออร่าสีชมพูห่อหุ้มไปทั่ว

มันเป็นความรู้สึกที่สุขสบาย ละมุนละไม และทำให้สมองผ่อนคลายสุดๆ

น้อยครั้งมากที่วาห์นจะฝันแบบนี้ มันจึงเป็นประสบการณ์แปลกใหม่ที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน

เขาสงสัยจริงๆ ว่าออร่าสีชมพูนี่คืออะไรและมาจากไหนกันแน่

พอดูจนแน่ใจแล้วว่ามันไม่ได้เป็นภัยคุกคาม วาห์นจึงปล่อยให้มันกระจายออกไปทั่ว…

เขาอยู่แบบนั้นต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งออร่าดังกล่าวจางหายไปเป็นจำนวนมาก

วาห์นรู้สึกเศร้า ราวกับตัวเองเพิ่งสูญเสียบางอย่างที่สำคัญมากไป

เขาจ้องมองออร่าที่หลงเหลืออยู่ ก่อนจะหลับตาและเข้าสู่โหมดสมาธิ

สิ่งที่ปรากฏออกมาก็คือถ้อยคำทั้งเก้าที่ดูเลือนลางมาก และไม่ว่าจะพยายามมากแค่ไหน ถ้อยคำดังกล่าวนั้นกลับไม่มีทีท่าว่าจะเด่นชัดขึ้นเลย…

วาห์นเริ่มรู้สึกเหมือนหัวใจกำลังถูกบีบคั้นเมื่อเวลาล่วงเลยไปอีกพักใหญ่ๆ

นั่นตามมาด้วยความสั่นสะท้านอย่างรุนแรงจนเขาต้องเปิดตาขึ้นและพบว่าออร่าสีชมพูยังคงวนเวียนไปรอบๆ โลกแห่งความฝัน

สัญชาติญาณบอกให้เขายกหัวขึ้นมาทดลองสูดดมมัน และทันทีที่ทำแบบนั้น สมองก็รู้สึกเหมือนถูกกระแทกอย่างรุนแรง

มันเป็นกลิ่นไอที่หอมหวลเกินจะบรรยายแต่กลับให้ความคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด ราวกับเป็นสิ่งลึกลับที่คอยวนเวียนอยู่รอบตัวมาโดยตลอด

ถึงจะกังวลอยู่บ้าง แต่เขาก็สูดดมมันต่อเพื่อสืบให้ได้ว่านี่มันกลิ่นของอะไรกันแน่…

เมื่อวาห์นได้สติในเช้าวันถัดมา เขารู้สึกว่าหัวใจเต้นเร็วกว่าปกติแถมกลิ่นที่อยู่ในความฝันก็ยังลอยมาแตะจมูกอยู่เรื่อยๆ

แต่เพราะตื่นแล้วนี่แหละ เขาเลยเริ่มจระหนักว่ามันคือกลิ่นอะไร

กลิ่นดังกล่าวนั้นลึกล้ำ รุนแรง คล้ายกับกลิ่นของน้ำผึ้งผสมมะนาวอ่อนๆ

เมื่อลืมตาขึ้นมา สิ่งที่วาห์นต้องทำเป็นอย่างแรกเลยก็คือกลืนน้ำลาย 2-3 อึก

เขาไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง แต่ดูเหมือนว่าเมื่อคืนเฮสเทียคงนอนละเมอและหันตัวกลับไปอีกด้าน

สิ่งที่อยู่ห่างใบหน้าของเขาไปเพียงไม่กี่นิ้ว… แน่นอนว่ามันก็คือกลีบดอกไม้หอมหวนที่ถูกกั้นด้วยเนื้อผ้าสีขาวบาง

หัวใจของเขาเริ่มเต้นเร็วยิ่งกว่าเดิม เพราะตอนนี้คงไม่ต้องพิสูจน์หรือสืบหาอะไรแล้ว

มันอาจจะไม่ทรงพลังเท่ากับกลิ่นอายของเฮเฟสตัส แต่ทุกอย่างกลับดูน่าดึงดูดไปหมด ทั้งตัวกลิ่นเอง ออร่าสีสมพูรอบๆ บั้นท้ายได้รูป หรือแม้แต่ของเหลวเล็กน้อยที่ซึมออกมาจากจุดซ่อนเร้น…

ที่แย่ไปกว่านั้น เพราะเขามักกอดเฮสเทียตอนนอน ตอนนี้วาห์นเลยอยู่ในท่าที่กำลังกอดเอวของเธอไว้อย่างเคยชิน เป็นท่าที่ทำให้กางเกงในตัวจิ๋วมากองอยู่ตรงปลายจมูกพอดี

เขาไม่แน่ใจว่าเฮสเทียตื่นนานหรือยัง แต่ตอนนี้วาห์นมองเห็นออร่าสีชมพูสว่างไสวของเทพตัวเล็กได้อย่างชัดเจน

เมื่อคืนเธอคงจะพยายามทำบางอย่างเพื่อยั่วเขาซึ่งดูท่าจะได้ผลอยู่บ้าง

อย่างน้อยมันทำให้วาห์นรู้สึกเขินๆ พร้อมกับความตื่นเต้นที่เพิ่มขึ้นทีละนิด

หากจะออกมาแก้ต่างทีหลังว่านอนละเมอจนมาอยู่ในสภาพนี้ บอกตรงๆ ว่าเขาไม่มีทางเชื่อแน่นอน

ส่วนตัวแล้วเขาไม่เคยเห็นผู้หญิงจากมุมนี้มาก่อน และมันก็เป็นภาพที่เย้ายวนอย่างประหลาด

ความนุ่มนิ่มของเฮสเทียทำให้วาห์นอยากลองยืนหน้าออกไปอีกแล้วดูว่าเธอจะยังเนียนนอนต่อได้อีกหรือเปล่า

ทุกอย่างอยู่ใกล้มากจนเขาแทบไม่ต้องขยับเลยด้วยซ้ำ…

พอเขาถอนหายใจออกไปเล็กน้อย ร่างเล็กและออร่ารอบๆ ก็สั่นไหวตามทันที

นับเป็นเสี้ยววินาทีที่กองไฟสีชมพูหดเล็กลง แต่แล้วมันก็ขยายใหญ่ขึ้นและเผาไหม้รุนแรงยิ่งกว่าเดิม

เมื่อขยับมือเล็กน้อย วาห์นก็ตระหนักว่ารอบนี้มันผิดปกติจริงๆ

จากมุมมองที่เห็นในตอนแรก เขาจึงไม่รู้มาก่อนว่าเฮสเทียนั้นไม่ได้ใส่อะไรเลยนอกจากกางเกงในเพียงตัวเดียว

ความร้อนจากผิวหนังที่สัมผัสได้ตรงฝ่ามือยิ่งทำให้เขามั่นใจเรื่องที่ ‘กำลังโดนยั่ว’ ขึ้นไปอีก

วาห์นรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังอยู่บนหน้าผาที่ไม่รู้ว่าจะโดดออกไปหรือหันหลังกลับดี แต่ยังไงซะ เขาก็จะไม่ทิ้งให้เฮสเทียค้างเติ่งอยู่แบบนี้แน่นอน

เพราะเธอคงใช้ความพยายามอย่างมากกว่าจะมาอยู่ในสภาพนี้… กระแสของออร่าสื่อได้ความว่าเฮสเทียกำลัง ‘ฝืนตัวเองอยู่ แต่ก็ยังไม่ยอมแพ้ง่ายๆ’

เพื่อตอบรับความกล้าหาญครั้งนี้ วาห์นสวมกอดเอวของเฮสเทียให้แน่นขึ้นราวกับกำลังดึงให้มันเข้ามาใกล้กว่าเดิม พร้อมกับยื่นให้จมูกไปแตะกับเนื้อผ้าบ้าง

เขารู้สึกได้ถึงความชื้นตรงปลายจมูกกับเสียงหัวใจของเฮสเทียที่ส่งผ่านจากหน้าอกขนาดยักษ์มาสู่หน้าท้องของเขา

ออร่าของเธอดูสับสนวุ่นวายไปหมด แต่มันก็ยังคงลุกไหม้เป็นสีชมพูขณะที่วาห์นสูดหายใจเข้าลึกๆ

ในจังหวะที่เขาเริ่มทำแบบนั้นจนกระทั่งตอนปล่อยมันออกมา วาห์นรู้สึกว่าสมองของตัวเองเริ่มหลอมละลายไปกับกลิ่นที่กระตุ้นให้เกิดความตื่นเต้น

ตามปกติแล้ววาห์นสามารถควบคุมสภาพร่างกายได้เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ครั้งนี้มันออกจะ ‘อยู่เหนือการควบคุม’ ไปหน่อย

จากอีกด้านหนึ่ง เฮสที่เทียเริ่มมีน้ำตาซึมให้เห็นพยายามกัดริมฝีปากล่างของตัวเองและหายใจถี่ขึ้นเรื่อยๆ

เธอเตรียมใจรับการตอบสนองของวาห์นเอาไว้แล้ว แต่ทุกอย่างกลับพังไม่เป็นท่าเมื่อเขาเริ่มสูดดมแบบจริงจัง

ยิ่งพอโดนสูดแบบแรงๆ เธอก็ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว

ใบหน้าสีแดงก่ำยิ่งแดงหนักกว่าเดิมเมื่อดวงตาสีฟ้าไปสบเข้ากับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า

ถึงจะได้ยินข่าวลือมาบ้าง แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่เฮสเทียได้เห็น ‘เสากระโดงเรือ’ ในกางเกงของวาห์นแบบเต็มสองตา

ความหวาดหวั่นเริ่มเกาะกุมจิตใจของเทพตัวเล็ก แต่มันก็ยังไม่อาจเอาชนะความเด็ดเดี่ยวได้ในทันที

เฮสเทียได้ยินมาจากฮารุฮิเมะว่านี่เป็น ‘ท่วงท่า’ ที่ทั้งผู้หญิงและผู้ชายต่างโปรดปราน

ข้อดีอีกอย่างของท่านี้ก็คือการที่ไม่ต้องหันไปสู้หน้าวาห์นอาจจะช่วยบรรเทาความเขินของเธอลงไปได้บ้าง

ตอนนี้เธอทำให้เขา ‘ลุกฮือ’ ได้แล้ว เฮสเทียจึงดึงเอาความมั่นใจทั้งหมดออกมาก่อนจะค่อยๆ ยืนมือออกไปดึงกางของวาห์นลง

การถูกปลดปล่อยแบบไม่ทันตั้งตัวทำให้วาห์นต้องเบิกตากว้างพร้อมหายใจแรงขึ้นอีก และยิ่งเขาสูดดมกลิ่นของเฮสเทียมากเท่าไหร่ ความตื่นเต้นในร่างกายก็ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น

ตอนแรกเขาไม่ได้ตั้งใจจะเครื่องติดเลยด้วยซ้ำ พอมันเกิดติดขึ้นมาจริงๆ สิ่งต่อไปที่คิดไว้คือเฮสเทียต้องรีบชิ่งหนีแน่นอน แต่นี่มันกลับผิดคาดไปหมด!

ชั่วอึดใจต่อมา วาห์นสัมผัสได้ว่ามีมือเล็กๆ มาจับตรงฐานแข็งชัน ลมหายใจของเขายิ่งรุนแรงขึ้นจนร่างของเฮสเทียส่ายขึ้นลงตามจังหวะ

ของที่อยู่ตรงหน้าทำให้เทพตัวเล็กรู้สึกกังวลสุดขีด แต่ถ้าจะให้ถอยตอนนี้ก็คงไม่ทันแล้ว เธอจึงเริ่มตรวจสอบมันด้วยสายตาอย่างละเอียด

นิ้วเรียวเล็กค่อยๆ ขยับไปมาก่อนจะพยายามวัดความหนาของสิ่งที่อยู่ในมือ

หัวใจของเฮสเทียยิ่งเตลิดหนักกว่าเดิมเพราะนิ้วชี้ของเธอแทบจะแตะปลายนิ้วโป้งไม่ถึงอยู่แล้ว!

หากไม่ใช่เพราะรู้ว่ามีคนเคยลองมาก่อน เธอคงไม่เชื่อแน่ๆ ว่าเจ้าสิ่งนี้จะเข้าไปอยู่ในตัวผู้หญิงได้

‘ร่างกายของเทพธิดาต้องทนได้สิ… มั้งนะ’ คือสิ่งที่เธอพยายามพร่ำบอกกับตัวเองในใจ

หลังจากครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง เฮสเทียก็เริ่มทำตามขั้นตอนที่ฮารุฮิเมะแนะนำ โดยเริ่มจากการยกตัวขึ้นเล็กน้อยโดยพิงแขนไปกับเอวของวาห์น

จากด้านหลัง วาห์นกำลังเฝ้ามองแผ่นหลังเล็กๆ ของอีกฝ่ายด้วยความสนใจ

นี่เป็นสิ่งที่วาห์นไม่เคยบอกใครมาก่อน แต่เขาเคยเห็นท่วงท่าแบบนี้มาบ้างแล้วในระหว่างที่ออกตามหาฮารุฮิเมะ

อย่างเดียวที่คิดออกคือเฮสเทียคงไปเรียนอะไรมาจากเรนาร์ดสาวอย่างแน่นอน แต่วาห์นเองก็ไม่แน่ใจว่าเธอจะไปต่อได้อีกสักกี่น้ำ

เฮสเทียสัมผัสได้ว่าร่างกายกำลังขยับไปตามลมหายใจของวาห์น ความร้อนที่เขาปล่อยออกมานั้นทำให้ส่วนล่างของเธอสั่นสะท้านไปหมด

เธอรู้ว่าเขากำลังรู้สึกตื่นเต้นเช่นกัน หัวใจที่ยังกล้าๆ กลัวๆ จึงส่งคำสั่งมาที่สมองว่า ‘จะทำอะไรก็รีบๆ ทำเข้า’

เฮสเทียเริ่มจากการใช้มือปาดผมออกไปด้านข้าง ก่อนจะค่อยๆ ลดศีรษะลงจนเกือบติดส่วนปลายที่ดูแข็งกร้าว

ทว่าความลังเลเพียงชั่วครู่กลับทำให้ริมฝีปากบางหยุดกึกลงทันที ทั้งๆ ที่อีกเพียงไม่กี่มิลลิเมตรก็จะได้สัมผัสกันอยู่แล้ว

เฮสเทียเกิดเปลี่ยนใจกระทันหันและเริ่มสานมันต่ออีกครั้งด้วยการใช้ลิ้นเลียตรงส่วนปลายเพื่อทดสอบรสชาติก่อน

สิ่งที่ติดลิ้นกลับมาคือความเค็มปะแล่มๆ ทว่าเฮสเทียก็ยังต้องกลืนน้ำลายขณะที่หัวใจเต้นจนแทบจะระเบิดออกมาด้านนอก

เจ้า ‘ความเค็ม’ นี่เองที่ทำให้น้ำลายของเธอเอ่อล้นหนัดกว่าปกติ เพราะยังไงซะ เรื่องน้ำลายไหลกับเฮสเทียก็เป็นของคู่กันอยู่แล้ว

ประเด็นอยู่ที่ว่ามันไหลออกมามากเกินจน ‘หก’ ใส่สิ่งที่อยู่ด้านล่างนี่แหละ… เฮสเทียมองตามจุดที่มันตกลงไปและรู้สึกทั้งอายทั้งเครื่องติดไปพร้อมๆ กัน

เทพตัวเล็กเริ่มโลมเลียส่วนปลายของวาห์นโดยไม่รั้งรออะไรอีกแล้ว ขณะเดียวกันเธอก็พยายามไม่สนใจความรู้สึกอึดอัดที่อยู่ภายใน

หากไม่นับตอนที่เฮเฟสตัส ‘จูบทักทาย’ นี่ก็ถือเป็นครั้งแรกที่มีผู้หญิงมาทำอะไรแบบนี้ให้กับวาห์น

ความเปียกชื้น ความร้อน และรสสัมผัสของลิ้น ทำให้ขาของเขาสั่นนิดๆ โดยเฉพาะช่วงจังหวะที่เฮสเทียกดลึกที่สุด มันเป็นความรู้สึกที่ดีแต่ก็หงุดหงิดอย่างน่าประหลาด อาจเป็นเพราะเฮสเทียเอาแต่ทำแบบเดิมซ้ำไปเรื่อยๆ เพียงอย่างเดียว?

เพราะรู้ว่าเธอไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อน วาห์นจึงเลือกที่จะรูดซิบปากและคิดว่าเขาเองก็ควรทำอะไรบ้าง

เรียวขาที่อ้าออกจากกันทำให้การถอดปราการชิ้นสุดท้ายออกไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดายนัก

แทนที่จะพยายามฝืนถอดมัน วาห์นกลับเอื้อมมือออกไปและใช้นิ้วโป้งเกี่ยวมันไว้ด้านข้างแทน

ลมหายใจร้อนๆ ที่เข้าสัมผัสกับผิวเปลือยเปล่าทำให้เฮสเทียหยุดสิ่งที่กำลังทำอยู่ทันที

วาห์นไม่ได้พูดอะไรและเอาแต่จ้องมองเนินสีขาวกับของเหลวที่ไหลออกมาจากร่องลึกตรงหน้า และราวกับมันกำลังเคลื่อนไหวตามจังหวะการหายใจของเฮสเทีย ร่องลึกนั่นคอยเปิดปิดอยู่เรื่อยๆ จนเขาได้เห็นสิ่งอยู่ภายในแบบวับๆ แวมๆ

ไม่นานสติของเฮสเทียก็กลับมาอีกครั้ง เธอตัดสินใจทำสิ่งที่ค้างคาเอาไว้ต่อโดยปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปตามธรรมชาติ

วาห์นเผยรอยยิ้มเล็กๆ ขณะใช้นิ้วโป้งทั้งสองแหวกร่องปริศนานั่นออกและจ้องมองเข้าไปในกำแพงที่ทั้งเปียกชื้นและกลายเป็นสีชมพูระเรื่อ

เขาสังเกตุเห็นเม็ดตุ่มชูชันที่อยู่ตรงปลายสุด แต่ก็ตัดสินใจว่าจะปล่อยมันไปก่อน ขณะเริ่มนำลิ้นไปสัมผัสกับจุดซ่อนเร้นของผู้หญิงเป็นครั้งแรก

อย่างแรกที่เขาสัมผัสได้ก็คือของเหลวที่ออกมานั้นแตกต่างไปจากตัวกลิ่นอย่างสิ้นเชิง

มันหวานคล้ายน้ำผึง แต่ก็ให้รสที่จัดกว่านั้น เป็นสิ่งที่ยากจะบรรยายออกมาเป็นคำพูด

เฮสเทียเริ่มไม่แน่ใจว่าหากตัวเองไม่ใช่เทพ หัวใจของเธอจะทนรับแรงกระตุ้นที่รุนแรงขนาดนี้ได้มากน้อยแค่ไหน

ความอยากรู้อยากเห็นทำให้เธอลองทำมันด้วยตัวเองมาบ้างแล้ว แต่ที่โดนอยู่นี่มันคนละเรื่องกันเลย!

สิ่งที่เธอทำก็แค่เล่นตรงส่วนรอบนอกและสัมผัสตุ่มแข็งชันเล็กน้อยเท่านั้นเอง

สัมผัสที่ได้รับในตอนนี้คือความเสียวซ่านปนจั๊กจี้เล็กน้อย แถมมันยังทำให้กล้ามเนื้อหน้าท้องของเธอหดตัวทุกครั้งที่ภายในถูกบุกรุก

เทพตัวเล็กพยายามบรรเทาความรู้สึกด้วยการใช้มือทั้งสองข้างจับอาวุธของวาห์นและเลียตรงส่วนปลายให้แรงยิ่งกว่าเดิม

แต่ไม่ว่าจะพยายามมากแค่ไหน เฮสเทียก็เริ่ตระหนักแล้วว่านี่เป็นศึกที่เธอไม่อาจเอาชนะได้

เพราะขาดประสบการณ์ในหัวข้อดังกล่าว เธอจึงไม่รู้ว่าควรทำยังไงต่อและได้แต่ปล่อยให้วาห์นทำลายแนวป้องกันไปเรื่อยๆ โดยไม่อาจขัดขืนได้เลย

สิ่งที่วาห์นทำไม่ใช่แค่การเลียเท่านั้น แต่เขากำลัง ‘ลิ้มรส’ ภายในพร้อมใช้ลิ้นกดตามส่วนต่างๆ เพื่อดูว่าเธอจะตอบสนองยังไงบ้าง

ทุกครั้งที่เธอเกร็งจนผิดสังเกต วาห์นก็จะใช้ลิ้นจี้ตรงบริเวณนั้นก่อนจะโยกหัวเบาๆ

ตอนนี้เฮสเทียทำอะไรไม่ได้ทั้งสิ้นนอกจากถอยทัพและฟุบหน้าลงกับท้องน้อยของเขา

เธอทำได้แค่ใช้ลิ้นเลียตรงส่วนที่หน้าฟุบลงและปล่อยให้ร่างกายตกอยู่ภายใต้การทรมานจาก ‘ความกระตือรือร้น’ และความอยากรู้อยากเห็นของวาห์น

7 นาทีให้หลัง วาห์นที่ยังเมามันอยู่กับการสำรวจส่วนต่างๆ เริ่มสัมผัสได้ว่าของเหลวมีปริมาณมากขึ้น ขณะที่ผนังภายในก็ดิ้นไปมาไม่หยุด

เขารู้จากประสบการณ์ว่านี่เป็นสัญญาณเตือนเมื่อผู้หญิงใกล้ถึงจุดสุดยอดและตัดสินใจที่จะรุกหนักยิ่งกว่าเดิม

ในเสี้ยววินาทีนั้นเอง เฮสเทียที่ยังไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ก็กลับมาประจำที่และเริ่มเข้าโรมรันกับอสูรร้ายอีกครั้ง

วาห์นคิดว่าถึงเวลาที่ต้องปิดเกมนี้ลงแล้ว เขาจึงรวมพลังไว้ที่นิ้วโป้งซึ่งคล้ายกับแบบที่เคยทำกับไอส์ (แต่เบากว่า) ก่อนจะกลับไปใช้ลิ้นอีกครั้งพร้อมกดนิ้วลงตรงตุ่มที่ทำเป็นไม่สนใจมันมาโดยตลอด

จู่ๆ เฮสเทียก็รู้สึกกลัวอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน จากนั้นก็มีกระแสไฟฟ้ามาวิ่งผ่านตามกระดูกสันหลังและชนเข้ากับสมองจนความนึกคิดแตกหลายไม่เหลือชิ้นดี

เสียงที่เคยอยู่ภายใต้การควบคุมได้มาตลอด บัดนี้มันกลับถูกปลดปล่อยออกมาจนหมดหลอด

ตอนนี้เจ้าของเสียงกลับทำได้แค่พยายามใช้มือปิดปากและโก่งตัวเป็นกุ้งไปกับหน้าท้องของอีกฝ่ายเท่านั้นเอง

ความหฤหรรษ์แผ่ซ่านไปทั่วทุกอณูขุมขน ส่วนสมองก็รู้สึกเบาหวิวและใช้การไม่ได้ไปชั่วขณะ

ร่างกายของเธอถูกกระตุ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แถมเฮสเทียไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง ไม่รู้ด้วยว่าร่างนี้จะใช้การต่อได้อีกหรือเปล่า

สิ่งเดียวที่รู้สึกได้ก็คือความอบอุ่นจากด้านล่างและท่อนแขนแข็งแรงที่โอบรอบเอวไว้ ราวกับว่ามันกำลังพยายามรั้งเธอไว้ไม่ให้ดวงวิญญาณลอยกลับขึ้นสวรรค์ไปทั้งแบบนั้นเลย…

พอวาห์นออกจากโรงหลอมและเดินทางกลับคฤหาสน์ฮาร์ธ เฮเฟสตัสที่เดินกลับเข้ามาข้างในก็ต้องรีบทรุดลงกับเก้าอี้ที่อยู่ใกล้ที่สุดก่อนจะฟุบหัวลงกับโต๊ะทันที

ทุกครั้งที่ฉากเมื่อหลายชั่วโมงก่อนผุดขึ้นมาในหัว สีหน้าของเทพสาวก็ไม่เหลือเค้าของความเคร่งขรึมให้เห็นอีกเลย

ครั้งแรกของเธอกับวาห์น… รวมไปถึงอีก 34 ครั้งหลังจากนั้นมันช่างเหนือความคาดหมายจริงๆ

ราวกับว่าประสบการณ์ระหว่างเธอกับเทพบนสวรรค์เป็นแค่เรื่องตลก ไม่ควรยกนิ้วขึ้นมานับเลยด้วยซ้ำ

นอกจากวาห์นจะไม่ได้ติดใจเรื่องนี้แล้ว เขายังปฏิบัติกับเธออย่างอ่อนโยนและรักใคร่ตั้งแต่ต้นจนจบ

ถึงเฮเฟสตัสจะทำเป็นใจกล้าและเล่นนอกบทไปบ้าง แต่วาห์นก็ยังพาเธอขึ้นสู่จุดสูงสุดแห่งความหฤหรรษ์ได้อยู่ดี

ยิ่งคิดเธอก็ยิ่งเชื่ออย่างสนิทใจว่าการเหมารวมวาห์นเข้ากับพวกเทพในอดีตนั้นจะไม่มีวันเกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่สองแน่นอน

ตั้งแต่ที่ถือกำเนิดขึ้น เฮเฟสตัสไม่เคยถูกใครรักมากขนาดนี้มาก่อนเลย แล้วก็ไม่เคยรักใครมากขนาดนี้ด้วยเช่นกัน

ถึงจะแยกกันชั่วคราว แต่เธอก็ยังรู้สึกถึงวาห์นได้จากในที่ที่ชายหนุ่มเคยเข้ามาเติมจนเต็ม

มีความอบอุ่นสายใหม่ในร่างกายที่ไม่ยอมจางหายไปเลยแม้แต่น้อย เฮเฟสตัสเชื่อว่ามันคือผลจากการที่เธอตั้งครรภ์อยู่นั่นเอง

นี่เป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อเกินคำบรรยาย แต่แน่นอนว่าสิ่งที่วาห์นพูดย่อมเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจากความจริง

เฮเฟสตัสเริ่มลูบหน้าท้องของตัวเองอย่างรักใคร่ด้วยสีหน้างุนงงและเปี่ยมสุข

ทุกอย่างที่เกิดขึ้นต่อจากนี้คือประสบการณ์พิเศษที่ไม่มีเทพหรือเทพธิดาองค์ไหนเคยก้าวเดินมาก่อน

ถึงเหล่าเทพธิดาแห่งความอุดมสมบูรณ์จะสามารถตั้งครรภ์ได้เอง แต่นั่นก็ไม่ใช่วิธีที่มนุษย์ทั่วไปทำกัน

แทนที่จะเกิดกระบวนการตกไข่ตามปกติ พลังศักดิ์สิทธิ์ของพวกเธอจะส่งผลให้เด็กเกิดออกมาโดยมีข้อแม้อยู่บางประการ

อย่างแรกคือ ถ้าไม่ใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ แน่นอนว่าพวกเธอไม่มีทางตั้งครรภ์ได้เองอย่างเด็ดขาด

อย่างที่สองก็คือเด็กที่เกิดออกมานั้นจะมีเผ่าพันธุ์ตามแบบผู้เป็นพ่อแน่นอน พวกเขาจะไม่มีทางเป็นเทพหรือแม้แต่ลูกครึ่งเทพ

ชีวิตน้อยๆ ที่อยู่ในครรภ์ของเฮเฟสตัสนั้นเปรียบได้กับความสำเร็จสูงสุดของเหล่าผู้ที่เรียกตัวเองว่า ‘เทพธิดา’

นี่คือสิ่งที่เหล่าทวยเทพนับพันปรารถนามายาวนานเป็นล้านๆ ปีแต่ก็ไม่เคยมีใครทำสำเร็จมาก่อน

ถึงจะไม่ได้ออกอาการอะไรมาก เฮเฟสตัสก็รู้ว่าเธอกับวาห์นเพิ่งจะเขียนประวัติศาสตร์บทใหม่ให้กับโลกใบนี้ไปหยกๆ

นี่ไม่ใช่สิ่งที่เธอสนใจมากนัก เพราะสิ่งที่สนใจยิ่งกว่าก็คือการได้เดินก้าวเล็กๆ ไปบนเส้นทางที่ทั้งสองเลือกเดินร่วมกัน

ขณะกำลังคิดเรื่องในอนาคต เฮเฟสตัสก็เผยรอยยิ้มเพราะนึกบางอย่างออก จากนั้นเธอก็เดินกลับมาที่ห้องทำงานและนำม้วนคัมภีร์ออกมาจากชั้นหนังสือ

สิ่งที่อยู่ใกล้ๆ ก็คือปากกาขนนกมากมายหลายสีที่สามารถส่งข้อความไปยังสถานที่ต่างๆ ได้เกือบทั่วทั้งเมือง

ตั้งแต่การประชุมครั้งแรก หรือที่บางคนเรียกมันเล่นๆ ว่า ‘วาห์นาตัส’ เฮเฟสตัสก็มอบคัมภีร์สื่อสารแบบเดียวกันให้กับทาง ‘กลุ่มต่างๆ’ อย่างพร้อมเพรียง

ด้วยการใช้ปากกาขนนกตามรหัสสี เธอสามารถส่งข้อความแบบเจาะจงไปที่บางกลุ่มได้ ส่วนปากกาสีดำนั้นคือการส่งข้อความไปหาทุกคนที่อยู่ในเครือข่าย

เฮเฟสตัสหยิบขนนกสีพีชขึ้นมาและเขียนข้อความหาคนรู้จักซึ่งเป็นผู้ดูแลแฟมิเลียระดับ D ที่ประจำอยู่ ณ เขตตะวันตกของโอราริโอ้

เธอเป็นเทพธิดาแสนใจดีผู้มีนามว่าเอโพน่า

พลังศักดิ์สิทธิ์ของเธอนั้นประกอบไปด้วยการขี่ม้าและความอุดมสมบูรณ์

เฮเฟสตัสรู้จักเธอมานานแล้ว และถึงจะไม่ได้เป็นเพื่อนสนิทแบบเฮสเทีย แต่เอโพน่าก็เป็นเทพธิดาที่เธอไว้เนื้อเชื่อใจ

สาเหตุที่แฟมิเลียของเอโพน่าไม่ได้ใหญ่โตอะไรนักก็เพราะว่ากิจการที่พักของเธอนั้นมุ่งเป้าไปที่การรับนักผจญภัยตกอับเข้ามาดูแลแบบไม่แสวงหาผลกำไร

หลังจากดำเนินกิจการมาถึง 50 ปีเต็ม แฟมิเลียของเธอก็มีสมาชิกอยู่เพียง 9 คนเท่านั้นโดยที่ 3 คนเป็นลูกแท้ๆ ของเธอเอง

ขณะเฝ้ารอการมาถึงของเอโพน่า เฮเฟสตัสก็เริ่มส่งข้อความเพิ่มเติมให้กับทางเครือข่ายซึ่งเป็นหลักปฏิบัติโดยทั่วไป

เมื่อไหร่ก็ตามที่วาห์นออกไปหาใครสักคน คนที่อยู่ต้นทางก็จะรายงานเรื่องนี้เพื่อป้องกันเหตุการณ์ไม่คาดฝัน

หลังจากที่เขาออกเดินทาง พวกเธอก็จะส่งข้อความให้ปลายทางทราบ เพื่อที่ทางนั้นจะได้มีเวลาเตรียมตัวเพิ่ม

นี่ไม่ได้เป็นการจำกัดตัวเลือกของวาห์นแต่อย่างใด แต่มันคือการทำให้คนที่อยู่ปลายทางออกมาต้อนรับเขาได้ดีกว่าเดิมต่างหาก

พวกเธอไม่ได้พูดเรื่องนี้กันบ่อยนัก แต่บางครั้งวาห์นก็ชอบทำอะไรที่หนักหน่วงเกินไป การมีเวลาเตรียมตัวเพิ่มอีกนิดจึงเป็นเรื่องที่ดีกับทุกคน

ผู้ที่ถือคัมภีร์หลักๆ ในตอนนี้ก็มีเฮเฟสตัส เอน่า โลกิ เฮสเทีย ซีล สึบากิ และอนูบิส

หลังจากที่สมาชิกของเครือข่ายเพิ่มจำนวนมากขึ้น เฮเฟสตัสกับโลกิก็ช่วยกันแจกจ่ายคัมภีร์ขนาดเล็กให้กับคนที่ใกล้ชิดวาห์นเกินเพื่อน

เพราะคัมภีร์เหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปใช้เป็นประจำ ตัวน้ำหมึกจึงมีราคาแพงมากจนพวกเธอต้องเหมาซื้อและแจกจ่ายมันทุกครั้งหลังจบการประชุม

เพื่อป้องกันเรื่อง ‘ทรัพยากรขาดตอน’ โลกิแฟมิเลียจึงรับภารกิจสำรวจดันเจี้ยนช่วงชั้นที่ 28 โดยมีเป้าหมายแฝงอยู่ที่การตามหาวัตถุดิบสำคัญที่เอาไว้ใช้ทำน้ำหมึกดังกล่าว

การที่ปาร์ตี้หลักของโลกิแฟมิเลียออกเดินทางสู่ดันเจี้ยนแบบเร่งด่วนก็เป็นเพราะสาเหตุนี้เช่นกัน แน่นอนว่าวาห์นนั้นไม่รู้เรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย

เมื่อนึกถึงสิ่งที่โลกิทำเพื่อวาห์นมาตั้งแต่แรกเริ่ม เฮเฟสตัสก็อดถอนหายใจออกมาไม่ได้

ก่อนจะได้พบกับวาห์นและก่อตั้งกลุ่มพันธมิตร แฟมิเลียทั้งสองก็มีความสัมพันธ์อันดีและเคยร่วมงานกันมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง

ถ้ารวมกับเรื่องรู้จักกันมาตั้งแต่ตอนอยู่บนสวรรค์ เธอย่อมรู้ดีว่าเทพธิดาจอมเจ้าเล่ห์นั้นอยากมีลูกเป็นของตัวเองมากแค่ไหน

ตอนนี้เฮเฟสตัสก็ตั้งครรภ์ลูกของวาห์นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สิ่งสุดท้ายที่เธอจะทำก่อนแจ้งเรื่องนี้ให้โลกิ อนูบิส และเฮสเทียทราบก็คือการขอคำยืนยันเป็นครั้งสุดท้าย

พวกเธอเคยปรึกษาเรื่องนี้กันมาบ้างแล้วในอดีต และแม้เฮสเทียกับโลกิจะไม่ค่อยถูกกันเท่าไหร่ เทพตัวเล็กก็ให้สัญญาว่าจะไม่ก้าวก่ายเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างวาห์นกับโลกิเด็ดขาด

ส่วนหนึ่งก็เพราะตอนนั้นเฮสเทียยังตัดสินใจเรื่องความรู้สึกของตัวเองไม่ได้ เธอจึงไม่มีสิทธิ์ออกความคิดเห็นว่าวาห์นควรมีลูกกับใครบ้าง

อนูบิสเองก็อยากมีลูกในอนาคตเช่นกัน แต่ตอนนี้เทพสุนัขอยากให้ความสำคัญกับวาห์นมากกว่า นั่นหมายความว่าต่อให้เธอต้องรออีกหลายปีก็ไม่มีปัญหาไร

ตั้งแต่การเจรจาครั้งแรกระหว่างกลุ่มพันธมิตรกับโอรานอส อนูบิสก็พยายามพัฒนาและมอบการศึกษาให้กับแฟมิเลียของตัวเองอย่างเต็มที่

เธอรู้ว่าวาห์นกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ยุ่งยาก ดังนั้นสิ่งที่พอจะทำให้เขาได้ก็คือยกระดับของเด็กๆ เพื่อไม่ให้พวกเขากลายมาเป็นตัวถ่วงหรือจุดอ่อนของวาห์นในอนาคต

นั่นเป็นเหตุผลที่ถึงแม้ว่าอนูบิสแทบจะกระดิกหางทุกครั้งที่ได้รับข้อความจากวาห์น เธอก็ต้องกัดฟันและทำตัวห่างเหินให้มากที่สุด

เพราะตัดสินใจแล้วว่าจะรับใช้เขาไปชั่วชีวิต เธอจึงไม่จำเป็นต้องรีบร้อนแต่อย่างใด เหมือนกับว่ายังไม่ต้องทำอะไรเพิ่มก็นำหน้าสาวๆ หลายคนไปก่อนแล้ว

ส่วนคนอื่นๆ ที่เหลือ…

สึบากินั้นยังชอบเอาเรื่องแต้มแพ้ชนะระหว่างตัวเองกับวาห์นมาล้อเล่นอยู่เรื่อย แต่ตอนนี้ทุกคนต่างรู้ดีว่าคนที่เธอพอจะตบตาต่อไปได้ก็มีแค่เด็กอมมือเท่านั้นแหละ

เพื่อเป็นการหยอกเธอแรงๆ สักรอบ อนูบิสจึงถือโอกาส ‘เบี้ยวเดต’ ระหว่างตัวเอง วาห์น และสึบากิโดยหวังว่าทั้งสองจะได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น

พอได้ยินว่าสึบากิอัดวาห์นจนต้องลงไปนั่งคุกเข่ากลางถนน ทุกคนก็เริ่มหยิบยกเรื่องนี้มาล้อเธอทุกครั้งที่มีโอกาส

หญิงสาวพยายามพูดเบี่ยงประเด็นว่านี่เป็นการเก็บแต้มชนะเพิ่มเท่านั้นเอง แต่แย่หน่อยที่สมาชิกคนอื่นๆ ไม่ใช่เด็กอมมือ

—————
ผลงาน.ถูกขโมยมาจาก: EP:IC Translation และ Thai Novel : https://bit.ly/34ApcTP

—————

ผู้หญิงที่แฝงความน่ากลัวที่สุด และเป็นคนที่เฮเฟสตัสกับเอน่าดูออกตั้งแต่แรกแล้วก็คือซีลนั่นเอง

จากการที่วาห์นไป ‘เจ้าของร้านผู้เพรียบพร้อม’ เพื่อพบโคลอี้เป็นประจำ พวกเธอก็รู้เลยว่าอีกเดี๋ยวคงได้สมาชิกเพิ่ม

พอรู้เรื่องของซีลหลังจากจบการประชุมครั้งแรก เฮเฟสตัสกับเอน่าก็เดาได้ไม่ยากเลยว่าหญิงสาวผมเทาคนนี้คือแกนนำคนสำคัญของ ‘กลุ่มสาวเสิร์ฟ’

หลังจากตอนนั้นมา แม้วาห์นจะพยายามเข้าหาโคลอี้เป็นหลัก แต่ซีลก็ค่อยๆ ลิดรอนการป้องกันของเขาลงและทำหน้าที่เป็นแม่สื่อให้กับสาวเสิร์ฟคนอื่นแบบไม่มีตกหล่นแม้แต่คนเดียว… ยกเว้นมามามีอาไว้คนนึงละกัน

นอกเหนือจากโคลอี้แล้ว ตอนนี้วาห์นยังรู้สึกใกล้ชิดกับริวมากเป็นพิเศษ แถมได้ทำความคุ้นเคยกับคนอื่นๆ อย่างอาเนีย ลูนัวร์ แล้วก็แน่นอน ตัวซีลเองด้วย

จริงอยู่ที่ซีลไม่เคยขัดขวางสัมพันธ์อื่นๆ ของวาห์นเลย แต่การกระทำที่แล้วมาของเธอก็เป็นสิ่งที่เหล่าแกนนำจะมองข้ามไปไม่ได้

พวกเธอรู้เรื่องที่หญิงสาวเป็นฝ่ายสารภาพความรู้สึกกับวาห์นก่อนด้วย

อีกไม่นานอิทธิพลของซีลก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นจนกลายมาเป็นหนึ่งในแกนนำคนสำคัญของเครือข่ายเช่นกัน

ทุกอย่างยิ่งดูเข้าทางเมื่อซีลออกปากอาสาดูแลมิลานกับทีน่าหลังเกิดเหตุการณ์ลักพาตัวครั้งที่แล้ว แถมเธอยังเป็นผู้ออกความคิดให้ริวตามไปดูแลวาห์นในดันเจี้ยนอีกด้วย

พอใบหน้าของสาววัยรุ่นที่มีเรือนผมและดวงตาสีเทาลอยขึ้นมาในหัว เฮเฟสตัสก็ได้แต่ถอนหายใจแบบปลงๆ

ซีลนั้นเป็นคนที่จัดการเรื่องหลังฉากได้เก่งกาจมากโดยที่แม้แต่โลกิเองยังเคยเอ่ยปากชมเธอเลย

พวกเธอคิดว่าซีลน่าจะช่วยสนับสนุนวาห์นได้เป็นอย่างดี แต่บางอย่างที่เธอทำก็ยังดูไม่ค่อยน่าไว้ใจเท่าไหร่

ซีลชอบวาห์น อันนี้ทุกคนรู้ดี ปริศนาสำคัญก็คือการที่เธอเน้นกระชับความสัมพันธ์ของเขากับสาวเสิร์ฟคนอื่นแทนที่จะเป็นตัวเองนี่มัน…

ขณะกำลังคิดวิเคราะห์เรื่อยเปื่อย เฮเฟสตัสก็ได้ยินเสียงเคาะที่ประตู

เทพสาวหยุดคิดเรื่องน่าปวดหัวและรีบออกไปต้อนรับแขกผู้มาเยือนด้วยรอยยิ้ม

เอโพน่านั้นสูงประมาณ 160 ซม. และมีร่างกายอวบอัดแต่ก็ดูสง่างาม

ผมสีส้มของเธอค่อนข้างหยิกและถูกเกล้าไว้แบบหลวมๆ ตรงด้านหลัง

ดวงตาสีม่วงและใบหน้าที่ดูยิ้มแย้มตลอดเวลานั่นสามารถทำให้ผู้มองรู้สึกสงบได้อย่างน่าประหลาด

เธอใส่ชุดพิธีการสีเหลืองที่ยาวลงมาถึงข้อเท้าและสวมสิ่งที่ดูคล้ายผ้ากันเปื้อนสีแดงทับอีกชั้น

ก่อนที่เฮเฟสตัสจะหยิบยกเรื่องสำคัญขึ้นมาพูด เอโพน่าก็เอียงหัวไปมาพร้อมแสดงสีหน้าสงสัย

เธอไม่แน่ใจว่าเพราะอะไร แต่เฮเฟสตัสในตอนนี้นั้นดูแปลกไปจากที่แล้วๆ มา

ท่าทางของเฮเฟสตัสนั้นดูปกติ เสื้อผ้าก็เดิมๆ ที่ดูแปลกไปบ้างก็คือสีหน้ามีความสุขเพราะเพื่อนของเธอคนนี้มักจะทำหน้าเคร่งขรึมอยู่ตลอดเวลา

‘….เห!?’

ระหว่างนึกเรื่องที่พอจะทำให้เธอดูมีความสุขได้ขนาดนี้ ในที่สุดเอโพน่าก็พบคำตอบ

แต่ก่อนจะได้กล่าวแสดงความยินดีออกไป คำพูดเหล่านั้นก็มากระจุกอยู่ตรงลำคอแทน

เฮเฟสตัสยังไม่ต้องถามอะไรเลย เพราะสีหน้าของอีกฝ่ายนั้นเป็นเครื่องยืนยันที่ดีที่สุดแล้ว

“เป็นไปได้ยังไงกัน!?” เอโพน่าเอ่ยถามพลางเบิกตากว้าง

เฮเฟสตัสส่ายหน้าทั้งๆ ที่ยังคงยิ้มแย้มเหมือนเดิม

“ฉันจะอธิบายเรื่องนี้ที่งานเดนาตัสครั้งหน้าทีเดียวเลย เธอช่วยเก็บเป็นความลับไว้ก่อนจะได้หรือเปล่า?”

เอโพน่าที่ยังคงสีหน้าไว้แบบเดิมเริ่มพยักหน้าอย่างรวดเร็ว

“อื้อ ได้สิ แน่นอน จะไม่ไปบอกใครก่อนเลย แต่ว่านะเฮเฟสตัส มันเกิดขึ้นได้ยังไงกัน?

ฉันมองออกว่าเธอไม่ได้มีพลังศักดิ์สิทธิ์มาเพิ่ม… และมันก็ไม่เหมือนกับตอนที่ฉันท้อง… พลังงานนี่มัน พลังแห่งชีวิตงั้นเหรอ?”

เพราะเฮเฟสตัสยังพูดอะไรมากไม่ได้ เธอจึงอธิบายแบบสั้นว่าเดนาตัสครั้งหน้าจะออกมาในรูปแบบไหน

พอรู้ว่าคงไม่ได้ข้อมูลอะไรมากไปกว่านี้ เอโพน่าจึงเก็บมันไว้ก่อนและเปลี่ยนไปให้ข้อมูลเรื่องการตั้งครรภ์แทน

ในช่วง 50 ปีที่ผ่านมานั้น เอโพน่ามีลูกมาแล้วกว่า 20 คน เธอจึงเป็นแหล่งข้อมูลที่ดีที่สุด

เทพสาวบอกเรื่องที่เฮเฟสตัสควรจะรู้ไว้ก่อน เรื่องสัญญาณเตือนต่างๆ และแน่นอน เรื่องอันตรายจากการทำงานหนักรวมถึงการทานอาหารที่ส่งผลเสียต่อร่างกาย สภาพจิตใจ และเด็กในท้อง

เอโพน่ารู้สึกตื่นเต้นมากจนถึงขั้นอาสามาเป็นผู้ช่วยทำคลอด (TL: หมอตำแย) ให้กับเธอ ซึ่งเฮเฟสตัสก็ตอบรับพร้อมกล่าวขอบคุณทันที

หลังจากโดนเพื่อนที่ดูดีใจเสียยิ่งกว่าคนท้องสอนสั่งอยู่ราวๆ 4 ชั่วโมง ทั้งสองก็บอกลากัน

เฮเฟสตัสนั้นไม่รออะไรแล้ว เธอพุ่งตรงไปยังห้องทำงานเพื่อแจ้งเรื่องนี้ให้ทางเครือข่ายทราบทันที

ผ่านไปไม่ถึง 20 วินาที เธอก็ได้รับการตอบกลับอย่างเร่งด่วนจากโลกิ

หากไม่ใช่เพราะมีคนรู้ทันและเข้ามาจับตัวโลกิไว้… เธอก็คงจะรีบบึ่งไปหาวาห์นที่คฤหาสน์แล้ว

สุดท้ายแล้วความหื่นกระหายของเธอก็โดนเบรกเข้าอย่างจังเมื่อเฮสเทียส่งข้อความกลับมาว่าวาห์นออกไปทำภารกิจตามหาเด็กสาวที่มีชื่อว่าฮารุฮิเมะ

หลังจากใจเย็นลงไปบ้าง โลกิก็สรุปได้เองว่าการเข้ากดดันวาห์นในตอนนี้นั้นไม่ได้มีประโยชน์แต่อย่างใด

เธอจึงเปลี่ยนไปแจ้งให้เฮสเทียทราบว่าจะเรียกทีมสำรวจให้กลับมาโดยด่วน เผื่อว่าทางนี้ต้องการกำลังเสริม

ข้อความสุดท้ายของเธอก็คือ หากวาห์นตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก ทางโลกิแฟมิเลียก็จะระดมกำลังทั้งหมดที่มีเพื่อเข้าช่วยเหลือทันที

หลังจากการสนทนากลับสงบลงอีกครั้ง ซีลก็เปลี่ยนบรรยากาศด้วยการถามเรื่อง ‘เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโรงหลอม’

ถึงเฮเฟสตัสจะยังไม่ตอบในทันที แต่คำถามของซีลก็ทำให้หลายคนรู้สึกสนใจมาก นั่นร่วมถึงโลกิกับเฮสเทียด้วย

เฮเฟสตัสนั้นไม่เคยมองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างตัวเองกับวาห์นเป็นเรื่องน่าอายแต่อย่างใด เธอจึงเริ่มเล่าเหตุการณ์ต่างๆ อย่างเผ็ดร้อน

ยิ่งพูดออกมามากเท่าไหร่ การสนทนาก็ยิ่งร้อนแรงขึ้นจนมาถึงตอนที่เทพสาวป่าวประกาศให้ทั้งกลุ่มรู้ว่าเธอยอมให้วาห์นทิ้งตราสัญลักษณ์ของเขาไว้ตรงด้านหลัง…

หลังจากที่ร่างของเฮสเทียผ่อนคลายลงแล้ว วาห์นก็รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายกำลังถอนหายใจยาวๆ ขณะนอนแหมะอย่างไร้เรี่ยวแรงไปกับท้องน้อยของเขา

เพราะรู้ว่าเธอคงเป็นแบบนี้ไปอีกสักพัก วาห์นจึงเพ่งสมาธิและขจัดความตึงเครียดออกจากร่างกายด้วย [จิตแห่งราชัน]

ผ่านไปอีกชั่วอึดใจ สิ่งที่เคยแข็งกร้าวก็ค่อยๆ อ่อนยวบลง ตามมาด้วยการจัดชุดชั้นในของอักฝ่ายให้เข้าที่และนำร่างเล็กลงมานอนที่เตียง

สติของเฮสเทียเริ่มแจ่มชัดขึ้นขณะที่วาห์นคอยลูบใบหน้าจากด้านข้างพลางกระซิบบอกเธอเบาๆ

“ทำดีแล้วล่ะ เฮสเทีย… ขอบใจนะที่พยายาม”

วาห์นโน้มลงไปจูบที่ริมฝีปากของเทพตัวเล็กก่อนจะใช้ผ้าห่มห่อตัวเธอไว้ด้วยความเอาใจใส่

เฮสเทียจ้องมองแผ่นหลังของวาห์นราวกับอยากจะเอ่ยอะไรบางอย่าง แต่เธอกลับพบว่าตอนนี้สมองไม่อาจรวบรวมมันออกมาเป็นคำพูดได้เลย

แรงสั่นสะเทือนจากร่างกายส่วนล่างคงจะตามหลอกหลอนเธอไปอีกพักหนึ่ง

สิ่งเดียวที่รู้สึกได้ในตอนนี้คือ ‘ความเศร้า’ เพราะขาดความอบอุ่นจากคนตรงหน้า

มืออ่อนปวกเปียกค่อยๆ ขยับไปเองและกุมเข้ากับด้านหลังชายเสื้อของคนที่กำลังเดินจากไป

วาห์นต้องรีบหันกลับมาคว้าร่างเล็กและจับเธอนอนลงอีกครั้ง พอมองเข้าไปในดวงตาสีฟ้า เขาก็เห็น ‘ความถวิลหา’ ที่ฝังลึกอยู่ในนั้นได้อย่างชัดเจน

วาห์นถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนจะกลับเข้าไปใต้ผ้าห่มและกอดเฮสเทียต่ออีกหน่อย

เขาสัมผัสได้ว่าสาวๆ หลายคนเริ่มตื่นกันแล้ว แต่ก็น่าจะเหลือเวลานอนเล่นอยู่บ้างเพราะต่างก็ต้องแต่งเนื้อแต่งตัวกันอีกพักหนึ่ง

ความอบอุ่นจากวาห์นเข้ามาขับไล่เศร้าออกไปและทำให้หัวใจของเธอกลับมาพองโตขึ้นอีกครั้ง ตอนนี้เฮสเทียพยายามออกแรงกอดให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้

ร่างเปลือยเปล่าและความนุ่มนิ่มของอีกฝ่ายทำให้วาห์นรู้สึกอยากจะนอนต่ออยู่เหมือนกัน

เมื่อกี้เขาได้ถอดเสื้อออกไปแล้ว นั่นทำให้สัมผัสจากยอดชูชันทั้งสองส่งผ่านมาถึงผิวกายได้อย่างชัดเจน

ขณะใช้มือลูบไล้เส้นผมยาวสลวย วาห์นก็รู้สึกว่าถ้าสามารถรวมเป็นร่างเดียวกัน หรือเข้ามาสิงเขาได้ เฮสเทียก็คงทำมันไปนานแล้ว

เขาค่อยๆ ใช้มือยกหน้าแดงระเรื่อของเธอขึ้นเพื่อดูว่าสติกลับมาครบดีหรือยัง

ใบหน้างามยังเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำมูกน้ำตาอยู่บ้าง แต่อย่างน้อยแววตาสีฟ้าก็กลับมาแจ่มชัดอีกครั้งหนึ่งแล้ว

วาห์นดูออกว่าเธอโอเค แต่แค่กำลังอยากให้เขามาเอาใจหลังจากที่เพิ่งทำกิจกรรมร่วมกันไปหมาดๆ

หลังจากเช็ดคราบต่างๆ ออกให้ วาห์นก็โน้มหน้าเข้ามาจูบกับเฮสเทียสั้นๆ อีกหลายครั้ง

เขาไม่อยากให้เธอฝืนไปมากกว่านี้ แถมสาวๆ บางคนก็เริ่มมารวมตัวกันที่บันไดชั้นล่างแล้วด้วย

สุดท้ายเฮสเทียก็ยอมปล่อยมือและพยายามลุกขึ้นมานั่งบนเตียงอย่างยากลำบาก

เทพตัวเล็กหันมาจ้องที่ใบหน้าของวาห์นและถามด้วยน้ำเสียงลังเล

“วาห์น นายรักฉันหรือเปล่า?”

วาห์นลุกขึ้นมานั่งสบสายตากับเฮสเทียเช่นกันขณะเผยรอยยิ้มจริงใจ

เขารู้ว่าตอนนี้เฮสเทียไม่ได้ต้องการคำชมหรือคำพูดหวานเกินจริง

เธอแค่ถามในสิ่งที่คิดและคงอยากได้คำตอบชนิดเดียวกันกลับไป

แววตากับคำตอบของวาห์นล้วนแฝงไปด้วยความมั่นใจสุดๆ

“รักสิ ฉันรักเธอนะ เฮสเทีย”

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าได้รูป ตามมาด้วยการพยักหน้าเบาๆ ราวกับกำลังยืนยันบางอย่าง

“แต่นายก็รักคนอื่นด้วย ใช่ไหมล่ะ?”

เป็นคำถามที่ตอบยากกว่าเดิม แต่วาห์นก็ตอมกลับไปตามตรง

“ใช่”

เฮสเทียถอนหายใจยาวและทำหน้าครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง เธอก้มลงไปจ้องมองร่างกายของตัวเองที่เต็มไปด้วยหยาดเหงื่อกับร่องรอยสีแดงมากมายและเริ่มนึกถึงช่วงเวลาต่างๆ ที่ใช้ร่วมกับคนตรงหน้า

เธอรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นลูกครึ่งเทพและทั้งสองคงจะได้อยู่ด้วยกันอีกหลายร้อยปี

ในช่วงเวลาดังกล่าว วาห์นคงจะมีทั้งภรรยาหรือคนรักเพิ่มขึ้น นั่นยังไม่รวมถึงพวกเด็กๆ ที่เกิดออกมาและเทพธิดาคนอื่นนอกเหนือไปจากตัวเธอเอง…

นั่นคือความเป็นจริง คือความจริงที่เธอต้องเผชิญ คือความรู้สึกอิจฉาที่เธอไม่อาจควบคุมได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเฮสเทียก็ยังอยากอยู่เคียงข้างวาห์น

เขาเป็นคนที่เอาใจใส่เธอมากที่สุด อ่อนโยนกับเธอมากที่สุด และไม่เคยยอมแพ้ต่อสิ่งใด ไม่ว่ามันจะลำบากแค่ไหนก็ตาม

ถึงจะถูกความอ่อนแอเข้าเล่นงานเป็นบางครั้ง แต่เขาก็ไม่เคยหลีกหนีมันและพยายามเสาะหาแรงสนับสนุนจากคนอื่นในยามที่จำเป็น

เขาแข็งแกร่งจนน่าเหลือเชื่อแต่อีกด้านก็เปราะบางไม่แพ้กัน… เฮสเทียอยากปกป้องผู้ชายคนนี้และช่วยค้ำจุนเขาไปตลอดในฐานะเสาหลักคนหนึ่ง

หลังยืนยันความรู้สึกของตัวเองเสร็จแล้ว เฮสเทียก็ตัดสินใจได้ว่าเธอจะสนับสนุนวาห์นเท่าที่ทำได้ และจะพยายามไม่ไปจำกัดหรือตั้งแง่กับเขาเหมือนแต่ก่อน

อย่างที่เขาคอยโอนอ่อนให้กับความเอาแต่ใจของเธอมาตลอด เธอเองก็ต้องยอมโอนอ่อนตามเช่นกัน นั่นร่วมถึงการช่วยผลักดันให้เขาใกล้ชิดคนอื่นมากขึ้นด้วย

สีหน้าและออร่าของเทพตัวเล็กกลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว พอมองเข้าไปในดวงตาสีน้ำทะเล เธอก็เห็นความเอาใจใส่ ความเป็นห่วง และความกลัวเล็กน้อยที่แทบจะจางหายไปทันทีที่ได้สบตากัน

เฮสเทียเผยรอยยิ้มที่แฝงไปด้วยความรักและงดงามที่สุด พร้อมตอบกลับอย่างมั่นใจ

“ฉันเองก็รักนายนะ ต่อไปก็ฝากเนื้อฝากตัวด้วยล่ะ… ฉันจะช่วยทำให้ความฝันของนายเป็นจริงขึ้นมาให้ดู~”

นั่นเป็นคำตอบที่สร้างความสุขให้กับวาห์นอย่างล้นเหลือจนต้องนำอีกฝ่ายมาไว้ในอ้อมอกพร้อมรอยยิ้มกว้าง

“เฮสเทีย ฉันดีใจจริงๆ ที่ได้มาเจอเธอ… ขอบคุณนะที่มารักกัน”

วาห์นโน้มหน้าลงไปจูบริมฝีปากงามอย่างดูดดื่ม ส่วนเฮสเทียก็ตอบรับมันอย่างเต็มหัวใจ

ราวกับว่าความกลัวเรื่องต่างๆ นาๆ ของเธอพลันหายไปจนหมดสิ้น

ทั้งสองจูบกันนานมากจนลืมหายใจกันอยู่พักใหญ่ๆ แต่สุดท้ายก็หันไปใช้จมูกหายใจต่อและไม่ยอมจบจูบนี้ลงง่ายๆ

ทว่าช่วงเวลาแห่งความสุขมักจะอยู่ได้ไม่นาน และแล้วเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นเพื่อดึงให้ทั้งสองกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง

เฮสเทียต้องรีบถอนปากออกและกล่าวเตือนเบาๆ

“รีบไปได้แล้ว อย่าให้คนอื่นต้องรอนานสิ!”

วาห์นยังปรับตัวตามไม่ทันและเอาแต่จ้องมองเฮสเทียที่นำผ้าห่มขึ้นมาปิดช่วงบน

กลีบดอกสีขาวที่กระจายอยู่รอบเตียงค่อยๆ บินขึ้นมาบรรจบกับร่างที่อยู่ใต้ผ้าห่ม หรือก็คือเธอกำลังแต่งตัวอยู่นั่นแหละ

เทพตัวเล็กหันมาจ้องเขม็งด้วยสีหน้าแดงก่ำ

“เลิกมองแบบนั้นได้แล้ว!… เอาไว้ต่อกันทีหลังก็ได้ วันนี้ฉันยังต้องไปจัดการธุระอีกหลายเรื่องน่ะ…”

วาห์นหัวเราะเบาๆ ขณะใช้มือขยี้ผมของเฮสเทียและโดดลงจากเตียง

หลังจากใช้ผ้าเช็ดตัวแบบลวกๆ เขาก็เปลี่ยนเสื้อผ้าผ่านทางระบบก่อนจะเดินไปเปิดประตูเพื่อต้อนรับริวที่เฝ้ารออย่างใจเย็น

ดวงตาสีฟ้าหรี่ลงเล็กน้อย แต่เธอก็แค่กล่าวคำทักทายสั้นๆ ตามแบบฉบับ

“อรุณสวัสดิ์นะวาห์น”

ชายหนุ่มยิ้มให้พลางเอ่ยตอบ

“ขอโทษทีนะที่ให้รอนาน ลงไปเริ่มฝึกกันเถอะ”

ริวพยักหน้ารับก่อนที่ทั้งสองจะมุ่งหน้าไปยังลานฝึกประจำคฤหาสน์

ทุกคนมากันครบหมดแล้วและกำลังยืนรออยู่ตรงลานที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์ฝึกมากมายหลายรูปแบบ

เนื่องจากกำลังอารมณ์ดีแบบสุดๆ วาห์นจึงกล่าวทักทายทุกคนอย่างกระปรี้กระเปร่าพร้อมตรวจสอบค่าสถานะของแต่ละคน… แต่แล้วก็สังเกตุได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ

ทุกคนต่างทำสีหน้าแปลกๆ แม้กระทั่งพรีเซียที่นั่งอยู่ข้างลานพร้อมกับมิลานก็ยังจ้องเขาในลักษณะเดียวกัน นั่นร่วมถึงทีน่าที่ตัดสินใจมาร่วมฝึกในวันนี้ด้วย แถมใบหน้าของเด็กสาวนั้นยังแดงเข้าขั้น ‘เลฟิย่า’ ไปแล้ว

สมองของวาห์นทำงานอย่างรวดเร็วจนเริ่มเห็นคำตอบขึ้นมาลางๆ เริ่มจากการไล่จำแนกสมาชิกที่มารวมตัวกันอยู่ที่นี่ก่อน

มิลานกับทีน่า -> เผ่ามนุษย์แมว -> จมูกดี

เอมิรุกับมาเอมิ -> เผ่าเสือดาวหิมะ -> จมูกดี

พรีเซีย -> เผ่ามนุษย์แกะ -> จมูกดี

ฮารุฮิเมะ -> เผ่าเรนาร์ด (จิ้งจอกชั้นสูง) -> จมูกดี

มิโคโตะ -> มนุษย์ -> จมูกปานกลาง

ริว -> เอลฟ์ -> จมูกปานกลาง

ตอนแรกวาห์นก็คิดว่าไม่น่าจะใช่เพราะมีคนไม่เข้าข่าย แต่เขาก็ต้องร้อง ‘อ๋อ’ ในใจเมื่อนึกถึงสีหน้าตอนริวกล่าวทักทาย

เพราะเมื่อกี้เล่นกับเฮสเทีย ‘หนักไปหน่อย’ ทั้งใบหน้าและลำตัวของวาห์นในตอนนี้จึงชุ่มไปด้วยกลิ่นของเธอ

ต่อให้มี ‘จมูกปานกลาง’ แต่นักผจญภัยเจนสนามอย่างริวย่อมต้องมีประสาทสัมผัสที่ดีกว่าคนทั่วไปอยู่แล้ว

นี่เองที่ทำให้เกือบทุกคนทำหน้าแบบเดียวกัน

งานเข้าแล้วก็ต้องเข้าให้สุด เพราะคนที่จมูกดีที่สุดบนโลก(?)… ก็คือเฟนเรียร์ซึ่งกำลังจ้องมองวาห์นด้วยดวงตาสีแดงเปล่งประกาย

จริงอยู่ที่เฟนเรียร์ไม่เคยรู้เรื่องอย่างว่ามาก่อน แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าสัญชาตญาณของเธอจะหยุดทำงานไปด้วย

เด็กสาวเดินเข้ามาใกล้ผู้เป็นนายและทำท่าสูดดมในขณะที่คนอื่นได้แต่มองดูแบบเงียบๆ

วาห์นเผลอถอยหลังออกไปเล็กน้อย แต่เฟนเรียร์ก็รีบพุ่งแบบจมูกมาก่อนและชนเข้ากับแผงอกที่วันนี้… ไม่คอยจะคุ้นเคยเท่าไหร่นัก

“…วาห์นกลิ่นเหมือนเฮสเทียเลย กลิ่นแรงมาก!”

คนอื่นๆ อาจจะรู้และพอเข้าใจได้ว่าเมื่อคืนคงมีบางอย่างเกิดขึ้น แต่ส่วนที่วาห์นคิดว่าน่าอายที่สุดก็คือการโดนเฟนเรียร์จับผิดนี่แหละ

เขากำลังพยายามคิดหาข้อแก้ตัวแบบด่วนจี๋ แต่แล้วฮารุฮิเมะก็ดันพูดเสริมขึ้นเสียก่อน

“ดีจริงๆ เลยนะคะ~!

ดูเหมือนว่าท่านเฮสเทียคงทำตามที่ฉันแนะนำแล้วก็ทำสำเร็จซะด้วยสิ~!”

วาห์นจ้องไปทางดวงตาสีเขียวที่ดูแสนเปี่ยมสุขทันที

นับเป็นครั้งแรกเลยที่เขาอยากกล่าวโทษเธอขึ้นมาตะหงิดๆ ต่อให้ใบหน้านั่นจะไร้เดียงสาแค่ไหนก็เถอะ

เพราะเป็นคนเดียวที่ยังตามไม่ทัน มิโคโตะจึงโน้มหน้าเข้ามาใกล้และเอ่ยถามเพื่อสนิทเบาๆ

“เธอบอกให้ท่านเฮสเทียทำอะไรเหรอ?”

วาห์นเบิกตากว้างและรีบร้องห้ามทันที

“ฮารุฮิเมะ! ขอล่ะ อย่าพูดอะไรที่มัน… เป็นอุปสรรคต่อพัฒนาการของเฟนเรียร์เลยนะ”

เรนาร์ดสาวชะงักเล็กน้อยก่อนจะเอียงหัวและทำหูกระดิกไปมาอย่างสงสัย

อาจเป็นเพราะ ‘คอร์สฝึกสาวบริการ’ และเวลา 3 ปีที่อยู่แต่ในซ่อง ความนึกคิดของเธอก็เลยผิดไปจากคนปกติ… เผลอๆ อาจจะหนักกว่าวาห์นเสียอีก

เธอตอบกลับมาด้วยสีหน้าปกติสุดๆ

“การที่คนสองคนรักกันมันไม่ใช่เรื่องเสียหายตรงไหนเลยนี่คะ

ฉันเองก็อยากจะลองดูสักครั้งเหมือนกัน… ถ้าหากว่าคุณวาห์นไม่ติดอะไร~”

พอพูดถึงส่วนหลัง ฮารุฮิเมะยังได้เอามือขึ้นมาแนบแก้มสีแดงระเรื่อและหัวเราะแบบแปลกๆ เป็นการปิดท้ายอีกต่างหาก

หลังจากได้ยินบทสนทนาดังกล่าว ฝันร้ายที่สุดของวาห์นก็เป็นจริงขึ้นมาจนได้

“…เฟนเรียร์รักวาห์น?”

มันเป็นคำพูดลอยๆ ที่ดูคล้ายคำถามสำหรับตัวคนพูด วาห์นจึงไม่แน่ใจว่าจะตอบยังไงดี ทว่าสุดท้ายเฟนเรียร์ก็สรุปมันได้เอง

“ใช่ๆ เฟนเรียร์รักวาห์น!”

เด็กสาวหุบกรงเล็บเข้าออกหลายครั้งด้วยความตื่นเต้น ก่อนจะแหงนหน้ามองผู้เป็นนาย

“วาห์นรักเฟนเรียร์มั้ย~?”

วาห์นรู้สึกเหมือนตัวเองเพิ่งจะวิ่งพุ่งชนกำแพงด้วยความเร็วสูงสุดไปหมาดๆ

เขารู้ว่าการตอบ ‘ใช่’ ก็คือการเดินเหยียบกับระเบิดดีๆ นี่เอง แต่การตอบ ‘ไม่’ นี่… คือการต้องเดินฝ่าทุ่งระเบิดทั้งสนามที่ไม่รู้ว่าจะโดนเมื่อไหร่ หรือต้องโดนกี่อัน

การคิดนานเกินก็ไม่ใช่ตัวเลือกเช่นกัน เพราะทุกวินาทีที่เสียไป แววตาสีแดงสดก็ยิ่งสว่างไสวขึ้นเรื่อยๆ

เขาเห็นกรงเล็บที่เริ่มยาวจนผิดสังเกต ดังนั้นสิ่งเดียวที่ทำได้ก็คือใช้มือลูบหัวของเด็กสาวพร้อมเอ่ยคำตอบที่แย่น้อยกว่า

“วาห์นก็รักเฟนเรียร์เหมือนกัน…”

เฟนเรียร์พยายาม ‘ยิ้มแย้ม’ อย่างดีที่สุดขณะวิ่งไปหาฮารุฮิเมะพร้อมตะโกนเสียงดัง

“ฮารุฮิเมะ สอนรักให้เฟนเรียร์หน่อย!”

แต่ก่อนที่เรนาร์ดสาวจะได้สาธยายแบบหมดเปลือก เธอก็โดนมิโคโตะลากไปเก็บชั่วคราว ในขณะที่มิลานรีบก้าวออกมาอุ้มเฟนเรียร์ไว้ในอ้อมแขน

วานากานดร์น้อยค่อนข้างหงุดหงิดและดิ้นไปมาไม่หยุด แต่ในที่สุดคุณแม่ผู้มากประสบการณ์ก็กล่อมเธอจนอยู่หมัด

“เฟนเรียร์จำได้เหรือเปล่าว่าต้องขยันเรียนให้จบก่อนนะ จะผิดสัญญาที่ให้ไว้แล้วเหรอ~เมี๊ยว?”

คำพูดนั่นทำให้เฟนเรียร์มองวาห์นสลับกับฮารุฮิเมะไปมาอยู่หลายครั้งก่อนที่เธอจะยอมอยู่นิ่งๆ และปล่อยให้มิลานกล่อมต่อ

ทุกคนมักพร่ำบอกว่าเธอต้องขยันเรียนให้มากๆ จะได้โตขึ้นมาเป็นคนดีและไม่สร้างปัญหาให้คนรอบข้าง

เธอให้สัญญากับมิลานและทีน่าว่าจะพยายามอย่างหนัก ส่วนเป้าหมายที่วางไว้ก็คือการอ่านหนังสือให้จบทั้งเล่มและเขียนรายงานสรุปส่ง

หากทำออกมาได้ดี มิลานบอกว่าจะสอนเรื่อง ‘ความเป็นผู้ใหญ่’ ให้กับเธอเอง

กลิ่น ‘ตื่นเต้น’ บวกกับคำพูดของฮารุฮิเมะทำให้เฟนเรียร์ลืมสัญญาที่ให้ไว้ไปซะสนิทเลย นั่นยิ่งทำให้เธอรู้สึกแย่หนักกว่าเดิมเป็นเท่าตัว ทว่าดูเหมือนเธอจะเข้าใจอะไรบางอย่างก่อนจะหันไปทางคู่แฝด

“พวกเธอก็ต้องเรียนด้วย อย่ามาโกงเฟนเรียร์นะ….”

ทั้งสองจ้องมองฉากตรงหน้าอย่างสนใจมาโดยตลอดและรู้ความหมายของกลิ่นที่ติดตัววาห์นเป็นอย่างดี

หลังจากโดนเฟนเรียร์แว้งกัดทีเผลอ เอมิรุกับมาเอมิจึงต้องหันไปอีกทางเพื่อหลบสายตาสีแดงเปล่งประกาย

นอกจากจะมีศักดิ์เป็นถึง ‘รุ่นพี่’ ในแฟมิเลียแล้ว เฟนเรียร์ยังเป็นผู้สอนอ่านเขียนให้อีกด้วย แน่นอนว่าทั้งสองไม่มีทางปฏิเสธเด็กสาวได้เลย

“แน่นอนค่ะ…”, “เข้าใจแล้วค่ะ…”

ปกติแฝดคู่นี้มักจะตอบเป็นเสียงเดียวกัน แต่ดูเหมือน ‘เรื่องฉาวแต่เช้า’ คงทำให้สายสัมพันธ์ดังกล่าวไม่ทำงานเป็นการชั่วคราว

วาห์นรู้สึกว่าวันนี้ตัวเองพลาดตั้งแต่ก้าวเดินออกจากห้อง เขาจึงได้แต่มองมาทางรองกัปตันแบบเพลียๆ

ราวกับเข้าใจในสิ่งที่กัปตันของเธออยากเอ่ยถาม ริวก้มหัวเล็กน้อยก่อนพูดมันขึ้นมาเอง

“ต้องขออภัยด้วย ฉันเองก็ลืมคิดเรื่องจมูกของคนอื่นไปเหมือนกัน

ถ้ากัปตันจะไปล้างตัว เดี๋ยวทางนี้ฉันดูแลเองค่ะ”

วาห์นจะไปโทษริวก็ไม่ถูก เพราะสุดท้ายทุกอย่างก็เกิดขึ้นจากความเลินเล่อของเขาเอง

“โทษทีนะริว งานนี้ฉันไม่ระวังเอง

ไม่ต้องมาขอโทษอะไรหรอก… แต่ขอตัวสักครึ่งชั่วโมงละกันนะ”

ขณะกำลังเดินออกจากลานฝึก สายตาทุกคู่ต่างก็จับจ้องมาที่แผ่นหลังของวาห์นด้วยสีหน้าหลากหลายแบบ

แม้แต่ริวเองยังหรี่ตาเล็กน้อยพร้อมกับพึมพำเสียงเบาจนแม้แต่เฟนเรียร์เองยังไม่ได้ยิน

“…เรื่องนี้ยังไงก็ต้องเกิด ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้นเอง

ส่วนตัวแล้วฉันว่ายิ่งเร็วก็ยิ่งดีนะ ที่แน่ๆ ทุกคนจะได้ตั้งใจฝึกกันมากกว่าเดิม…”

ริวพยายามคำนึงถึงทุกเรื่องที่เกี่ยวกับวาห์น ทั้งสกิล [โพรมีธีอุส] ทั้งเรื่องผู้หญิงคนอื่นที่จะเข้ามามีบทบาทในชีวิตของเขา

เรื่องเมื่อกี้ก็เป็นสิ่งที่เธอเจตนาเช่นกัน แต่ทุกอย่างก็เพื่อความสุขของตัวเขาเอง

วาห์นจะรู้สึกปลอดภัยก็ต่อเมื่อผู้หญิงทุกคนแข็งแกร่งพอที่จะปกป้องตัวเองได้โดยไม่ต้องพึ่งพาเขาจนเกินเหตุ

ตอนนี้เมล็ดได้ถูกหว่านลงไปแล้ว ริวจึงอยากดูแลอย่างใกล้ชิดไปอีกพักหนึ่งเพื่อความแน่ใจ

เพราะครั้งนี้เธอต้องหลอกใช้ประโยชน์จากวาห์นอยู่บ้าง ริวจึงสาบานกับตัวเองในใจว่าจะชดเชยให้เขาอย่างแน่นอน…

เพราะเขาอาบน้ำคนเดียว วาห์นจึงล้างตัวเสร็จก่อนที่พวกสาวๆ จะเริ่มกันเสียอีก

ความรู้สึกที่ได้จากน้ำร้อนๆ ยังคงแผ่ซ่านไปทั่วร่างกายแม้ว่าเขาจะใช้ [หัวใจของเพลิงนิรันดร์] ซ้อนเอาไว้ก็ตาม

วาห์นเดินกลับไปที่ห้องก่อนจะลงไปนอนเล่นที่เตียงเหมือนเช่นทุกวัน

เขาคิดเรื่องผ่อนคลายซ้ำไปซ้ำมาในหัวจนเริ่มรู้สึกง่วงขึ้นมาจริงๆ และอยากเข้านอนเร็วกว่าปกติ

เกือบครึ่งชั่วโมงต่อมา วาห์นสัมผัสได้ว่าพวกสาวๆ เริ่มแยกกันและกลับไปที่ห้องของตัวเองแล้ว

พอเห็นฮารุฮิเมะเดินกลับห้องพร้อมมิโคโตะ วาห์นจึงถอนหายใจโล่งอกเพราะคิดว่าคืนนี้คงไม่มีจิ้งจอกแอบย่องเข้ามาในห้อง

มิลานกับทีน่าอยู่ในห้องของพรีเซียและเฟนเรียร์ ส่วนริวก็กลับไปที่ห้องของเธอเอง

วาห์นรู้สึกเศร้าเล็กน้อยเพราะเขาอยากจะใช้เวลาร่วมกับเอลฟ์สาวให้มากกว่านี้อีกหน่อย

พวกเขาพัฒนาไปถึงขั้นที่อาบน้ำด้วยกันได้แล้ว เรื่องนอนเตียงเดียวกันจึงเป็นสิ่งที่วาห์นคาดหวังอยู่บ้าง

ตอนนี้คู่แฝดก็เดินกลับห้องของพวกตนเป็นที่เรียบร้อย ดังนั้นเราก็จะเหลือผู้โชคดีรายสุดท้าย…

ออร่าขนาดใหญ่กำลังตรงเข้ามาเรื่อยๆ โดยเดินเบี่ยงมาทางด้านซ้าย วาห์นจึงค่อนข้างมั่นใจว่าเธอกำลังมาที่นี่

เพราะห้องของทั้งคู่อยู่ฝั่งตรงข้ามกัน หากต้องการกลับห้องของตัวเองเฉยๆ เธอก็จะเลือกเดินเบี่ยงไปทางขวาแทน

และแล้วก็เป็นไปตามคาด เฮสเทียเดินมาเปิดประตูห้องของเขาก่อนจะเดินเข้ามาแบบไม่ให้ซุ่มให้เสียง

เฮสเทียรู้เรื่องสกิลสัมผัสออร่าของวาห์นดี เธอจึงเลิกเคาะประตูหรืออะไรทำนองนั้นมาตั้งนานแล้ว อีกอย่างเจ้าของห้องเองก็ไม่เคยว่าอะไรสักคำด้วยสิ

หลังจากถอดถุงมือ ริบบิ้น และที่รัดผมออก เฮสเทียก็คลานขึ้นมาบนเตียงและซุกเข้ากับแผงอกกำยำ

วาห์นเข้าสวมกอดร่างเล็กอย่างนุ่มนวลเหมือนเช่นทุกครั้ง

นอกเหนือจากคืนที่มีคนอื่นมานอนด้วย เฮสเทียก็จะนอนที่ห้องของวาห์นจนมันกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว

ขณะที่วาห์นกำลังผ่อนคลาย เขาก็ได้ยินเสียงกระซิบเบาๆ

“ราตรีสวัสดิ์นะวาห์น…”

หลังรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างมาสัมผัสแก้ม เขาจึงหันกลับไปมองเฮสเทียที่กำลังหลับตาลงและพาดหัวไปกับร่องไหล่

วาห์นรู้สึกว่าเทพตัวเล็กดูสงบเสงี่ยมยิ่งกว่าทุกวันก็เลยเข้าใจว่าเธอคงอยากให้เขาพักผ่อนจริงๆ

เฮสเทียน่าจะละเมอและปีนขึ้นมาบนตัวของเขาเหมือนเดิม แต่วาห์นก็ดีใจที่เห็นว่าอีกฝ่ายคงพยายามเต็มที่แล้ว

มันเป็นการย้ำเตือนเรื่องที่เขาควรผ่อนคลาย ดังนั้นวาห์นจึงหยุดคิดเรื่องต่างๆ และกลับไปนอนต่ออีกครั้ง

วาห์นเป็นพวกที่สะดุ้งตื่นง่าย แต่ถ้าเป็นสิ่งที่เขาคาดไว้แล้ว (เช่นการถูกปีนป่ายโดยคนใกล้ตัว) เขาก็จะนอนต่อไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น นั่นเป็นการเปิดโอกาสให้เฮสเทียขยับขึ้นมาจ้องอีกฝ่ายด้วยสีหน้าครุ่นคิด

ดวงตาสีฟ้าฉายแววเปล่งประกายขณะที่เธอลูบไล้ใบหน้าอย่างหลงใหล

เด็กหนุ่มคนนี้มักจะระวังตัวอยู่ตลอดเวลา ยกเว้นแค่ตอนนอนนี่แหละ

เหตุผลเดียวที่เป็นแบบนี้ก็เพราะว่าวาห์นเชื่อใจเธอมาก นั่นทำให้เฮสเทียยิ่งสุขใจยิ่งกว่าเดิม

หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เฮสเทียก็ลงมาคร่อมร่างของวาห์นและจ้องมองเขาจากด้านบน

เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนที่เสื้อผ้าจะเริ่มสลายกลายเป็นกลีบดอกและออกไปเรียงกันอยู่รอบเตียง

ตอนนี้เฮสเทียกำลังนั่งอยู่บนหน้าท้องของวาห์นแบบไม่เหลืออะไรเลยนอกจากกางเกงในเพียงชิ้นเดียว

เธอไม่ค่อยแน่ใจว่าตัวเองต้องการทำอะไรต่อ แต่ที่แน่ๆ ก็คืออยากใกล้ชิดกับวาห์นให้มากที่สุด

เวลาส่วนตัวของทั้งสองกำลังหดสั้นลงเรื่อยๆ เฮสเทียจึงตัดสินว่าถึงเวลาแล้วที่เธอต้องก้าวสู่ขั้นต่อไป

บรรยากาศด้านนอกและในห้องนั้นค่อนข้างหนาวเย็นซึ่งต่างจากความร้อนที่แผ่ออกมาจากร่างกายของวาห์นอย่างสิ้นเชิง

ยิ่งให้ความสนใจกับไออุ่นมากเท่าไหร่ ความรู้สึกหวิวๆ ในช่องท้องของเฮสเทียก็ยิ่งเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

เรื่องเดียวที่เธอรู้สึกเสียดายก็คือลืมบอกให้วาห์นถอดเสื้อก่อนเข้านอน

ถึงเนื้อผ้าจะบางมาก แต่มันก็ทำให้ผิวพรรณแสนละเอียดอ่อนรู้สึกระคายเคืองอยู่ดี

เฮสเทียไม่ได้คิดจะปลุกวาห์นตั้งแต่แรกแล้ว แต่เทพตัวเล็กก็อดสงสัยไม่ได้ว่าเขาจะตอบสนองอย่างไรหากตื่นขึ้นมาเห็นเธอในสภาพนี้

วาห์นไม่ใช่พวกที่เอาช่วงล่างมาใช้แทนสมอง เรื่องนี้ทุกคนรู้ดี แต่เฮสเทียก็ยังแอบหวังลึกๆ ว่าเขาจะตื่นขึ้นมา… และเข้าจู่โจมเธออย่างป่าเถื่อน

‘…เห้อ’

เรื่องนี้เฮสเทียควรโทษตัวเองที่รู้สึกลังเลมาโดยตลอด แต่อีกใจหนึ่งก็อยากโบ้ยความผิดให้เด็กหนุ่มที่เป็นห่วงเธอมากจนเกินเหตุ… มากจนไม่กล้าก้าวข้ามเส้นบางๆ ที่เธอขีดเอาไว้

20 นาทีต่อมา เฮสเทียก็ต้องยอมแพ้เพราะรู้ว่าตัวเองไม่กล้าเป็นฝ่ายไปปลุกวาห์นก่อนแน่นอน เธอได้แต่นอนพิงร่างกำยำเหมือนปกติขณะพยายามสงบหัวใจของตัวเอง

พอไออุ่นแผ่ซ่านไปทั่วเรือนร่าง สติก็ค่อยๆ พร่าเลือนและขาดหายไปในที่สุด

ขณะที่หลับอยู่ วาห์นรู้สึกว่าตัวเองกำลังล่องลอยอยู่ในบรรยากาศอบอุ่นโดยมีออร่าสีชมพูห่อหุ้มไปทั่ว

มันเป็นความรู้สึกที่สุขสบาย ละมุนละไม และทำให้สมองผ่อนคลายสุดๆ

น้อยครั้งมากที่วาห์นจะฝันแบบนี้ มันจึงเป็นประสบการณ์แปลกใหม่ที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน

เขาสงสัยจริงๆ ว่าออร่าสีชมพูนี่คืออะไรและมาจากไหนกันแน่

พอดูจนแน่ใจแล้วว่ามันไม่ได้เป็นภัยคุกคาม วาห์นจึงปล่อยให้มันกระจายออกไปทั่ว…

เขาอยู่แบบนั้นต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งออร่าดังกล่าวจางหายไปเป็นจำนวนมาก

วาห์นรู้สึกเศร้า ราวกับตัวเองเพิ่งสูญเสียบางอย่างที่สำคัญมากไป

เขาจ้องมองออร่าที่หลงเหลืออยู่ ก่อนจะหลับตาและเข้าสู่โหมดสมาธิ

สิ่งที่ปรากฏออกมาก็คือถ้อยคำทั้งเก้าที่ดูเลือนลางมาก และไม่ว่าจะพยายามมากแค่ไหน ถ้อยคำดังกล่าวนั้นกลับไม่มีทีท่าว่าจะเด่นชัดขึ้นเลย…

วาห์นเริ่มรู้สึกเหมือนหัวใจกำลังถูกบีบคั้นเมื่อเวลาล่วงเลยไปอีกพักใหญ่ๆ

นั่นตามมาด้วยความสั่นสะท้านอย่างรุนแรงจนเขาต้องเปิดตาขึ้นและพบว่าออร่าสีชมพูยังคงวนเวียนไปรอบๆ โลกแห่งความฝัน

สัญชาติญาณบอกให้เขายกหัวขึ้นมาทดลองสูดดมมัน และทันทีที่ทำแบบนั้น สมองก็รู้สึกเหมือนถูกกระแทกอย่างรุนแรง

มันเป็นกลิ่นไอที่หอมหวลเกินจะบรรยายแต่กลับให้ความคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด ราวกับเป็นสิ่งลึกลับที่คอยวนเวียนอยู่รอบตัวมาโดยตลอด

ถึงจะกังวลอยู่บ้าง แต่เขาก็สูดดมมันต่อเพื่อสืบให้ได้ว่านี่มันกลิ่นของอะไรกันแน่…

เมื่อวาห์นได้สติในเช้าวันถัดมา เขารู้สึกว่าหัวใจเต้นเร็วกว่าปกติแถมกลิ่นที่อยู่ในความฝันก็ยังลอยมาแตะจมูกอยู่เรื่อยๆ

แต่เพราะตื่นแล้วนี่แหละ เขาเลยเริ่มจระหนักว่ามันคือกลิ่นอะไร

กลิ่นดังกล่าวนั้นลึกล้ำ รุนแรง คล้ายกับกลิ่นของน้ำผึ้งผสมมะนาวอ่อนๆ

เมื่อลืมตาขึ้นมา สิ่งที่วาห์นต้องทำเป็นอย่างแรกเลยก็คือกลืนน้ำลาย 2-3 อึก

เขาไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง แต่ดูเหมือนว่าเมื่อคืนเฮสเทียคงนอนละเมอและหันตัวกลับไปอีกด้าน

สิ่งที่อยู่ห่างใบหน้าของเขาไปเพียงไม่กี่นิ้ว… แน่นอนว่ามันก็คือกลีบดอกไม้หอมหวนที่ถูกกั้นด้วยเนื้อผ้าสีขาวบาง

หัวใจของเขาเริ่มเต้นเร็วยิ่งกว่าเดิม เพราะตอนนี้คงไม่ต้องพิสูจน์หรือสืบหาอะไรแล้ว

มันอาจจะไม่ทรงพลังเท่ากับกลิ่นอายของเฮเฟสตัส แต่ทุกอย่างกลับดูน่าดึงดูดไปหมด ทั้งตัวกลิ่นเอง ออร่าสีสมพูรอบๆ บั้นท้ายได้รูป หรือแม้แต่ของเหลวเล็กน้อยที่ซึมออกมาจากจุดซ่อนเร้น…

ที่แย่ไปกว่านั้น เพราะเขามักกอดเฮสเทียตอนนอน ตอนนี้วาห์นเลยอยู่ในท่าที่กำลังกอดเอวของเธอไว้อย่างเคยชิน เป็นท่าที่ทำให้กางเกงในตัวจิ๋วมากองอยู่ตรงปลายจมูกพอดี

เขาไม่แน่ใจว่าเฮสเทียตื่นนานหรือยัง แต่ตอนนี้วาห์นมองเห็นออร่าสีชมพูสว่างไสวของเทพตัวเล็กได้อย่างชัดเจน

เมื่อคืนเธอคงจะพยายามทำบางอย่างเพื่อยั่วเขาซึ่งดูท่าจะได้ผลอยู่บ้าง

อย่างน้อยมันทำให้วาห์นรู้สึกเขินๆ พร้อมกับความตื่นเต้นที่เพิ่มขึ้นทีละนิด

หากจะออกมาแก้ต่างทีหลังว่านอนละเมอจนมาอยู่ในสภาพนี้ บอกตรงๆ ว่าเขาไม่มีทางเชื่อแน่นอน

ส่วนตัวแล้วเขาไม่เคยเห็นผู้หญิงจากมุมนี้มาก่อน และมันก็เป็นภาพที่เย้ายวนอย่างประหลาด

ความนุ่มนิ่มของเฮสเทียทำให้วาห์นอยากลองยืนหน้าออกไปอีกแล้วดูว่าเธอจะยังเนียนนอนต่อได้อีกหรือเปล่า

ทุกอย่างอยู่ใกล้มากจนเขาแทบไม่ต้องขยับเลยด้วยซ้ำ…

พอเขาถอนหายใจออกไปเล็กน้อย ร่างเล็กและออร่ารอบๆ ก็สั่นไหวตามทันที

นับเป็นเสี้ยววินาทีที่กองไฟสีชมพูหดเล็กลง แต่แล้วมันก็ขยายใหญ่ขึ้นและเผาไหม้รุนแรงยิ่งกว่าเดิม

เมื่อขยับมือเล็กน้อย วาห์นก็ตระหนักว่ารอบนี้มันผิดปกติจริงๆ

จากมุมมองที่เห็นในตอนแรก เขาจึงไม่รู้มาก่อนว่าเฮสเทียนั้นไม่ได้ใส่อะไรเลยนอกจากกางเกงในเพียงตัวเดียว

ความร้อนจากผิวหนังที่สัมผัสได้ตรงฝ่ามือยิ่งทำให้เขามั่นใจเรื่องที่ ‘กำลังโดนยั่ว’ ขึ้นไปอีก

วาห์นรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังอยู่บนหน้าผาที่ไม่รู้ว่าจะโดดออกไปหรือหันหลังกลับดี แต่ยังไงซะ เขาก็จะไม่ทิ้งให้เฮสเทียค้างเติ่งอยู่แบบนี้แน่นอน

เพราะเธอคงใช้ความพยายามอย่างมากกว่าจะมาอยู่ในสภาพนี้… กระแสของออร่าสื่อได้ความว่าเฮสเทียกำลัง ‘ฝืนตัวเองอยู่ แต่ก็ยังไม่ยอมแพ้ง่ายๆ’

เพื่อตอบรับความกล้าหาญครั้งนี้ วาห์นสวมกอดเอวของเฮสเทียให้แน่นขึ้นราวกับกำลังดึงให้มันเข้ามาใกล้กว่าเดิม พร้อมกับยื่นให้จมูกไปแตะกับเนื้อผ้าบ้าง

เขารู้สึกได้ถึงความชื้นตรงปลายจมูกกับเสียงหัวใจของเฮสเทียที่ส่งผ่านจากหน้าอกขนาดยักษ์มาสู่หน้าท้องของเขา

ออร่าของเธอดูสับสนวุ่นวายไปหมด แต่มันก็ยังคงลุกไหม้เป็นสีชมพูขณะที่วาห์นสูดหายใจเข้าลึกๆ

ในจังหวะที่เขาเริ่มทำแบบนั้นจนกระทั่งตอนปล่อยมันออกมา วาห์นรู้สึกว่าสมองของตัวเองเริ่มหลอมละลายไปกับกลิ่นที่กระตุ้นให้เกิดความตื่นเต้น

ตามปกติแล้ววาห์นสามารถควบคุมสภาพร่างกายได้เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ครั้งนี้มันออกจะ ‘อยู่เหนือการควบคุม’ ไปหน่อย

จากอีกด้านหนึ่ง เฮสที่เทียเริ่มมีน้ำตาซึมให้เห็นพยายามกัดริมฝีปากล่างของตัวเองและหายใจถี่ขึ้นเรื่อยๆ

เธอเตรียมใจรับการตอบสนองของวาห์นเอาไว้แล้ว แต่ทุกอย่างกลับพังไม่เป็นท่าเมื่อเขาเริ่มสูดดมแบบจริงจัง

ยิ่งพอโดนสูดแบบแรงๆ เธอก็ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว

ใบหน้าสีแดงก่ำยิ่งแดงหนักกว่าเดิมเมื่อดวงตาสีฟ้าไปสบเข้ากับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า

ถึงจะได้ยินข่าวลือมาบ้าง แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่เฮสเทียได้เห็น ‘เสากระโดงเรือ’ ในกางเกงของวาห์นแบบเต็มสองตา

ความหวาดหวั่นเริ่มเกาะกุมจิตใจของเทพตัวเล็ก แต่มันก็ยังไม่อาจเอาชนะความเด็ดเดี่ยวได้ในทันที

เฮสเทียได้ยินมาจากฮารุฮิเมะว่านี่เป็น ‘ท่วงท่า’ ที่ทั้งผู้หญิงและผู้ชายต่างโปรดปราน

ข้อดีอีกอย่างของท่านี้ก็คือการที่ไม่ต้องหันไปสู้หน้าวาห์นอาจจะช่วยบรรเทาความเขินของเธอลงไปได้บ้าง

ตอนนี้เธอทำให้เขา ‘ลุกฮือ’ ได้แล้ว เฮสเทียจึงดึงเอาความมั่นใจทั้งหมดออกมาก่อนจะค่อยๆ ยืนมือออกไปดึงกางของวาห์นลง

การถูกปลดปล่อยแบบไม่ทันตั้งตัวทำให้วาห์นต้องเบิกตากว้างพร้อมหายใจแรงขึ้นอีก และยิ่งเขาสูดดมกลิ่นของเฮสเทียมากเท่าไหร่ ความตื่นเต้นในร่างกายก็ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น

ตอนแรกเขาไม่ได้ตั้งใจจะเครื่องติดเลยด้วยซ้ำ พอมันเกิดติดขึ้นมาจริงๆ สิ่งต่อไปที่คิดไว้คือเฮสเทียต้องรีบชิ่งหนีแน่นอน แต่นี่มันกลับผิดคาดไปหมด!

ชั่วอึดใจต่อมา วาห์นสัมผัสได้ว่ามีมือเล็กๆ มาจับตรงฐานแข็งชัน ลมหายใจของเขายิ่งรุนแรงขึ้นจนร่างของเฮสเทียส่ายขึ้นลงตามจังหวะ

ของที่อยู่ตรงหน้าทำให้เทพตัวเล็กรู้สึกกังวลสุดขีด แต่ถ้าจะให้ถอยตอนนี้ก็คงไม่ทันแล้ว เธอจึงเริ่มตรวจสอบมันด้วยสายตาอย่างละเอียด

นิ้วเรียวเล็กค่อยๆ ขยับไปมาก่อนจะพยายามวัดความหนาของสิ่งที่อยู่ในมือ

หัวใจของเฮสเทียยิ่งเตลิดหนักกว่าเดิมเพราะนิ้วชี้ของเธอแทบจะแตะปลายนิ้วโป้งไม่ถึงอยู่แล้ว!

หากไม่ใช่เพราะรู้ว่ามีคนเคยลองมาก่อน เธอคงไม่เชื่อแน่ๆ ว่าเจ้าสิ่งนี้จะเข้าไปอยู่ในตัวผู้หญิงได้

‘ร่างกายของเทพธิดาต้องทนได้สิ… มั้งนะ’ คือสิ่งที่เธอพยายามพร่ำบอกกับตัวเองในใจ

หลังจากครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง เฮสเทียก็เริ่มทำตามขั้นตอนที่ฮารุฮิเมะแนะนำ โดยเริ่มจากการยกตัวขึ้นเล็กน้อยโดยพิงแขนไปกับเอวของวาห์น

จากด้านหลัง วาห์นกำลังเฝ้ามองแผ่นหลังเล็กๆ ของอีกฝ่ายด้วยความสนใจ

นี่เป็นสิ่งที่วาห์นไม่เคยบอกใครมาก่อน แต่เขาเคยเห็นท่วงท่าแบบนี้มาบ้างแล้วในระหว่างที่ออกตามหาฮารุฮิเมะ

อย่างเดียวที่คิดออกคือเฮสเทียคงไปเรียนอะไรมาจากเรนาร์ดสาวอย่างแน่นอน แต่วาห์นเองก็ไม่แน่ใจว่าเธอจะไปต่อได้อีกสักกี่น้ำ

เฮสเทียสัมผัสได้ว่าร่างกายกำลังขยับไปตามลมหายใจของวาห์น ความร้อนที่เขาปล่อยออกมานั้นทำให้ส่วนล่างของเธอสั่นสะท้านไปหมด

เธอรู้ว่าเขากำลังรู้สึกตื่นเต้นเช่นกัน หัวใจที่ยังกล้าๆ กลัวๆ จึงส่งคำสั่งมาที่สมองว่า ‘จะทำอะไรก็รีบๆ ทำเข้า’

เฮสเทียเริ่มจากการใช้มือปาดผมออกไปด้านข้าง ก่อนจะค่อยๆ ลดศีรษะลงจนเกือบติดส่วนปลายที่ดูแข็งกร้าว

ทว่าความลังเลเพียงชั่วครู่กลับทำให้ริมฝีปากบางหยุดกึกลงทันที ทั้งๆ ที่อีกเพียงไม่กี่มิลลิเมตรก็จะได้สัมผัสกันอยู่แล้ว

เฮสเทียเกิดเปลี่ยนใจกระทันหันและเริ่มสานมันต่ออีกครั้งด้วยการใช้ลิ้นเลียตรงส่วนปลายเพื่อทดสอบรสชาติก่อน

สิ่งที่ติดลิ้นกลับมาคือความเค็มปะแล่มๆ ทว่าเฮสเทียก็ยังต้องกลืนน้ำลายขณะที่หัวใจเต้นจนแทบจะระเบิดออกมาด้านนอก

เจ้า ‘ความเค็ม’ นี่เองที่ทำให้น้ำลายของเธอเอ่อล้นหนัดกว่าปกติ เพราะยังไงซะ เรื่องน้ำลายไหลกับเฮสเทียก็เป็นของคู่กันอยู่แล้ว

ประเด็นอยู่ที่ว่ามันไหลออกมามากเกินจน ‘หก’ ใส่สิ่งที่อยู่ด้านล่างนี่แหละ… เฮสเทียมองตามจุดที่มันตกลงไปและรู้สึกทั้งอายทั้งเครื่องติดไปพร้อมๆ กัน

เทพตัวเล็กเริ่มโลมเลียส่วนปลายของวาห์นโดยไม่รั้งรออะไรอีกแล้ว ขณะเดียวกันเธอก็พยายามไม่สนใจความรู้สึกอึดอัดที่อยู่ภายใน

หากไม่นับตอนที่เฮเฟสตัส ‘จูบทักทาย’ นี่ก็ถือเป็นครั้งแรกที่มีผู้หญิงมาทำอะไรแบบนี้ให้กับวาห์น

ความเปียกชื้น ความร้อน และรสสัมผัสของลิ้น ทำให้ขาของเขาสั่นนิดๆ โดยเฉพาะช่วงจังหวะที่เฮสเทียกดลึกที่สุด มันเป็นความรู้สึกที่ดีแต่ก็หงุดหงิดอย่างน่าประหลาด อาจเป็นเพราะเฮสเทียเอาแต่ทำแบบเดิมซ้ำไปเรื่อยๆ เพียงอย่างเดียว?

เพราะรู้ว่าเธอไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อน วาห์นจึงเลือกที่จะรูดซิบปากและคิดว่าเขาเองก็ควรทำอะไรบ้าง

เรียวขาที่อ้าออกจากกันทำให้การถอดปราการชิ้นสุดท้ายออกไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดายนัก

แทนที่จะพยายามฝืนถอดมัน วาห์นกลับเอื้อมมือออกไปและใช้นิ้วโป้งเกี่ยวมันไว้ด้านข้างแทน

ลมหายใจร้อนๆ ที่เข้าสัมผัสกับผิวเปลือยเปล่าทำให้เฮสเทียหยุดสิ่งที่กำลังทำอยู่ทันที

วาห์นไม่ได้พูดอะไรและเอาแต่จ้องมองเนินสีขาวกับของเหลวที่ไหลออกมาจากร่องลึกตรงหน้า และราวกับมันกำลังเคลื่อนไหวตามจังหวะการหายใจของเฮสเทีย ร่องลึกนั่นคอยเปิดปิดอยู่เรื่อยๆ จนเขาได้เห็นสิ่งอยู่ภายในแบบวับๆ แวมๆ

ไม่นานสติของเฮสเทียก็กลับมาอีกครั้ง เธอตัดสินใจทำสิ่งที่ค้างคาเอาไว้ต่อโดยปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปตามธรรมชาติ

วาห์นเผยรอยยิ้มเล็กๆ ขณะใช้นิ้วโป้งทั้งสองแหวกร่องปริศนานั่นออกและจ้องมองเข้าไปในกำแพงที่ทั้งเปียกชื้นและกลายเป็นสีชมพูระเรื่อ

เขาสังเกตุเห็นเม็ดตุ่มชูชันที่อยู่ตรงปลายสุด แต่ก็ตัดสินใจว่าจะปล่อยมันไปก่อน ขณะเริ่มนำลิ้นไปสัมผัสกับจุดซ่อนเร้นของผู้หญิงเป็นครั้งแรก

อย่างแรกที่เขาสัมผัสได้ก็คือของเหลวที่ออกมานั้นแตกต่างไปจากตัวกลิ่นอย่างสิ้นเชิง

มันหวานคล้ายน้ำผึง แต่ก็ให้รสที่จัดกว่านั้น เป็นสิ่งที่ยากจะบรรยายออกมาเป็นคำพูด

เฮสเทียเริ่มไม่แน่ใจว่าหากตัวเองไม่ใช่เทพ หัวใจของเธอจะทนรับแรงกระตุ้นที่รุนแรงขนาดนี้ได้มากน้อยแค่ไหน

ความอยากรู้อยากเห็นทำให้เธอลองทำมันด้วยตัวเองมาบ้างแล้ว แต่ที่โดนอยู่นี่มันคนละเรื่องกันเลย!

สิ่งที่เธอทำก็แค่เล่นตรงส่วนรอบนอกและสัมผัสตุ่มแข็งชันเล็กน้อยเท่านั้นเอง

สัมผัสที่ได้รับในตอนนี้คือความเสียวซ่านปนจั๊กจี้เล็กน้อย แถมมันยังทำให้กล้ามเนื้อหน้าท้องของเธอหดตัวทุกครั้งที่ภายในถูกบุกรุก

เทพตัวเล็กพยายามบรรเทาความรู้สึกด้วยการใช้มือทั้งสองข้างจับอาวุธของวาห์นและเลียตรงส่วนปลายให้แรงยิ่งกว่าเดิม

แต่ไม่ว่าจะพยายามมากแค่ไหน เฮสเทียก็เริ่ตระหนักแล้วว่านี่เป็นศึกที่เธอไม่อาจเอาชนะได้

เพราะขาดประสบการณ์ในหัวข้อดังกล่าว เธอจึงไม่รู้ว่าควรทำยังไงต่อและได้แต่ปล่อยให้วาห์นทำลายแนวป้องกันไปเรื่อยๆ โดยไม่อาจขัดขืนได้เลย

สิ่งที่วาห์นทำไม่ใช่แค่การเลียเท่านั้น แต่เขากำลัง ‘ลิ้มรส’ ภายในพร้อมใช้ลิ้นกดตามส่วนต่างๆ เพื่อดูว่าเธอจะตอบสนองยังไงบ้าง

ทุกครั้งที่เธอเกร็งจนผิดสังเกต วาห์นก็จะใช้ลิ้นจี้ตรงบริเวณนั้นก่อนจะโยกหัวเบาๆ

ตอนนี้เฮสเทียทำอะไรไม่ได้ทั้งสิ้นนอกจากถอยทัพและฟุบหน้าลงกับท้องน้อยของเขา

เธอทำได้แค่ใช้ลิ้นเลียตรงส่วนที่หน้าฟุบลงและปล่อยให้ร่างกายตกอยู่ภายใต้การทรมานจาก ‘ความกระตือรือร้น’ และความอยากรู้อยากเห็นของวาห์น

7 นาทีให้หลัง วาห์นที่ยังเมามันอยู่กับการสำรวจส่วนต่างๆ เริ่มสัมผัสได้ว่าของเหลวมีปริมาณมากขึ้น ขณะที่ผนังภายในก็ดิ้นไปมาไม่หยุด

เขารู้จากประสบการณ์ว่านี่เป็นสัญญาณเตือนเมื่อผู้หญิงใกล้ถึงจุดสุดยอดและตัดสินใจที่จะรุกหนักยิ่งกว่าเดิม

ในเสี้ยววินาทีนั้นเอง เฮสเทียที่ยังไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ก็กลับมาประจำที่และเริ่มเข้าโรมรันกับอสูรร้ายอีกครั้ง

วาห์นคิดว่าถึงเวลาที่ต้องปิดเกมนี้ลงแล้ว เขาจึงรวมพลังไว้ที่นิ้วโป้งซึ่งคล้ายกับแบบที่เคยทำกับไอส์ (แต่เบากว่า) ก่อนจะกลับไปใช้ลิ้นอีกครั้งพร้อมกดนิ้วลงตรงตุ่มที่ทำเป็นไม่สนใจมันมาโดยตลอด

จู่ๆ เฮสเทียก็รู้สึกกลัวอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน จากนั้นก็มีกระแสไฟฟ้ามาวิ่งผ่านตามกระดูกสันหลังและชนเข้ากับสมองจนความนึกคิดแตกหลายไม่เหลือชิ้นดี

เสียงที่เคยอยู่ภายใต้การควบคุมได้มาตลอด บัดนี้มันกลับถูกปลดปล่อยออกมาจนหมดหลอด

ตอนนี้เจ้าของเสียงกลับทำได้แค่พยายามใช้มือปิดปากและโก่งตัวเป็นกุ้งไปกับหน้าท้องของอีกฝ่ายเท่านั้นเอง

ความหฤหรรษ์แผ่ซ่านไปทั่วทุกอณูขุมขน ส่วนสมองก็รู้สึกเบาหวิวและใช้การไม่ได้ไปชั่วขณะ

ร่างกายของเธอถูกกระตุ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แถมเฮสเทียไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง ไม่รู้ด้วยว่าร่างนี้จะใช้การต่อได้อีกหรือเปล่า

สิ่งเดียวที่รู้สึกได้ก็คือความอบอุ่นจากด้านล่างและท่อนแขนแข็งแรงที่โอบรอบเอวไว้ ราวกับว่ามันกำลังพยายามรั้งเธอไว้ไม่ให้ดวงวิญญาณลอยกลับขึ้นสวรรค์ไปทั้งแบบนั้นเลย…

เมื่อมาถึงด้านนอกห้องของเฮสเทีย วาห์นก็เคาะที่ประตูก่อนจะเดินเข้าไปข้างใน

เขาเห็นเฮสเทียนั่งเขียนบางอย่างลงในคัมภีร์ขนาดใหญ่อยู่บนโต๊ะก่อนที่เธอจะหันกลับมายิ้มให้แบบเศร้าๆ

เมื่อนึกถึงตอนก่อนหน้านี้ วาห์นก็ยิ้มและพูดขึ้น

“ขอบคุณนะเฮสเทีย… ตอนนั้นฉันไม่รู้เลยว่าควรทำยังไงดี

เพรเซีย… เธอต่างไปจากผู้คนที่ฉันเคยเจอ”

เฮสเทียวางปากกาขนนกลงก่อนจะลุกขึ้นและลงมานั่งที่เตียงแทน

“มานั่งนี่สิวาห์น”

ท่าทางเกรี้ยวกราดของวาห์นดูอ่อนลงเล็กน้อยขณะที่เจ้าตัวถอนหายใจและเดินไปนั่งข้างๆ เฮสเทีย

เทพตัวเล็กเคลื่อนตัวเข้าไปที่กลางเตียงก่อนจะตบที่ต้นขาของตัวเอง นั่นเป็นสัญญาณบอกวาห์นว่าให้ใช้มันแทนหมอนได้เต็มที่เลย

วาห์นยังไม่แน่ใจว่าเฮสเทียพยายามจะทำอะไร แต่ที่แน่ๆ ก็คือเรื่องแบบนี้เขาไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว ยิ่งเป็นต้นขาเนียนนุ่มของเธอก็ยิ่งแล้วใหญ่

การนอนด้วยกันเป็นประจำทำให้วาห์นรู้จักพิษสงและความเย้ายวนจากการสัมผัสกับเรือนร่างของเทพธิดาองค์นี้เป็นอย่างดี

เฮสเทียลูบเส้นผมสีเข้มอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยถาม

“วาห์น ตอนนี้นายอยากทำอะไรมากที่สุดเหรอ? ฉันขอให้นายพูดความจริงจะได้หรือเปล่า..?”

น้ำเสียงอ่อนโยนนั่นทำให้วาห์นรู้สึกผ่อนคลายมากจนได้แต่ตอบออกไปตามตรง

“ฉันอยากทำให้มันชดใช้… ชดใช้ในสิ่งที่ทำกับเพรเซีย”

เฮสเทียลูบใบหน้าหล่อเหลาและมองเข้าไปในดวงตาสีน้ำทะเลขณะเอ่ยถามเบาๆ

“ทำไปแล้วนายจะรู้สึกดีขึ้นหรือเปล่า?”

เป็นคำง่ายๆ ที่เล่นเอาวาห์นอึ้งไปครู่หนึ่ง ส่วนสายตาสีฟ้าใสราวกับทะเลสาบไร้ก้นบึ้งก็ยังคงจ้องมองมาและเฝ้ารอคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ

หลังจากเงียบไปสองสามวินาที วาห์นก็ตอบเสียงแผ่ว

“ก็เปล่า…”

เฮสเทียผงกหัวเล็กน้อยด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเหมือนอย่างเคย

“นายจะให้เพรเซียเป็นคนเอาคืนผู้ชายคนนั้นจนสาแก่ใจแล้วก็คอยยืนดูอยู่ข้างๆ หรือเปล่า?”

ภาพที่เพรเซียใช้แท่งเหล็กร้อนๆ ทรมานเจ้านายคนก่อนแล่นเข้าสู่สมองของวาห์นทันที

วาห์นกัดฟันแน่นขณะตอบเสียงเบา

“ไม่… ฉันคงจะห้ามเธอไว้… เธอไม่ควรมาทำ-”

ก่อนจะได้พูดต่อจนจบ เฮสเทียก็วางนิ้วลงบนริมฝีปากของเขาเพื่อหยุดมันไว้ก่อน

วาห์นปิดปากลงด้วยสีหน้าเศร้าและปล่อยให้เฮสเทียเป็นคนพูดต่อ

“มันไม่ใช่หน้าที่ที่นายต้องแบกรับทุกอย่างนะวาห์น… ไหนลองบอกชื่อคนที่นายอยากปกป้องออกมาหน่อยสิ?”

วาห์นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพึมพำออกมา

“ฮารุฮิเมะ เอน่า ทีน่า มิลาน ลิลลี่…-”

เป็นอีกครั้งที่เฮสเทียขัดจังหวะเขา

“คนเรามักจะไล่ชื่อตามความสำคัญในช่วงเวลานั้นๆ นะ… ถึงจะรู้สึกเห็นใจเพรเซียมากแต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งแรกที่นายคิดถึง

สิ่งที่นายบอกว่าอยากทำในตอนแรกเองก็อาจจะไม่ใช่ความจริง ดูไปก็เหมือนเป็นสิ่งที่นายไม่อยากให้เพรเซียทำซะมากกว่า

นายยังมีอีกหลายสิ่งที่อยากปกป้อง… และการล้างแค้นก็ไม่ได้รวมอยู่ในนั้นหรอกนะ

นายควรผ่อนคลายให้มากกว่านี้ เอาเวลาไปดูแลคนรอบข้าง ส่วนพวกเราก็จะดูแลนายให้ดีที่สุด

เพรเซียเองก็ปลอดภัยแล้ว… ปล่อยให้เธอพักฟื้นไปก่อน จากนั้นค่อยสะสางเรื่องอดีตของเธอทีหลัง

ตอนนี้แฟมิเลียของเราได้เข้าไปพัวพันกับอิชทาร์แฟมิเลียและการแก่งแย่งอำนาจภายในเขตสถานบันเทิงแล้ว

นายต้องเรียงลำดับความสำคัญก่อนหลังให้ดีกว่านี้นะ… ไม่ใช่ว่าจะต้องไปคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องยิบย่อยทุกอย่างที่ถาโถมเข้ามา…”

เป็นเวลากว่านาทีที่วาห์นปล่อยให้คำพูดของเฮสเทียซึมเข้าไปในสมอง แถมเธอยังคงลูบศีรษะของเขาต่อ ราวกับจะช่วยให้มันซึมเข้าไปได้เร็วขึ้น

เมื่อเห็นว่าวาห์นยังคงอับจนคำพูด เฮสเทียจึงโน้มตัวเข้ามากระซิบเป็นการเชื้อเชิญ

“นอนพักเถอะ… พักสักเดี๋ยวนึง… วันนี้นายเหนื่อยมามากแล้ว

พอคนอื่นๆ มากันแล้วฉันจะเป็นคนปลุกนายเอง… สำหรับตอนนี้ นอนพักเถอะ…”

วาห์นเชื่อฟังคำพูดของเฮสเทียอย่างว่าง่ายและค่อยๆ หลับตาลงอย่างช้าๆ ภายใต้สัมผัสของต้นขาอ่อนนุ่มและมือที่ยังคอยช่วยปลอบประโลมความคิดที่ยังว้าวุ่นไม่หาย

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาโดนทาบทามให้ผ่อนคลายเสียบ้าง แต่คราวนี้ดูเหมือนคำพูดของเฮสเทียจะได้ผลดีเกินคาด

พอได้เทพจอมขี้เกียจมาคอยดูแลอย่างใกล้ชิดแบบนี้… จู่ๆ วาห์นก็รู้สึกเหนื่อยล้ามากและสลบไสลไปในที่สุด

เฮสเทียยังคงลูบเส้นผมและใบหน้าของเขาอย่างเอ็นดูโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุดง่ายๆ

เธอจ้องมองใบหน้าอ่อนเยาว์จากมุมสูงด้วยสีหน้าเป็นกังวลเล็กน้อย

วาห์นในตอนนี้นั้นช่างดูไร้เดียงสาและอ่อนต่อโลกซะเหลือเกิน… ไม่เหลือเค้าของวีรบุรุษหนุ่มน้อยที่มักตัดสินใจเด็ดเดี่ยวและชอบช่วยเหลือคนอื่นอยู่เลย

เธอหวังลึกๆ ว่าพวกเขาจะเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ… อยู่กันแค่สองคนภายใต้ความเงียบงัน ปล่อยให้เวลาล่วงเลยต่อไปโดยไม่สนใจสิ่งอื่น…

เด็กหนุ่มคนนี้สร้างความประหลาดใจให้กับเธอครั้งแล้วครั้งเล่า อีกทั้งยังแบกรับภาระเอาไว้มากมาย แล้วก็ความคาดหวังที่คนอื่นมักฝากฝังไว้เป็นประจำนั่นอีก

เฮสเทียรู้ว่าตัวเองก็เป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่ ‘ฝากฝัง’ เช่นกัน หนำซ้ำเธอยังเอาแต่คอยก่อกวนและเรียกร้องความสนใจไม่เว้นแต่ละวัน…

พอหันกลับไปดูคัมภีร์อีกครั้ง เฮสเทียก็เห็นตัวอักษรยาวหลายบรรทัดปรากฏขึ้นก่อนที่พวกมันจะค่อยๆ ลอยเข้าไปในสมุดบันทึกที่อยู่ข้างกัน

นี่คือไอเท็มเวทมนตร์ที่มีชื่อว่า [บันทึกปูมหลัง] ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวคัดลอกและเก็บบันทึกการสนทนาทุกอย่างจากคัมภีร์สื่อสาร

ก่อนที่วาห์นจะมาเคาะประตู เฮสเทียนั้นได้รับสารจากเอน่าเกี่ยวกับการฆาตรรมต่อเนื่องเมื่อคืนที่ผ่านมานี้เอง…

ทางกิลด์ได้เข้าไปสอบสวนจุดเกิดเหตุตามที่ต่างๆ ซึ่งล้วนแต่เป็นบ้านพักของเหล่า ‘ผู้ที่ชื่นชอบการซื้อขายทาสอย่างผิดกฎหมาย’

สภาพของศพส่วนใหญ่นั้นเรียกได้ว่าน่าสยดสยองมากเสียจนบรรยายไม่ถูก

เพราะเอน่าเพิ่งเจอกับเพรเซียมาหมาดๆ เธอจึงตรวจสอบข้อมูลอย่างละเอียดและพบว่าเจ้าของคนก่อนของสาวเผ่ามนุษย์แกะเองก็มีชื่ออยู่ในกลุ่ม ‘ผู้เคราะห์ร้าย’ เช่นกัน

เฮสเทียกลัวว่าวาห์นอาจรับไม่ได้ที่เป้าหมายแห่งความแค้นนั้นไม่ได้มีชีวิตอยู่ให้เขาแค้นต่อเสียแล้ว

ผลก็คืออย่างที่เห็น ตอนนี้เธอได้แต่หวังว่าวาห์นจะลืมเรื่องนี้ไปเองและไม่หวนกลับไปคิดถึงมันอีก…

-หลายชั่วโมงก่อน- (A/N: ตอนนี้มีเนื้อหาที่ค่อนข้างรุนแรงนะครับ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

หลังแยกจากเด็กหนุ่มที่ช่วยเธอเอาไว้ ชีว่าก็เดินทางผ่านย่านโคมแดงก่อนจะมุ่งหน้าสู่พื้นที่ทางทิศเหนือของเมือง

ที่ดินทางทิศเหนือนั้นมีราคาแพงมากและเป็นที่อยู่อาศัยของเหล่าพ่อค้าและนักธุรกิจชื่อดังหลายคน

เพราะความเกรี้ยวกราดและความเกลียดชังที่มีต่อผู้เป็นนาย ไม่น่าแปลกเลยที่ชีว่าจะผ่านมือเจ้าของมาแล้วหลายต่อหลายคน

ตราสัญลักษณ์แห่งความเป็นทาสนั้นไม่ใช่สิ่งที่ควรจะไปลองดีด้วย ทว่าดาร์คเอลฟ์สาวก็ฝืนทนมาตลอดทุกครั้ง

ส่วนรางวัลปลอบใจของเธอก็คือการได้เห็นใบหน้าหงุดหงิดของเหล่าผู้เป็นนายก่อนที่พวกมันจะส่งเธอกลับไปยังตลาดค้าทาส

ราวกับโชคชะตาเล่นตลก เพราะเจ้านายคนล่าสุดที่ส่งเธอกลับแถมทำให้เธอต้องโดนผนึกที่ลิ้นนั้นก็คืออดีตเจ้านายของเพรเซียนั่นเอง

พอนึกย้อนกลับไปในตอนแรก เพรเซียคงถูกซื้อมาหลายสัปดาห์ก่อนแล้ว… ดูได้จากบาดแผลเก่าใหม่มากมายบนร่างกายของเธอ

เจ้านายคนนี้เป็นพวกเหยียดเผ่าพันธุ์แบบสุดๆ และเชื่ออย่างสนิทใจว่าตน ‘เหนือกว่า’ เผ่าครึ่งคนครึ่งสัตว์อย่างเพรเซียทุกด้าน

เขาทรมานเพรเซียครั้งแล้วครั้งเล่าและทำราวกับว่าเธอเป็นเพียงสัตว์ไร้ค่าตัวหนึ่ง

เหตุผลเดียวที่ทำให้เธอรอดพ้นจากการถูกข่มขืนก็เพราะว่าเขา ‘ไม่อยากทำให้ตัวเองต้องแปดเปื้อน’ แน่นอนว่านอกจากเรื่องนั้นแล้ว เขาใช้เธอแบบ ‘คุ้มสุดๆ’

ไม่ว่าจะเป็นการทรมานต่างๆ นาๆ การฝึกให้เธอทำตัวแบบสัตว์ และแน่นอน การฝึกให้เธอสนองความต้องการทางเพศโดยละเรื่องนั้นไว้เพียงอย่างเดียว

ไม่นานเขาก็เริ่มเบื่อหน่ายกับท่าทางไม่รู้สึกรู้สาของเพรเซียและเริ่มเปลี่ยนเป้าหมายมาที่ชีว่าแทน

เขาเริ่มจากการดุด่า พูดจาดูถูกเหยียดหยามและประนามว่าเธอนั้น ‘ด้อยกว่า’ ทั้งๆ ที่ตัวเองก็เป็นแค่เผ่ามนุษย์ ไม่ได้เป็นเทพหรือแม้แต่ลูกครึ่งเทพด้วยซ้ำ

โอกาสทองมาถึงเมื่อเจ้าอสูรต่ำช้าพยายามยัดเยียดของโสโครกของมันเข้ามาในปากของเธอ ทันใดนั้นเอง ชีว่าก็ขบมันอย่างแรงโดยหมายจะ ‘ตัดให้เหลือแต่ตอ’ แต่น่าเสียดายที่ตราสัญลักษณ์ไม่ยอมให้เธอทำแบบนั้นได้ง่ายๆ

มันออกฤทธิ์ได้เร็วและรุนแรงเหมือนทุกครั้ง รอบนี้ก็เล่นเอาสมองของเธอเกือบไหม้จนใช้การไม่ได้อยู่นาน

หลังจากโดนทุบตีอย่างหนัก ชายคนนั้นก็ส่งเธอและเพรเซียคืนให้กับพ่อค้าทาสพร้อมโวยวายเป็นการใหญ่

ของชดเชยที่เขาได้กลับมาในวันนั้นก็คือทาสสาว ‘คุณภาพสูง’ คนใหม่

ชีว่าอาจจะไม่เคยเห็นทาสสาวคนนั้นมาก่อน แต่ถ้าเธอบรรยายรูปร่างลักษณะของอดีตเจ้านายให้วาห์นฟังล่ะก็ เขาคงจะร้องอ๋อทันที

ชายคนดังกล่าวนั้นที่จริงแล้วก็คือชายชราที่ฌอนทัคเดินออกมาส่งนั่นเอง (TL: ตอนที่ 249)

ภายนอกอาจดูเหมือนคุณลุงใจดีคนหนึ่ง แต่ภายในนั้นกลับเต็มไปด้วยความโหดร้ายผิดมนุษย์และความกระหายไม่รู้จบที่ต้องบรรเทาด้วยความเจ็บปวดของผู้อื่น

พอเธอกับเพรเซียกลับมาถึง พวกพนักงานก็นำยาราคาแพงออกมาให้ดื่มพร้อมกับขัดสีฉวีวรรณเพรเซียอย่างดีที่สุดและชโลมร่างของเธอด้วยยาและน้ำมันบำรุงนับไม่ถ้วน

เป้าหมายของพวกมันคงจะหนีไม่พ้นการซ่อนรอยแผลเป็นต่างๆ จนกว่าจะมีเจ้านายคนใหม่มาซื้อเธอไป

หลังจากกลับมาได้ไม่ถึงชั่วโมง พวกเธอก็ถูกบังคับให้ไปพบกับ ‘ผู้ให้ความสนใจ’ คนล่าสุด ซึ่งก็คือวาห์นนั่นเอง…

เมื่อนึกย้อนกลับไปถึงเด็กหนุ่มแสนใจดีคนนั้น ชีว่าก็อดรู้สึกตื้นตันขึ้นมาไม่ได้

ที่จริงแล้วความสามารถในการต่อสู้ของเธอนั้นเทียบได้กับนักผจญภัยเลเวล 3 ขั้นปลายเลยทีเดียว

ดินแดนอับแสง (บ้านเกิดของชีว่า) เป็นสถานที่อันโหดร้ายและเกิดความขัดแย้งขึ้นทุกวี่วันราวกับมันเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว

การก้าวพลาดเพียงครั้งเดียวอาจหมายถึงความพ่ายแพ้ของเผ่า ตามมาด้วยการมอบชีวิตให้กับเผ่าผู้ชนะ และนั่นก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับชีว่า

หลังจากต้องทนแบกรับความอับอาย เธอก็ถูกขายให้กับเมืองที่อยู่ใกล้เคียง ก่อนจะโดนขายทอดมาเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงโอราริโอ้ได้รับอิสระจากความโชคดีที่ได้มาเจอวาห์น

สิ่งเดียวที่อยู่ในหัวของชีว่าในตอนนี้ก็คือการแก้แค้น แก้แค้นพวกมันทุกคนที่ทำราวกับเธอเป็นสินค้าตามตลาด

ในฐานะอดีตนักล่าประจำเผ่า เธอจะสังหารพวกมันให้หมด แผนขั้นถัดไปก็คือเดินทางกลับไปบ้านเกิดและสังหารพวกที่หยามเกียรติและขายเธอตั้งแต่ทีแรก

หลังจากก้าวเข้าไปในบ้านของอดีตเจ้านาย ชีว่าก็ลอบเข้าไปในชั้นใต้ดินลับซึ่งเป็นที่ที่ชายชราใช้คุมขังและทรมานทาส

โรค ‘ผู้อยู่เหนือทุกเผ่าพันธุ์’ ทำให้ชายชราสะสมทาสเอาไว้มากมายหลายแบบ ซึ่งต่างอยู่ในสภาพทรุดโทรมไม่ต่างกันมากนัก

ทาสคนล่าสุดของเขาดูเหมือนจะเป็นหญิงสาวผมสีน้ำเงินที่มีสีหน้าว่างเปล่า

ร่างของเธอเต็มไปด้วยบาดแผลหลายแห่งในขณะที่ตัวถูกมัดอยู่กับโต๊ะทรมานแบบพิเศษ

เนื่องจากเธอเป็นเผ่ามนุษย์ ชายชราจึงไม่ได้ติดใจอะไรนักและข่มขืนเธออย่างบ้าคลั่งจนไม่รู้สึกตัวเลยว่ามีใครบางคนย่องมาอยู่ด้านหลัง

เขารู้สึกสนุกสุดเหวี่ยงจนแทบไม่รู้สึกถึงมีดที่พุ่งทะลุแผ่นหลังไปหลายครั้ง

แผลสุดท้ายนั้นร้ายแรงที่สุด เพราะมันเจาะเข้าไปตรงกระดูกสันหลังที่คอยควบคุมร่างกายส่วนล่างทั้งหมดเอาไว้

หลังผละจากทาสสาวและล้มลงกับพื้น ชายชราก็หันมาหาชีว่าและกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง

“แกกกกกกก! นังหมูโสโครก! สัตว์ชั้นต่ำกล้าทำถึงขนาดนี้เลยงั้นเหรอ!?”

ชีว่าไม่สนใจคำพูดเหล่านั้นแม่แต่น้อย รอยยิ้มของเธอดูเฉิดฉายและน่าขนลุกเสียจนชายชราอยากจะหนีไปให้ไกลๆ

เธอควงมีดในมือและก้าวเข้าไปอย่างไม่เร่งรีบ…

ชายชรารู้ทันทีว่าชีวิตของตนกำลังแขวนอยู่บนเส้นด้าย เขาพยายามคลานหนีอย่างไม่คิดชีวิตพร้อมกับส่งเสียงร้องเรียกคนคุ้มกันแหละเหล่าคนใช้

เขาคงกลัวจนลืมไปว่าตัวเองเป็นคนออกแบบและปรับปรุงคุกใต้ดินนี้หลายครั้งจนมันเก็บเสียงได้อย่างมิดชิด 100 เปอร์เซ็นต์

ตอนนี้เหล่าคนคุ้มกันคงกำลังปกป้องพื้นที่ชั้นบนกันอย่างแข็งขัน ปล่อยให้เขาเป็นที่รองรับอารมณ์ของชีว่าต่อไปเรื่อยๆ… หรืออย่างน้อยก็จนกว่าเธอจะส่งเขาไปยังโลกหน้า

หลังจากคลานมาจนมุมอยู่ตรงกำแพง ชายชราก็มองกลับไปและเห็นรอยเลือดที่ไหลออกมาเป็นทางยาว

เขารู้สึกแก่ลงอีกหลายปี ร่างกายเต็มไปด้วยเลือดกับสิ่งสกปรกที่อยู่ในคุกใต้ดิน และภายใต้แสงสลัวนั่น ดวงตาเย็นยะเยือกของชีว่าก็ค่อยๆ คืบคลานเข้ามาที่ละนิด

“ดะ-ได้โปรดอย่าทำแบบนี้เลย… ฉันจะให้แกทุกอย่าง เงิน สิ่งของ ได้หมด

สะ-สาบานได้ว่าฉันจะไม่ไปบอกเรื่องนี้กับใครเด็ดขาด ขะ-ขอแค่ให้แกกลับออกไปซะ!”

ชีว่ายกอาวุธในมือขึ้นและเชยชมเลือดที่ติดอยู่ตรงใบมีดพร้อมกับสูดดมเล็กน้อย จากนั้นเธอก็ขมวดคิ้วและทำจมูกฟุดฟิด

“ไอ้กลิ่นเหม็นนี่มันอะไรกันนะ… นี่แกยังเป็นมนุษย์อยู่หรือเปล่าเนี่ย?

ทำไมเลือดถึงมีกลิ่นเดียวกับพวกก็อบลินเลยล่ะ… เหหห จะว่าไปแล้ว แขนขาขี้โรคของแกก็เหมือนของก็อบลินอยู่นะ?”

ถึงจะกลัวสุดขีด แต่ชายชราก็ยังต้องทำหน้าบึ้งตึงเมื่อถูกเปรียบเทียบกับสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำที่สุดบนโลก

เขาพยายามตะโกนออกมาอีกครั้ง แต่ทันทีที่ขยับปาก ลำแสงบางอย่างก็พุ่งผ่านหน้าไปพร้อมกับลิ้นและกรามล่างที่ตกลงกับพื้น

แน่นอนว่ามนุษย์เลเวล 1 ไม่มีทางตามการเคลื่อนไหวของดาร์คเอลฟ์เลเวล 3 ทันอยู่แล้ว

เขาพยายามกรีดร้องอีกครั้ง แต่เสียงที่ออกมานั้นแทบฟังไม่รู้เรื่องเลย อย่างมากที่พอทำได้ในตอนนี้ก็คือใช้มือปิดแผลเพื่อไม่ให้เลือดไหลจนช็อคไปเสียก่อน

ชีว่าจ้องมองชายชราต่ออีกเล็กน้อยก่อนจะเดินไปทางชั้นวาง ‘เครื่องมือ’ ที่เขาชอบใช้เป็นประจำ

ที่ชั้นวางนั่นยังมีโพชั่นและยามากมายหลายแบบซึ่งส่วนใหญ่นั้นมีสรรพคุณในการฟื้นฟูร่างกาย และสมานแผลแบบเฉียบพลัน

ชีว่านำชุดตะขอเกี่ยว ค้อน และโพชั่นบางส่วนออกมา แต่พอหันกลับไปก็พบว่าชายชราเริ่มที่จะคลานหนีอีกครั้ง

เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาและป้องกันการหลบหนี เธอใช้ค้อนทุบข้อมือของเขาจนหัก ตามมาด้วยนิ้วทีละนิ้วจนพวกมันแตกละเอียด

ชายชราไม่อาจขัดขืนอะไรได้อีกขณะที่ชีว่าเทโพชั่นลงไปในหลอดอาหารของเขา และต่อให้เขาอยากปิดปากแค่ไหนก็คงทำไม่ได้เพราะกรามล่างนั้นไม่อยู่แล้ว

ชีว่าใช้มืออีกข้างประคองใบหน้าชราอย่าง ‘นุ่มนวล’ พร้อมกับยิ้มกว้าง… ก่อนจะฟาดขวดโพชั่นเปล่าๆ ใส่ช่องปากส่วนบนจนฟันหักไปหลายซี่

หลังจากที่ชายชราหมดสติไปแล้ว เธอก็นำตะขอมาเกี่ยวตรงต้นขาทั้งสองข้างก่อนจะใช้มันยกร่างของเขาขึ้นจากพื้นในสภาพห้อยหัวลง

ไม่นานชายชราก็ได้สติและพยายามกรีดร้องอีกครั้งแต่กลับไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมาเลย

เขาพบว่ามีบางอย่างถูกสอดเข้าไปในจมูกและทะลุลงไปถึงช่องทางเดินหายใจ

เพื่อป้องกันไม่ให้ชายชราหายใจติดขัด ชีว่าจึงสอดท่อเข้าไปในนั้นและใช้ผ้ารัดตรงส่วนจมูกไว้แบบหลวมๆ

ชายชราจะเป็นตายร้ายดียังไงเธอไม่สนใจอยู่แล้ว แต่สิ่งสุดท้ายที่อยากให้เขาได้ลิ้มรสก่อนจากไปก็คือประสบการณ์แบบเดียวกับที่พวกทาสเคยเจอ

เธอใช้เวลาครึ่งชั่วโมงไปกับการสลักคำต่างๆ ลงบนเนื้อหนังเหี่ยวย่นโดยใช้ทั้งมีดและแท่งเหล็กร้อนๆ

ก่อนจะไปต่อ เธอก็นำโพชั่นมาราดตามที่ต่างๆ และยกกระจกออกมาส่องให้เขาดูด้วย

การทรมานยังดำเนินต่อไปเรื่อยๆ จนร่างกายของเขาถูกถอดออกทีละส่วนจนเหลือเพียงแค่ศีรษะและลำตัวที่ห้องโตงเตงไปมา

ชายชราได้แต่จ้องมองแขนขาของตัวเองที่ถูกวางไว้ตรงหน้าด้วยสายตาแสนสลด

ชีว่ายิ้มอ่อนโยนยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ขณะใช้มือลูบเส้นผมมันเยิ้มและพูดอย่างนุ่มนวล

“อย่างห่วงเลย อีกเดี๋ยวก็จบแล้วล่ะ… รับรองว่าแกต้องชอบขั้นตอนต่อไปแน่นอน… คงจะน่าเสียดายมากถ้าไม่ได้ลิ้มลองสิ่งนี้ด้วยตัวแกเอง”

ชีว่าราดโพชั่นที่เหลือลงไปบนร่างกายของชายชราก่อนจะก้มลงและตัด ‘ของโสโครกนั่น’ ออกมา

ก่อนหน้านี้เธอได้ให้เขาดื่มยาชูกำลังเข้าไปด้วย ดังนั้นต่อให้โดนทรมานแสนสาหัสแค่ไหน ของโสโครกนั่นก็ยังแข็งกร้าวอยู่ตลอด

เธอนำผ้ามาผูกตรงที่ๆ มันเคยอยู่เพื่อทำการห้ามเลือดและนำท่อหายใจออกจากจมูกและลำคอของเขา

ของขวัญอำลาที่เธอมอบให้กับชายชราก่อนจะทำการปลดปล่อยทาสคนอื่นๆ… ก็คือการยัดท่อนเนื้อนั่นลงไปในลำคอของเขาเป็นการปิดท้าย…

(TL: จริงๆ แล้วชื่อตอนคือ ‘Desserts’ หรือก็คือ ‘ของหวาน’ ตามคำคมที่มีชื่อว่า ‘Just Deserts’ หรือก็คือ ‘ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว’ นั่นแหละ แต่จะแปลยังไงล่ะ -*- ตอนแรกจะแปลชื่อตอนว่า ‘ของหวานคล่องคอ’ อยู่แล้วเชียว แต่ก็แบบ…

วาห์นเดินไปตามทางอย่างเงียบเชียบขณะหลบเลี่ยงเส้นทางที่มีคนเดินไปมา

หนึ่งในข้อดีที่สุดของพลังเขตแดนก็คือเรื่องการตรวจจับนี่แหละ ซึ่งไม่ว่าจะอยู่ชั้นไหนมันก็ยังใช้ได้ผลและแม่นยำดีเหมือนเดิม

จากนั้นไม่กี่นาที เขาก็มาถึงหน้าต่างและเปิดมันก่อนจะใช้ [เคลื่อนย้ายในพริบตา] เพื่อเคลื่อนที่ไปออกไปยังหลังคาใกล้เคียง

ตลอดเวลาที่โดนอุ้ม ฮารุฮิเมะไม่ได้ส่งเสียงอะไรเลยและเอาแต่ซุกหัวไปกับแผงอกของเขา

สกิล [เคลื่อนย้ายในพริบตา] นั้นไม่ใช่การเร่งความเร็วแบบสกิลเคลื่อนที่ทั่วไป จะเรียกว่าเป็นการ ‘เทเลพอร์ตระยะสั้น’ ก็คงได้

ถึงจะใช้มันอย่างต่อเนื่องจนเคลื่อนที่ได้เร็วพอๆ กับความเร็วเสียง แต่มันก็ไม่ส่งผลต่อเขาคือคนที่เขากำลังอุ้มอยู่แต่อย่างใด

วาห์นบอกได้ว่าสภาพร่างกายของว่าฮารุฮิเมะนั้นอ่อนแอมาก เขาเลยใช้ [เคลื่อนย้ายในพริบตา] แทนการออกวิ่งตามปกติ

เพื่อป้องกันไม่ให้เธอโดนอากาศยามเช้าเล่นงาน เขาก็เลยใช้ [หัวใจของเพลิงนิรันดร์] เพื่อสร้างความอบอุ่นเป็นการแถมให้ด้วย

จากมุมมองของฮารุฮิเมะนั้น เธอรู้สึกว่าร่างกายอยู่ในสภาวะไร้น้ำหนักเป็นช่วงๆ และพอเปิดตาขึ้นมา ทิวทัศน์ทุกอย่างก็จะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมทุกครั้ง

หญิงสาวรู้สึกราวกับว่าวาห์นกำลังเทเลพอร์ตผ่านท้องฟ้าขณะกอดเธอไว้ในอ้อมแขน แถมเขายังปล่อยพลังอบอุ่นนั่นออกมาพร้อมกันด้วย

เธอรู้ดีว่าอากาศในช่วงก่อนฟ้าสางนั้นหนาวเย็นแค่ไหน แต่ตอนนี้กลับไม่รู้สึกหนาวเลยสักนิด

ความหนาวเหน็บ ความอ้างว้างเดี่ยวดาย ทุกอย่างถูกแทนที่ด้วยความอบอุ่นและความปลอดภัยจากอ้อมกอดของวาห์น…

ตอนนี้วาห์นกำลังเคลื่อนที่ต่อไปเรื่อยๆ และพยายามไม่สนใจเสียงเตือนจากระบบที่แจ้งให้ทราบว่าค่าความชื่นชอบของฮารุมิเนะกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

พอหันไปมองมันอีกที ค่านั่นก็พุ่งมาถึงช่วง 85-90 แล้ว

‘…ภารกิจ [ความปรารถนาของหัวใจ] จะสำเร็จก่อนกลับไปถึงคฤหาสน์หรือเปล่านะ?’

วาห์นเข้าใจและเตรียมใจรับเรื่องนี้มาบ้างแล้ว ตอนนี้คงได้แต่ให้เวลาช่วยเยียวยาและปล่อยให้ฮารุฮิเมะได้พบกับเหล่าสหายเก่าที่ไม่ได้เจอกันมานาน

วาห์นรู้จากประสบการณ์จริงว่าการเข้าช่วย ‘สาวๆ ที่กำลังลำบาก’ นั้นมันส่งผลต่อจิตใจ (และหัวใจ) ของพวกเธอขนาดไหน ซึ่งในความคิดส่วนตัวนั้น จะให้เขามาแบกรับทุกอย่างไว้หมดก็คงไม่ได้

เมื่อก่อนวาห์นอาจบอกว่า ‘ได้หมดถ้าสดชื่น’ ทว่าตอนนี้ ผู้หญิงที่เขารู้สึกชื่นชมจริงๆ ก็คือพวกที่จัดการชีวิตได้อย่างลงตัวและคอยพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ ซึ่งแน่นอนว่าฮารุฮิเมะในตอนนี้ยังไม่พร้อมที่จะเผชิญโลกด้วยตัวคนเดียว

จนกว่าสภาพร่างกายและจิตใจจะดีกว่านี้ เธอจะถูกจัดอยู่ในหมวดหมู่ของคนที่เขาต้องปกป้องแทน

งานหนักสำหรับตอนนี้ก็คือเรื่องจิตใจและแนวคิดของเธอนี่แหละ

เพราะฮารุฮิเมะคิดมาตลอดว่าตัวเองเป็น ‘ผู้หญิงสกปรก’ จากนั้นเขาก็มาเฉลยให้ฟังว่าไม่ใช่
กับหญิงสาวที่โดน ‘คดีพลิก’ ไปมาแบบนี้ วาห์นอ่านไม่ออกจริงๆ ว่าอนาคตของเธอจะเป็นอย่างไรต่อไป

ไอ้เสียงแต้มที่เพิ่มเอาๆ นี่ สำหรับเขาแล้ว มันดูไม่ต่างจากเสียงระเบิดเวลาเลยสักนิด

ผ่านไปสักพัก ค่าความชื่นชอบก็เริ่มคงที่และไปหยุดอยู่ตรง 88 แต้ม ทว่าคำข้างๆ ที่ระบุว่า (คู่ชะตาฟ้าลิขิต) ก็ทำให้เขารู้สึกกังวลอยู่ดี

(TL: นี่ไม่ใช่สิ่งที่ระบบวิเคราะห์ออกมานะครับ เป็นความคิดของฮารุมิเนะล้วนๆ)

เขาได้แต่หวังว่าพวกสาวๆ ที่คฤหาสน์จะช่วยทำให้ฮารุมิเนะสงบลงได้บ้าง ไม่แน่ว่าเธออาจจะ ‘เปลี่ยนใจ’ ไปเลยก็ได้

ถึงจะอยากให้เป็นไปตามที่คิด แต่วาห์นก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเธอเป็นผู้หญิงที่สวยมากคนหนึ่ง แถมเขายังพูดออกไปแล้วว่าจะบอกปกป้องเธอด้วย…

ทางบ้านคงจะวุ่นวายไปสักพัก แต่วาห์นมั่นใจว่าเดี๋ยวทุกอย่างคงดีขึ้นเอง… แค่ต้องให้เวลากับมันหน่อย

‘เราไปหาเพื่อนผู้ชายมาเพิ่มบ้างดีหรือเปล่านะ?’

หากไม่ได้ยินเรื่องนี้จากพวกสาวๆ วาห์นก็คงไม่รู้เลยว่าตัวเองแสดงความ ‘ไม่ถูกขี้หน้า’ กับผู้ชายคนอื่นเท่าไหร่นัก (TL: ดูแล้วคนอื่นก็ไม่ค่อยชอบขี้หน้าเอ็งเหมือนกันนะ)

ถ้าให้เดา สาเหตุน่าจะมาจากการที่พวกแพทย์และนักวิทยาศาสตร์จากช่วงชีวิตก่อนนั้นล้วนเป็นผู้ชายแทบทั้งสิ้น

ตลอดช่วง 14 ปีที่อยู่ในห้องทดลอง ผู้หญิงคนเดียวที่เขาเคยเห็นแบบตัวเป็นๆ ก็คือคุณหมอคีนลี่ย์ แต่อย่างน้อยเธอก็ทำดีและ(แสร้ง)เป็นห่วงเขาอยู่บ้าง

ส่วนสิ่งที่ใกล้เคียงเป็นลำดับต่อมาก็คือผู้หญิงที่เขาเห็นจากใจมังงะและอนิเมะเท่านั้นเอง

ช่วงนี้บรรยากาศระหว่างเขากับเวลฟ์ก็ไม่ค่อยจะสู้ดีเท่าไหร่นัก มีทั้งเรื่องที่วาห์นคบกับเฮเฟสตัสบวกกับการที่เวลฟ์พูดเรื่องปัญหาของเฮสเทียแฟมิเลียนั่นอีก วาห์นเลยอยากลองหาเพื่อนใหม่ดูบ้าง

การมีเพื่อนแท้ที่คอยรับฟังปัญหาต่างๆ ของเรานั้นออกจะต่างไปจากการระบายให้แฟนหรือคนรักฟังค่อนข้างมาก แต่นอกเหนือจากเวลฟ์และเบลล์แล้ว วาห์นก็ไม่รู้จะคุยกับใครได้อีก อยากมากก็มีฟินน์ แกเร็ธ แล้วก็คนที่แทบไม่อยากเห็นหน้าเขาเลยอย่างเบต

สำหรับเรื่องแบบนี้ ข้อมูลอ้างอิงจากในมังงะนั้นไม่ค่อยมีประโยชน์เท่าไหร่เลย แถมจะทำให้แย่ลงกว่าเดิมด้วย ตัวอย่างเช่นเทพเฮอร์มีสที่ดูค่อนข้างเป็นมิตรคนนั้น

หากใครได้อ่านมังงะมา คงต้องพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเทพองค์นี้มีเรื่องเก็บงำอยู่เยอะและดูน่าสงสัยมาก

ขณะที่ใช้ปล่องไฟเป็นฐานกระโดดและพุ่งทะยานต่อไปอีกครั้ง ภาพของทาเคมิคาสึจิกับโอวกะก็ปรากฏขึ้นในหัวจนวาห์นถึงกับหยุดชะงักและก้มลงไปมองฮารุฮิเมะเล็กน้อย

พอเห็นว่าเขาหยุดลง ฮารุฮิเมะก็เงยหน้าขึ้นมาถามทันที

“มีอะไรหรือเปล่าคะ?”

วาห์นส่ายหน้าก่อนจะอธิบาย

“ฉันกำลังคิดเรื่องทาเคมิคาสึจิแฟมิเลียอยู่น่ะ คงต้องรีบบอกให้ทางนั้นรู้ว่าฉันช่วยเธอออกมาได้แล้ว

อีกเดี๋ยวพวกเขาคงจะมารับตัวเธอไป ประเด็นอยู่ที่ว่าพวกเขาจะคุ้มครองเธอไหวหรือเปล่าน่ะสิ ฉันกะว่า-”

ในระหว่างที่เขากำลังอธิบาย ฮารุฮิเมะก็ใส่แรงที่แขนมากขึ้นจนศีรษะแทบจะมุดเข้าไปในแผงอกของเขาอยู่แล้ว

นั่นทำให้หูปุกปุยขนาดยักษ์เข้ามาถูกับคางจนวาห์นรู้สึกจั๊กจั๊กจี้นิดๆ

“ฉันอยากอยู่กับคุณค่ะ ถึงจะรู้สึกดีใจมากที่จะได้พบกับสหายเก่าอีกครั้ง แต่ฉันอยากอยู่กับคนที่ช่วยชีวิตตัวเองไว้มากกว่าค่ะ…”

วาห์นเองก็อยากจะอธิบายว่าต่อให้ทาเคมิคาสึจิต้องการพาฮารุฮิเมะไป เขาก็ยังอยากให้เธออยู่ต่ออยู่ดี

พอเจอเจ้าตัวพูดออกมาเองแบบนี้ เขาเลยได้แต่ปิดปากเงียบก่อนจะกลับไปขยับเท้าอีกครั้ง

เรื่องเดียวที่เขาเป็นห่วงก็คือโอวกะอาจโวยวาย แต่ถึงตอนนั้นค่อยว่ากันอีกทีละกัน

ถึงโอวกะจะดูเป็นคนหัวร้อนง่าย แต่วาห์นก็ไม่ได้รู้สึกเกลียดเขาเท่าไหร่นัก เพราะนอกจากเรื่องหัวร้อน เขาก็ดูห่วงพวกพ้องและให้ความเคารพต่อเทพของตัวเองมากเลย

หากเป็นไปได้ วาห์นก็อยากสนิทกับโอวกะให้มากกว่านี้

พอทุกอย่างสงบลงแล้ว วาห์นอาจจะลองมอบ ‘เมล็ดเปลวเพลิง’ ให้โอวกะด้วย แต่ผลจะออกมาเป็นอย่างไรนั้นอันนี้คงตอบยาก (TL: สายวายก็มา)

นอกเหนือจากเรื่องของโอวกะแล้ว วาห์นก็อยากลองนัดพวกผู้ชายมาฉลองหรือเลี้ยงเหล้าดูสักครั้งเหมือนกัน

เรื่องน่าเสียดายที่ได้ผ่านการทดลองมาแล้วหลายครั้งก็คือ ต่อให้ดื่มเหล้าหมดเป็นถังๆ วาห์นก็ไม่มีทางเมาเด็ดขาด

ไม่ว่าจะเป็นแอลกอฮอลล์ สารพิษ หรือยาพิษ ทุกอย่างจะถูกเลือดของเขาขจัดออกจนหมด

แต่อย่างน้อยๆ วาห์นก็อยากสร้าง ‘เครือข่าย’ ของผู้ชายให้เหมือนกับของพวกผู้หญิงดูบ้าง

การที่มีเพื่อนเพศเดียวกันคอยช่วยเหลือและให้คำแนะนำในหัวข้อต่างๆ ที่เอาไปปรึกษากับเพศตรงข้ามไม่ได้นั้นคงจะเป็นเรื่องที่ดีไม่น้อยเลย…

ครึ่งชั่วโมงต่อมา วาห์นก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าทางเข้าคฤหาสน์และค่อยๆ วางฮารุฮิเมะลง ทว่ามือที่คล้องคอของเขาอยู่นั้นกลับไม่ถูกคลายออก

พอก้มลงไปดู เขาก็เห็นว่าเจ้าของมือนั้นกำลังมองที่ดินกับคฤหาสน์ตรงหน้าอย่างสนอกสนใจ

ค่าความชื่นชอบของเธอได้พุ่งขึ้นจนเต็ม 100 มาพักหนึ่งแล้ว ส่วน [ความปรารถนาของหัวใจ: ซันโจวโนะ ฮารุฮิเมะ] ก็ถูกเก็บรักษาไว้ในช่องเก็บของเป็นที่เรียบร้อย

เขาตัดสินใจว่าจะใช้มันก็ต่อเมื่อจิตใจของฮารุฮิเมะดูมั่นคงขึ้นกว่านี้

หากรีบใช้ตอนนี้เลย วาห์นกลัวว่าจะตัวเองจะดูแลเธอ ‘ดีเกินไป’ และทำให้จิตใจของเธอเตลิดไกลกว่าเดิม

ผ่านไปอีกชั่วอึดใจ ฮารุฮิเมะก็หันมาหาวาห์นและถามขึ้น

“ต่อไปนี่จะเป็นบ้านของเราใช่ไหมคะ?”

คำว่า ‘บ้านของเรา’ ทำให้วาห์นอยากถอนหายใจดังๆ สัก 1 ที แต่เขาก็แค่พยักหน้าตอบ

เพราะหญิงสาวเอาแต่เกาะเป็นตุ๊กแกแบบไม่คิดจะปล่อย วาห์นก็เลยอุ้มเธอเข้าไปทั้งอย่างนั้นเลย

“ที่นี่คือคฤหาสน์ฮาร์ธ ฐานที่มั่นของเฮสเทียแฟมิเลีย แล้วก็เป็นที่พักส่วนตัวของฉันด้วย

เธอจะปลอดภัยอยู่ที่นี่จนกว่าเราจะหาวิธีจัดการกับอิชทาร์แฟมิเลียได้

ถึงจะมีอำนาจอยู่พอสมควร แต่เธอก็เอาชนะกลุ่มของเราที่มีทางกิลด์หนุนหลังอยู่ไม่ได้หรอก

ไว้ฉันจะอธิบายเพิ่มทีหลังนะแต่ขอย้ำอีกครั้งว่าเธอปลอดภัยแน่

พอรู้ข่าวว่าช่วยเธอได้แล้ว ทางทาเคมิคาสึจิแฟมิเลียคงเดินทางมาเยี่ยมเธอเร็วๆ นี้แหละ”

เนื่องจากตอนนี้เป็นเวลา 4:30 น. คนอื่นๆ ในคฤหาสน์จึงยังไม่ตื่นขึ้น แถมวาห์นก็เปิดประตูได้ไม่ถนัดเท่าไหร่เพราะมีฮารุฮิเมะมาเกาะอยู่แบบนี้

ฮารุฮิเมะเองก็จะพอดูออกเหมือนกัน

“ช่วยส่งกุญแจให้หน่อยได้ไหมคะ? เดี๋ยวฉันจะเปิดให้เองค่ะ…”

วาห์นยิ้มให้ ก่อนจะกระชับอ้อมกอดเล็กน้อย

“ยังไงเธอก็ต้องปล่อยมือจากฉันอยู่ดีนะ ฮารุฮิเมะ

ตอนนี้สภาพจิตใจของเธอยังไม่ปกติดีเท่าไหร่ เรื่องนี้ฉันเข้าใจ อย่าห่วงเลย ฉันไม่ได้จะหายไปไหนซะหน่อย”

ฮารุฮิเมะขมวดคิ้วอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายเธอก็รับฟังแต่โดยดีพร้อมกับปล่อยมือที่คล้องอยู่ออก

“ขออภัยด้วยค่ะ…”

วาห์นวางเธอลงกับพื้นก่อนจะไขประตูและก้าวเข้าไปคฤหาสน์อันแสนอบอุ่น

ฮารุฮิเมะเดินตามหลังเขามาติดๆ ด้วยท่าทีประหม่าแต่ก็ยังดูสนใจทุกอย่างเช่นเดิม

วาห์นเห็นแล้วได้แต่ยิ้มกว้าง

“อยากสำรวจอะไรตรงไหนก็ตามสบายเลย

นอกจากห้องส่วนตัวของพวกสาวๆ คนอื่น เธอจะไปที่ไหนก็ได้ ตราบใดที่ยังอยู่ในตัวคฤหาสน์นะ

ถ้าอยากออกไปเดินเล่นที่ลานด้านนอก คงต้องขอให้มีคนตามไปด้วยสักคนสองคน

ที่นี่มีข่ายเวทมนตร์ที่แข็งแกร่งมาก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะป้องกันได้หมดทุกอย่าง”

ฮารุฮิเมะฟังสิ่งที่วาห์นพูดอย่างตั้งใจ แต่แล้วหูของเธอก็กระดิกทันทีที่ได้ยินคำๆ หนึ่ง

“ห้องของพวกสาวๆ ? ที่นี่มีผู้หญิงอยู่กี่คนกันคะ? แล้วมีคนไหนที่สนิทกับคุณเป็นพิเศษหรือเปล่า?”

วาห์นพยักหน้าก่อนจะผายมือไปทางห้องที่เขาใช้รับแขก

เขาไม่อยากคุยที่ห้องโถงนานๆ เพราะเสียงมันจะสะท้อนไปทั่ว

พวกที่มีประสาทการได้ยินแบบคนปกตินี่ไม่เท่าไหร่ แต่พวกหูดีอย่างคู่แฝดหรือเฟนเรียร์อาจจะตื่นขึ้นมาก็ได้

พอเข้ามาแล้ว วาห์นก็เชิญฮารุฮิเมะนั่งลงบนโซฟาและมอบชาอุ่นๆ พร้อมถ้วยใส่น้ำตาลให้ ก่อนจะเริ่มอธิบายสถานการณ์ทุกอย่างให้เธอฟัง

หนึ่งในคำสัญญาที่เคยให้ไว้กับตัวเองก็คือ เขาจะไม่โกหกหรือพยายามปิดบังเรื่องความสัมพันธ์ของตัวเองเด็ดขาด นอกเสียจากว่าคนที่อยากรู้เรื่องนี้เป็นศัตรูหรือดูไม่ค่อยน่าไว้ใจ

หากฮารุฮิเมะเผลอใจไปแล้วจริงๆ วาห์นก็อยากบอกให้เธอรู้ก่อนว่าต้องเจอกับอะไรบ้าง

เพราะเธอยังเด็กมาก การตัดใจตั้งแต่ตอนนี้และออกไปตามหารักแท้ข้างนอกอาจจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าก็ได้

เขาอยากอธิบายให้เธอเข้าใจว่าที่นี่จะเป็นสถานที่ปลอดภัยสำหรับเธอไปตลอด แต่มันก็ไม่ใช่สถานที่เดียวที่เป็นแบบนั้นได้

หากฮารุฮิเมะพบสิ่งที่ดีกว่าหรือสิ่งที่อยากทำ วาห์นก็จะพยายามช่วยอย่างสุดความสามารถเพื่อทำให้มันเป็นจริงโดยที่เธอไม่ต้องมาห่วงเรื่องตอบแทนทีหลังหรืออะไรแบบนั้นเลย

ตลอดเวลาที่วาห์นเล่าเรื่องราวในอดีตของตัวเอง ฮารุฮิเมะก็ยังคงนั่งอย่างสง่างามสมกับที่เคยเป็นผู้ดีมีตระกูลมาก่อน

แม้แต่กระทั่งการจิบชา เธอจะหยิบถ้วยชาขึ้นมาด้วยมือทั้งสองข้างและจิบมันแบบเงียบๆ ขณะจ้องประสานตากับวาห์นอยู่ตลอด

หลังจากเรื่องเล่าจบลง ฮารุฮิเมะก็พยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม

“ฉันตัดสินใจไปแล้วค่ะ เป็นการตัดสินใจด้วยตัวเองครั้งแรกนับตั้งแต่ได้ลืมตาดูโลกมาเลย

ฉันอยากอยู่ที่นี่กับคุณ แค่คิดเรื่องนี้ก็มีความสุขแล้วค่ะ

ถึงไม่ได้เป็นภรรยา จะให้เป็นแค่ภรรยาน้อยหรือผู้หญิงลับๆ ก็ไม่ขัดข้อง

ก่อนที่คุณจะเดินเข้ามาในชีวิต ฉันเอาแต่คิดทุกวันว่าตัวเองคือผู้หญิงสกปรก เป็นผู้หญิงไร้ค่าที่ถูกทำให้แปดเปื้อนและต้องใช้ชีวิตแบบนั้นไปจนวันตาย

ฉันจะไม่ไปจากที่นี่ เว้นแต่ว่าคุณไม่อยากจะเก็บฉันไว้แล้วค่ะ

หรือถ้าไม่สบายใจจริงๆ จะให้เป็นสาวใช้ส่วนตัวหรือคนรับใช้เฉยๆ ก็ได้นะคะ”

วาห์นขมวดคิ้วอย่างหนักเมื่อได้ฟังข้อเสนอแต่ละอย่างของเธอ

“ฉันอยากให้เธอมีความสุขนะฮารุฮิเมะ อย่าอุทิศทั้งชีวิตให้แค่เพราะว่าฉันช่วยเธอออกมาเลย

ลองออกตามหาสิ่งที่ตัวเองอยากทำจริงๆ แทนการตอบแทนด้วยวิธีนี้จะดีกว่า”

ฮารุมิเนะยังคงยิ้มให้อย่างสง่างามเช่นเดิม

“คุณเข้าใจผิดแล้วนะคะ วาห์น ก่อนถูกเนรเทศออกมา ทั้งชีวิตของฉันถูกผูกติดกับสิ่งที่เรียกว่า ‘วงศ์ตระกูล’…

หากไม่ใช่เพราะเหล่าสหายจากทาเคมิคาสึจิแฟมิเลีย ฉันก็อาจต้องอาจต้องทนอยู่อย่างโดดเดี่ยวไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถูกจับแต่งงานกับทายาทตระกูลอื่นเข้าสักวัน

ความสุขเพียงไม่กี่อย่างในชีวิตของฉันก็มีแค่หนังสือกับการแอบออกไปเล่นข้างนอกเป็นครั้งคราวเท่านั้นเอง

หลังจากถูกเนรเทศและลักพาตัว ความปรารถนาเพียงอย่างเดียวของฉันก็คือได้หลบหนีออกจากฝันร้ายนั่น… อยากให้มีวีรบุรุษมาช่วยฉันอย่างในนิทานที่เคยอ่าน

ฉันคิดมาตลอดว่าทุกอย่างมันสายเกินไปแล้ว แต่คุณกลับบอกว่าฉันยังไม่ได้ถูกทำให้แปดเปื้อนใจช่วงตลอดหลายปีที่ผ่านมานี่…

ฉันคงปฏิเสธความรู้สึกในตอนนี้ไม่ได้หรอกค่ะ มันเป็นความรู้สึกที่ฉันไม่ค่อยเข้าใจนักเพราะไม่เคยรู้สึกถึงมันมาก่อน… แต่ที่แน่ๆก็คือ ฉันมีความสุขที่ได้อยู่ที่นี่ ณ ตอนนี้ค่ะ มีความสุขที่ได้สัมผัสกับการมีชีวิตจริงๆ

การได้มาอยู่ตรงนี้ ฟังคุณอธิบายเรื่องต่างๆ ด้วยสายตาเป็นห่วง… ฉันขออะไรมากไปกว่านี้ไม่ได้แล้วค่ะ”

ในระหว่างที่ฮารุฮิเมะพร่ำบอกความในใจออกมาแบบรวดเดียวจบ วาห์นก็คอยเฝ้าสังเกตดวงตาสีเขียวและเห็นว่ามันแจ่มชัดกว่าครั้งไหนๆ

แม้แต่ออร่าที่ดูยุ่งเหยิงมาตลอด ตอนนี้มันกลับลุกไหม้อย่างแรงกล้าขณะที่เธอเปล่งแต่ละคำพูดออกมา

แม้จะรู้สึกเหมือนหญิงสาวกำลังล้างสมองตัวเองด้วยถ้อยคำเหล่านั้น แต่เขาก็เข้าใจเช่นกันว่าเธอรู้สึกเชื่อมั่นที่ตัวเองพูดจากใจจริง

เมื่อคำพูดของเธอหยุดลง ฮารุฮิเมะก็ซ้อนมือไว้ที่ตักและคงโค้งคำนับลงมาแล้วหากไม่ใช่เพราะวาห์นยื่นมือออกไปรั้งตัวไว้ก่อน

วาห์นรู้หลักธรรมเนียมของชาวตะวันออกดี และรู้ด้วยว่าเธอกำลังจะก้มหัว ‘พลีกาย’ ให้กับเขา

นี่ไม่ใช่สิ่งที่จะเอามาทำกันเล่นๆ เพราะสำหรับชาวตะวันออกแล้ว มันอาจศักดิ์สิทธิ์ยิ่งกว่าพิธีสาบานเสียอีก

จริงๆ แล้ววาห์นอยากให้เธอได้พูดคุยกับพวกสาวๆ ที่เขารู้จักเพื่อเก็บประสบการณ์และความรู้ก่อนจะมาตัดสินใจเรื่องใหญ่โตแบบนี้

ดูๆ ไปแล้ว ฮารุฮิเมะในตอนนี้ช่างคล้ายกับเขาในอดีตที่เอาแต่หาความสุขจากอนิเมะและมังงะไปวันๆ มากเลย

วาห์นรู้ว่าความสุขเหล่านั้น สุดท้ายแล้วก็ไม่ใช่สิ่งที่ยั่งยืน ไม่เหมือนกับสิ่งที่เขามีอยู่ในตอนนี้

วาห์นมองเข้าไปในดวงตาสีเขียวคู่งามและพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“ฮารุฮิเมะ อย่าได้ทำแบบนั้นต่อหน้าฉันอีกเป็นครั้งที่สอง

ฉันช่วยเธอเพราะว่าอยากช่วย และไม่ว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น ฉันก็จะปกป้องเธอไปตลอด หรือจนกว่าเธอจะปกป้องตัวเองได้

ฉันเคารพความรู้สึกของเธอนะ แต่ต้องเข้าใจด้วยว่าฉันจะไม่ตอบรับมันจนกว่าเธอจะ ‘ค้นพบ’ วิธีใช้ชีวิตที่ดีกว่านี้ วิธีที่ไม่ต้องใช้ร่างกายตัวเองเข้าแลก…

จะหาว่าฉันเห็นแก่ตัวก็ได้ แต่ฉันรู้สึกชื่นชมและนับถือพวกที่พยายามพัฒนาตัวเองอยู่ตลอด… และคิดว่าการอยู่เพื่อคนอื่นอย่างเดียวน่ะมันเป็นอะไรที่น่าเศร้ามาก

เมื่อไหร่ก็ตามที่เธอค้นพบสิ่งนั้น ฉันก็จะรออยู่ตรงนี้เหมือนเดิม

ถ้าหาไม่เจอจริงๆ ฉันก็จะช่วยเธอหามันอีกแรง…”

ตลอดเวลาที่วาห์นพูด ฮารุฮิเมะก็ยังคงจ้องมองดวงตาสีน้ำทะเลของเขาอยู่ตลอด

เธอรู้สึกแปลกใจนิดๆ ที่เห็นเขาแปลงร่างกลับมาเป็นเผ่ามนุษย์และเอาแต่จ้องใบหน้าหล่อเหลาโดยไม่คิดจะพูดขัดกลางคัน

การได้ยินวาห์นพูดเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเธอเองโดยไม่หวังผลตอบแทนนั้นยิ่งทำให้ความปรารถนาที่จะได้อยู่ด้วยกันตลอดไปฝังลึกแน่นกว่าเดิมเสียอีก

หากเขาอยากให้เธอแข็งแกร่งจนยืนได้ด้วยตัวเอง งั้นเธอก็จะตามนั้น นี่คือสิ่งที่สมองและหัวใจฮารุมิเนะสรุปออกมา

ถึงจะต้องแสร้งทำเป็นไขว่คว้าตามหาเรื่องอื่น ฮารุมิเนะก็จะไม่ลืมความปรารถนานี้เด็ดขาด… ความปรารถนาที่จะได้อยู่ใกล้กับวีรบุรุษของเธอ นั่นคือ ‘ความสุขชั่วรันดร์’ ที่เอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอม

Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล

Endless Path : Infinite Cosmos, อนันตวิถีจักรวาล

Status: Ongoing

เรื่องย่อโดยผู้แต่ง

วาห์นชายหนุ่มผู้ที่มีความผิดปกติ เนื่องจากการกลายพันธุ์ที่หายาก เลือดของเขาจึงมีความสามารถซ่อนเร้นที่ทำให้เป้าหมายและความเสียหายที่เกิดจากโรคร้ายที่อยู่ภายในร่างกายมนุษย์

ถูกขจัดออกไปในโดยการรักษาครอบจักรวาล เหล่าผู้คนจึงต่างเชิดชูบูชาสถานะของเด็กหนุ่มเหนือกว่าผู้ใดทั้งสิ้นและมอบชื่อให้เขาว่า “ยารักษาสารพัดโรค” ในข่าว

เขาได้รับการยกย่องเป็นเหมือนกับวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ที่จะนำพายุคสมัยแห่งใหม่หรือคุณภาพชีวิตมนุษย์ที่ดีมาถึง อย่างไรก็ตาม ฉากที่อยู่เบื้องหลังไม่ได้สดใสเลย

เนื่องจากปัจจัยเฉพาะบางอย่าง วาห์นจึงใช้เวลาช่วงวัยรุ่นทั้งหมดถูกกักขังอยู่ในห้องทดลองกับนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลาย และทีมวิจัยที่ใช้ร่างกายและเลือดของเขาเพื่อทำการทดลองที่ไม่มีที่สิ้นสุด

สิ่งปลอบใจความทุกข์ทรมานเพียงอย่างเดียวของเขาคืออนิเมะทั้งหลายและหนังสือการ์ตูนที่มีให้เขาดูในระหว่างการทดลอง เขามักจะจินตนาการว่าตนเองเป็นตัวเองที่อยู่ในโลกของตนเอง

dและสุดท้ายเขาก็สามารถควบคุมโชคชะตาของตัวเองได้ เป็นเวลาหลายปีที่เขาเก็บรักษาความปราถนานี้เอาไว้ จนกระทั่งเขาเสียชีวิตในวัย 14 ปีขณะที่มีองค์กรพยายามลักพาตัวเขาออกจากห้องทดลอง…

“ในที่สุด ผมก็ไม่ต้องทนทรมานอีกต่อไปแล้ว…”

นี่เป็นความคิดสุดท้ายของวาห์นในขณะที่เขาค่อยๆจางหายไปในห้วงแห่งความมืดอันไร้สิ้นสุด…

“ดวงวิญญาณที่น่าสงสาร”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท