เพราะเขาอาบน้ำคนเดียว วาห์นจึงล้างตัวเสร็จก่อนที่พวกสาวๆ จะเริ่มกันเสียอีก
ความรู้สึกที่ได้จากน้ำร้อนๆ ยังคงแผ่ซ่านไปทั่วร่างกายแม้ว่าเขาจะใช้ [หัวใจของเพลิงนิรันดร์] ซ้อนเอาไว้ก็ตาม
วาห์นเดินกลับไปที่ห้องก่อนจะลงไปนอนเล่นที่เตียงเหมือนเช่นทุกวัน
เขาคิดเรื่องผ่อนคลายซ้ำไปซ้ำมาในหัวจนเริ่มรู้สึกง่วงขึ้นมาจริงๆ และอยากเข้านอนเร็วกว่าปกติ
เกือบครึ่งชั่วโมงต่อมา วาห์นสัมผัสได้ว่าพวกสาวๆ เริ่มแยกกันและกลับไปที่ห้องของตัวเองแล้ว
พอเห็นฮารุฮิเมะเดินกลับห้องพร้อมมิโคโตะ วาห์นจึงถอนหายใจโล่งอกเพราะคิดว่าคืนนี้คงไม่มีจิ้งจอกแอบย่องเข้ามาในห้อง
มิลานกับทีน่าอยู่ในห้องของพรีเซียและเฟนเรียร์ ส่วนริวก็กลับไปที่ห้องของเธอเอง
วาห์นรู้สึกเศร้าเล็กน้อยเพราะเขาอยากจะใช้เวลาร่วมกับเอลฟ์สาวให้มากกว่านี้อีกหน่อย
พวกเขาพัฒนาไปถึงขั้นที่อาบน้ำด้วยกันได้แล้ว เรื่องนอนเตียงเดียวกันจึงเป็นสิ่งที่วาห์นคาดหวังอยู่บ้าง
ตอนนี้คู่แฝดก็เดินกลับห้องของพวกตนเป็นที่เรียบร้อย ดังนั้นเราก็จะเหลือผู้โชคดีรายสุดท้าย…
ออร่าขนาดใหญ่กำลังตรงเข้ามาเรื่อยๆ โดยเดินเบี่ยงมาทางด้านซ้าย วาห์นจึงค่อนข้างมั่นใจว่าเธอกำลังมาที่นี่
เพราะห้องของทั้งคู่อยู่ฝั่งตรงข้ามกัน หากต้องการกลับห้องของตัวเองเฉยๆ เธอก็จะเลือกเดินเบี่ยงไปทางขวาแทน
และแล้วก็เป็นไปตามคาด เฮสเทียเดินมาเปิดประตูห้องของเขาก่อนจะเดินเข้ามาแบบไม่ให้ซุ่มให้เสียง
เฮสเทียรู้เรื่องสกิลสัมผัสออร่าของวาห์นดี เธอจึงเลิกเคาะประตูหรืออะไรทำนองนั้นมาตั้งนานแล้ว อีกอย่างเจ้าของห้องเองก็ไม่เคยว่าอะไรสักคำด้วยสิ
หลังจากถอดถุงมือ ริบบิ้น และที่รัดผมออก เฮสเทียก็คลานขึ้นมาบนเตียงและซุกเข้ากับแผงอกกำยำ
วาห์นเข้าสวมกอดร่างเล็กอย่างนุ่มนวลเหมือนเช่นทุกครั้ง
นอกเหนือจากคืนที่มีคนอื่นมานอนด้วย เฮสเทียก็จะนอนที่ห้องของวาห์นจนมันกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว
ขณะที่วาห์นกำลังผ่อนคลาย เขาก็ได้ยินเสียงกระซิบเบาๆ
“ราตรีสวัสดิ์นะวาห์น…”
หลังรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างมาสัมผัสแก้ม เขาจึงหันกลับไปมองเฮสเทียที่กำลังหลับตาลงและพาดหัวไปกับร่องไหล่
วาห์นรู้สึกว่าเทพตัวเล็กดูสงบเสงี่ยมยิ่งกว่าทุกวันก็เลยเข้าใจว่าเธอคงอยากให้เขาพักผ่อนจริงๆ
เฮสเทียน่าจะละเมอและปีนขึ้นมาบนตัวของเขาเหมือนเดิม แต่วาห์นก็ดีใจที่เห็นว่าอีกฝ่ายคงพยายามเต็มที่แล้ว
มันเป็นการย้ำเตือนเรื่องที่เขาควรผ่อนคลาย ดังนั้นวาห์นจึงหยุดคิดเรื่องต่างๆ และกลับไปนอนต่ออีกครั้ง
—
วาห์นเป็นพวกที่สะดุ้งตื่นง่าย แต่ถ้าเป็นสิ่งที่เขาคาดไว้แล้ว (เช่นการถูกปีนป่ายโดยคนใกล้ตัว) เขาก็จะนอนต่อไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น นั่นเป็นการเปิดโอกาสให้เฮสเทียขยับขึ้นมาจ้องอีกฝ่ายด้วยสีหน้าครุ่นคิด
ดวงตาสีฟ้าฉายแววเปล่งประกายขณะที่เธอลูบไล้ใบหน้าอย่างหลงใหล
เด็กหนุ่มคนนี้มักจะระวังตัวอยู่ตลอดเวลา ยกเว้นแค่ตอนนอนนี่แหละ
เหตุผลเดียวที่เป็นแบบนี้ก็เพราะว่าวาห์นเชื่อใจเธอมาก นั่นทำให้เฮสเทียยิ่งสุขใจยิ่งกว่าเดิม
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เฮสเทียก็ลงมาคร่อมร่างของวาห์นและจ้องมองเขาจากด้านบน
เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนที่เสื้อผ้าจะเริ่มสลายกลายเป็นกลีบดอกและออกไปเรียงกันอยู่รอบเตียง
ตอนนี้เฮสเทียกำลังนั่งอยู่บนหน้าท้องของวาห์นแบบไม่เหลืออะไรเลยนอกจากกางเกงในเพียงชิ้นเดียว
เธอไม่ค่อยแน่ใจว่าตัวเองต้องการทำอะไรต่อ แต่ที่แน่ๆ ก็คืออยากใกล้ชิดกับวาห์นให้มากที่สุด
เวลาส่วนตัวของทั้งสองกำลังหดสั้นลงเรื่อยๆ เฮสเทียจึงตัดสินว่าถึงเวลาแล้วที่เธอต้องก้าวสู่ขั้นต่อไป
บรรยากาศด้านนอกและในห้องนั้นค่อนข้างหนาวเย็นซึ่งต่างจากความร้อนที่แผ่ออกมาจากร่างกายของวาห์นอย่างสิ้นเชิง
ยิ่งให้ความสนใจกับไออุ่นมากเท่าไหร่ ความรู้สึกหวิวๆ ในช่องท้องของเฮสเทียก็ยิ่งเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
เรื่องเดียวที่เธอรู้สึกเสียดายก็คือลืมบอกให้วาห์นถอดเสื้อก่อนเข้านอน
ถึงเนื้อผ้าจะบางมาก แต่มันก็ทำให้ผิวพรรณแสนละเอียดอ่อนรู้สึกระคายเคืองอยู่ดี
เฮสเทียไม่ได้คิดจะปลุกวาห์นตั้งแต่แรกแล้ว แต่เทพตัวเล็กก็อดสงสัยไม่ได้ว่าเขาจะตอบสนองอย่างไรหากตื่นขึ้นมาเห็นเธอในสภาพนี้
วาห์นไม่ใช่พวกที่เอาช่วงล่างมาใช้แทนสมอง เรื่องนี้ทุกคนรู้ดี แต่เฮสเทียก็ยังแอบหวังลึกๆ ว่าเขาจะตื่นขึ้นมา… และเข้าจู่โจมเธออย่างป่าเถื่อน
‘…เห้อ’
เรื่องนี้เฮสเทียควรโทษตัวเองที่รู้สึกลังเลมาโดยตลอด แต่อีกใจหนึ่งก็อยากโบ้ยความผิดให้เด็กหนุ่มที่เป็นห่วงเธอมากจนเกินเหตุ… มากจนไม่กล้าก้าวข้ามเส้นบางๆ ที่เธอขีดเอาไว้
20 นาทีต่อมา เฮสเทียก็ต้องยอมแพ้เพราะรู้ว่าตัวเองไม่กล้าเป็นฝ่ายไปปลุกวาห์นก่อนแน่นอน เธอได้แต่นอนพิงร่างกำยำเหมือนปกติขณะพยายามสงบหัวใจของตัวเอง
พอไออุ่นแผ่ซ่านไปทั่วเรือนร่าง สติก็ค่อยๆ พร่าเลือนและขาดหายไปในที่สุด
—
ขณะที่หลับอยู่ วาห์นรู้สึกว่าตัวเองกำลังล่องลอยอยู่ในบรรยากาศอบอุ่นโดยมีออร่าสีชมพูห่อหุ้มไปทั่ว
มันเป็นความรู้สึกที่สุขสบาย ละมุนละไม และทำให้สมองผ่อนคลายสุดๆ
น้อยครั้งมากที่วาห์นจะฝันแบบนี้ มันจึงเป็นประสบการณ์แปลกใหม่ที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน
เขาสงสัยจริงๆ ว่าออร่าสีชมพูนี่คืออะไรและมาจากไหนกันแน่
พอดูจนแน่ใจแล้วว่ามันไม่ได้เป็นภัยคุกคาม วาห์นจึงปล่อยให้มันกระจายออกไปทั่ว…
เขาอยู่แบบนั้นต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งออร่าดังกล่าวจางหายไปเป็นจำนวนมาก
วาห์นรู้สึกเศร้า ราวกับตัวเองเพิ่งสูญเสียบางอย่างที่สำคัญมากไป
เขาจ้องมองออร่าที่หลงเหลืออยู่ ก่อนจะหลับตาและเข้าสู่โหมดสมาธิ
สิ่งที่ปรากฏออกมาก็คือถ้อยคำทั้งเก้าที่ดูเลือนลางมาก และไม่ว่าจะพยายามมากแค่ไหน ถ้อยคำดังกล่าวนั้นกลับไม่มีทีท่าว่าจะเด่นชัดขึ้นเลย…
วาห์นเริ่มรู้สึกเหมือนหัวใจกำลังถูกบีบคั้นเมื่อเวลาล่วงเลยไปอีกพักใหญ่ๆ
นั่นตามมาด้วยความสั่นสะท้านอย่างรุนแรงจนเขาต้องเปิดตาขึ้นและพบว่าออร่าสีชมพูยังคงวนเวียนไปรอบๆ โลกแห่งความฝัน
สัญชาติญาณบอกให้เขายกหัวขึ้นมาทดลองสูดดมมัน และทันทีที่ทำแบบนั้น สมองก็รู้สึกเหมือนถูกกระแทกอย่างรุนแรง
มันเป็นกลิ่นไอที่หอมหวลเกินจะบรรยายแต่กลับให้ความคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด ราวกับเป็นสิ่งลึกลับที่คอยวนเวียนอยู่รอบตัวมาโดยตลอด
ถึงจะกังวลอยู่บ้าง แต่เขาก็สูดดมมันต่อเพื่อสืบให้ได้ว่านี่มันกลิ่นของอะไรกันแน่…
—
เมื่อวาห์นได้สติในเช้าวันถัดมา เขารู้สึกว่าหัวใจเต้นเร็วกว่าปกติแถมกลิ่นที่อยู่ในความฝันก็ยังลอยมาแตะจมูกอยู่เรื่อยๆ
แต่เพราะตื่นแล้วนี่แหละ เขาเลยเริ่มจระหนักว่ามันคือกลิ่นอะไร
กลิ่นดังกล่าวนั้นลึกล้ำ รุนแรง คล้ายกับกลิ่นของน้ำผึ้งผสมมะนาวอ่อนๆ
เมื่อลืมตาขึ้นมา สิ่งที่วาห์นต้องทำเป็นอย่างแรกเลยก็คือกลืนน้ำลาย 2-3 อึก
เขาไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง แต่ดูเหมือนว่าเมื่อคืนเฮสเทียคงนอนละเมอและหันตัวกลับไปอีกด้าน
สิ่งที่อยู่ห่างใบหน้าของเขาไปเพียงไม่กี่นิ้ว… แน่นอนว่ามันก็คือกลีบดอกไม้หอมหวนที่ถูกกั้นด้วยเนื้อผ้าสีขาวบาง
หัวใจของเขาเริ่มเต้นเร็วยิ่งกว่าเดิม เพราะตอนนี้คงไม่ต้องพิสูจน์หรือสืบหาอะไรแล้ว
มันอาจจะไม่ทรงพลังเท่ากับกลิ่นอายของเฮเฟสตัส แต่ทุกอย่างกลับดูน่าดึงดูดไปหมด ทั้งตัวกลิ่นเอง ออร่าสีสมพูรอบๆ บั้นท้ายได้รูป หรือแม้แต่ของเหลวเล็กน้อยที่ซึมออกมาจากจุดซ่อนเร้น…
ที่แย่ไปกว่านั้น เพราะเขามักกอดเฮสเทียตอนนอน ตอนนี้วาห์นเลยอยู่ในท่าที่กำลังกอดเอวของเธอไว้อย่างเคยชิน เป็นท่าที่ทำให้กางเกงในตัวจิ๋วมากองอยู่ตรงปลายจมูกพอดี
เขาไม่แน่ใจว่าเฮสเทียตื่นนานหรือยัง แต่ตอนนี้วาห์นมองเห็นออร่าสีชมพูสว่างไสวของเทพตัวเล็กได้อย่างชัดเจน
เมื่อคืนเธอคงจะพยายามทำบางอย่างเพื่อยั่วเขาซึ่งดูท่าจะได้ผลอยู่บ้าง
อย่างน้อยมันทำให้วาห์นรู้สึกเขินๆ พร้อมกับความตื่นเต้นที่เพิ่มขึ้นทีละนิด
หากจะออกมาแก้ต่างทีหลังว่านอนละเมอจนมาอยู่ในสภาพนี้ บอกตรงๆ ว่าเขาไม่มีทางเชื่อแน่นอน
ส่วนตัวแล้วเขาไม่เคยเห็นผู้หญิงจากมุมนี้มาก่อน และมันก็เป็นภาพที่เย้ายวนอย่างประหลาด
ความนุ่มนิ่มของเฮสเทียทำให้วาห์นอยากลองยืนหน้าออกไปอีกแล้วดูว่าเธอจะยังเนียนนอนต่อได้อีกหรือเปล่า
ทุกอย่างอยู่ใกล้มากจนเขาแทบไม่ต้องขยับเลยด้วยซ้ำ…
พอเขาถอนหายใจออกไปเล็กน้อย ร่างเล็กและออร่ารอบๆ ก็สั่นไหวตามทันที
นับเป็นเสี้ยววินาทีที่กองไฟสีชมพูหดเล็กลง แต่แล้วมันก็ขยายใหญ่ขึ้นและเผาไหม้รุนแรงยิ่งกว่าเดิม
เมื่อขยับมือเล็กน้อย วาห์นก็ตระหนักว่ารอบนี้มันผิดปกติจริงๆ
จากมุมมองที่เห็นในตอนแรก เขาจึงไม่รู้มาก่อนว่าเฮสเทียนั้นไม่ได้ใส่อะไรเลยนอกจากกางเกงในเพียงตัวเดียว
ความร้อนจากผิวหนังที่สัมผัสได้ตรงฝ่ามือยิ่งทำให้เขามั่นใจเรื่องที่ ‘กำลังโดนยั่ว’ ขึ้นไปอีก
วาห์นรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังอยู่บนหน้าผาที่ไม่รู้ว่าจะโดดออกไปหรือหันหลังกลับดี แต่ยังไงซะ เขาก็จะไม่ทิ้งให้เฮสเทียค้างเติ่งอยู่แบบนี้แน่นอน
เพราะเธอคงใช้ความพยายามอย่างมากกว่าจะมาอยู่ในสภาพนี้… กระแสของออร่าสื่อได้ความว่าเฮสเทียกำลัง ‘ฝืนตัวเองอยู่ แต่ก็ยังไม่ยอมแพ้ง่ายๆ’
เพื่อตอบรับความกล้าหาญครั้งนี้ วาห์นสวมกอดเอวของเฮสเทียให้แน่นขึ้นราวกับกำลังดึงให้มันเข้ามาใกล้กว่าเดิม พร้อมกับยื่นให้จมูกไปแตะกับเนื้อผ้าบ้าง
เขารู้สึกได้ถึงความชื้นตรงปลายจมูกกับเสียงหัวใจของเฮสเทียที่ส่งผ่านจากหน้าอกขนาดยักษ์มาสู่หน้าท้องของเขา
ออร่าของเธอดูสับสนวุ่นวายไปหมด แต่มันก็ยังคงลุกไหม้เป็นสีชมพูขณะที่วาห์นสูดหายใจเข้าลึกๆ
ในจังหวะที่เขาเริ่มทำแบบนั้นจนกระทั่งตอนปล่อยมันออกมา วาห์นรู้สึกว่าสมองของตัวเองเริ่มหลอมละลายไปกับกลิ่นที่กระตุ้นให้เกิดความตื่นเต้น
ตามปกติแล้ววาห์นสามารถควบคุมสภาพร่างกายได้เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ครั้งนี้มันออกจะ ‘อยู่เหนือการควบคุม’ ไปหน่อย
จากอีกด้านหนึ่ง เฮสที่เทียเริ่มมีน้ำตาซึมให้เห็นพยายามกัดริมฝีปากล่างของตัวเองและหายใจถี่ขึ้นเรื่อยๆ
เธอเตรียมใจรับการตอบสนองของวาห์นเอาไว้แล้ว แต่ทุกอย่างกลับพังไม่เป็นท่าเมื่อเขาเริ่มสูดดมแบบจริงจัง
ยิ่งพอโดนสูดแบบแรงๆ เธอก็ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว
ใบหน้าสีแดงก่ำยิ่งแดงหนักกว่าเดิมเมื่อดวงตาสีฟ้าไปสบเข้ากับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
ถึงจะได้ยินข่าวลือมาบ้าง แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่เฮสเทียได้เห็น ‘เสากระโดงเรือ’ ในกางเกงของวาห์นแบบเต็มสองตา
ความหวาดหวั่นเริ่มเกาะกุมจิตใจของเทพตัวเล็ก แต่มันก็ยังไม่อาจเอาชนะความเด็ดเดี่ยวได้ในทันที
เฮสเทียได้ยินมาจากฮารุฮิเมะว่านี่เป็น ‘ท่วงท่า’ ที่ทั้งผู้หญิงและผู้ชายต่างโปรดปราน
ข้อดีอีกอย่างของท่านี้ก็คือการที่ไม่ต้องหันไปสู้หน้าวาห์นอาจจะช่วยบรรเทาความเขินของเธอลงไปได้บ้าง
ตอนนี้เธอทำให้เขา ‘ลุกฮือ’ ได้แล้ว เฮสเทียจึงดึงเอาความมั่นใจทั้งหมดออกมาก่อนจะค่อยๆ ยืนมือออกไปดึงกางของวาห์นลง
การถูกปลดปล่อยแบบไม่ทันตั้งตัวทำให้วาห์นต้องเบิกตากว้างพร้อมหายใจแรงขึ้นอีก และยิ่งเขาสูดดมกลิ่นของเฮสเทียมากเท่าไหร่ ความตื่นเต้นในร่างกายก็ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น
ตอนแรกเขาไม่ได้ตั้งใจจะเครื่องติดเลยด้วยซ้ำ พอมันเกิดติดขึ้นมาจริงๆ สิ่งต่อไปที่คิดไว้คือเฮสเทียต้องรีบชิ่งหนีแน่นอน แต่นี่มันกลับผิดคาดไปหมด!
ชั่วอึดใจต่อมา วาห์นสัมผัสได้ว่ามีมือเล็กๆ มาจับตรงฐานแข็งชัน ลมหายใจของเขายิ่งรุนแรงขึ้นจนร่างของเฮสเทียส่ายขึ้นลงตามจังหวะ
ของที่อยู่ตรงหน้าทำให้เทพตัวเล็กรู้สึกกังวลสุดขีด แต่ถ้าจะให้ถอยตอนนี้ก็คงไม่ทันแล้ว เธอจึงเริ่มตรวจสอบมันด้วยสายตาอย่างละเอียด
นิ้วเรียวเล็กค่อยๆ ขยับไปมาก่อนจะพยายามวัดความหนาของสิ่งที่อยู่ในมือ
หัวใจของเฮสเทียยิ่งเตลิดหนักกว่าเดิมเพราะนิ้วชี้ของเธอแทบจะแตะปลายนิ้วโป้งไม่ถึงอยู่แล้ว!
หากไม่ใช่เพราะรู้ว่ามีคนเคยลองมาก่อน เธอคงไม่เชื่อแน่ๆ ว่าเจ้าสิ่งนี้จะเข้าไปอยู่ในตัวผู้หญิงได้
‘ร่างกายของเทพธิดาต้องทนได้สิ… มั้งนะ’ คือสิ่งที่เธอพยายามพร่ำบอกกับตัวเองในใจ
หลังจากครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง เฮสเทียก็เริ่มทำตามขั้นตอนที่ฮารุฮิเมะแนะนำ โดยเริ่มจากการยกตัวขึ้นเล็กน้อยโดยพิงแขนไปกับเอวของวาห์น
จากด้านหลัง วาห์นกำลังเฝ้ามองแผ่นหลังเล็กๆ ของอีกฝ่ายด้วยความสนใจ
นี่เป็นสิ่งที่วาห์นไม่เคยบอกใครมาก่อน แต่เขาเคยเห็นท่วงท่าแบบนี้มาบ้างแล้วในระหว่างที่ออกตามหาฮารุฮิเมะ
อย่างเดียวที่คิดออกคือเฮสเทียคงไปเรียนอะไรมาจากเรนาร์ดสาวอย่างแน่นอน แต่วาห์นเองก็ไม่แน่ใจว่าเธอจะไปต่อได้อีกสักกี่น้ำ
เฮสเทียสัมผัสได้ว่าร่างกายกำลังขยับไปตามลมหายใจของวาห์น ความร้อนที่เขาปล่อยออกมานั้นทำให้ส่วนล่างของเธอสั่นสะท้านไปหมด
เธอรู้ว่าเขากำลังรู้สึกตื่นเต้นเช่นกัน หัวใจที่ยังกล้าๆ กลัวๆ จึงส่งคำสั่งมาที่สมองว่า ‘จะทำอะไรก็รีบๆ ทำเข้า’
เฮสเทียเริ่มจากการใช้มือปาดผมออกไปด้านข้าง ก่อนจะค่อยๆ ลดศีรษะลงจนเกือบติดส่วนปลายที่ดูแข็งกร้าว
ทว่าความลังเลเพียงชั่วครู่กลับทำให้ริมฝีปากบางหยุดกึกลงทันที ทั้งๆ ที่อีกเพียงไม่กี่มิลลิเมตรก็จะได้สัมผัสกันอยู่แล้ว
เฮสเทียเกิดเปลี่ยนใจกระทันหันและเริ่มสานมันต่ออีกครั้งด้วยการใช้ลิ้นเลียตรงส่วนปลายเพื่อทดสอบรสชาติก่อน
สิ่งที่ติดลิ้นกลับมาคือความเค็มปะแล่มๆ ทว่าเฮสเทียก็ยังต้องกลืนน้ำลายขณะที่หัวใจเต้นจนแทบจะระเบิดออกมาด้านนอก
เจ้า ‘ความเค็ม’ นี่เองที่ทำให้น้ำลายของเธอเอ่อล้นหนัดกว่าปกติ เพราะยังไงซะ เรื่องน้ำลายไหลกับเฮสเทียก็เป็นของคู่กันอยู่แล้ว
ประเด็นอยู่ที่ว่ามันไหลออกมามากเกินจน ‘หก’ ใส่สิ่งที่อยู่ด้านล่างนี่แหละ… เฮสเทียมองตามจุดที่มันตกลงไปและรู้สึกทั้งอายทั้งเครื่องติดไปพร้อมๆ กัน
เทพตัวเล็กเริ่มโลมเลียส่วนปลายของวาห์นโดยไม่รั้งรออะไรอีกแล้ว ขณะเดียวกันเธอก็พยายามไม่สนใจความรู้สึกอึดอัดที่อยู่ภายใน
หากไม่นับตอนที่เฮเฟสตัส ‘จูบทักทาย’ นี่ก็ถือเป็นครั้งแรกที่มีผู้หญิงมาทำอะไรแบบนี้ให้กับวาห์น
ความเปียกชื้น ความร้อน และรสสัมผัสของลิ้น ทำให้ขาของเขาสั่นนิดๆ โดยเฉพาะช่วงจังหวะที่เฮสเทียกดลึกที่สุด มันเป็นความรู้สึกที่ดีแต่ก็หงุดหงิดอย่างน่าประหลาด อาจเป็นเพราะเฮสเทียเอาแต่ทำแบบเดิมซ้ำไปเรื่อยๆ เพียงอย่างเดียว?
เพราะรู้ว่าเธอไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อน วาห์นจึงเลือกที่จะรูดซิบปากและคิดว่าเขาเองก็ควรทำอะไรบ้าง
เรียวขาที่อ้าออกจากกันทำให้การถอดปราการชิ้นสุดท้ายออกไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดายนัก
แทนที่จะพยายามฝืนถอดมัน วาห์นกลับเอื้อมมือออกไปและใช้นิ้วโป้งเกี่ยวมันไว้ด้านข้างแทน
ลมหายใจร้อนๆ ที่เข้าสัมผัสกับผิวเปลือยเปล่าทำให้เฮสเทียหยุดสิ่งที่กำลังทำอยู่ทันที
วาห์นไม่ได้พูดอะไรและเอาแต่จ้องมองเนินสีขาวกับของเหลวที่ไหลออกมาจากร่องลึกตรงหน้า และราวกับมันกำลังเคลื่อนไหวตามจังหวะการหายใจของเฮสเทีย ร่องลึกนั่นคอยเปิดปิดอยู่เรื่อยๆ จนเขาได้เห็นสิ่งอยู่ภายในแบบวับๆ แวมๆ
ไม่นานสติของเฮสเทียก็กลับมาอีกครั้ง เธอตัดสินใจทำสิ่งที่ค้างคาเอาไว้ต่อโดยปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปตามธรรมชาติ
วาห์นเผยรอยยิ้มเล็กๆ ขณะใช้นิ้วโป้งทั้งสองแหวกร่องปริศนานั่นออกและจ้องมองเข้าไปในกำแพงที่ทั้งเปียกชื้นและกลายเป็นสีชมพูระเรื่อ
เขาสังเกตุเห็นเม็ดตุ่มชูชันที่อยู่ตรงปลายสุด แต่ก็ตัดสินใจว่าจะปล่อยมันไปก่อน ขณะเริ่มนำลิ้นไปสัมผัสกับจุดซ่อนเร้นของผู้หญิงเป็นครั้งแรก
อย่างแรกที่เขาสัมผัสได้ก็คือของเหลวที่ออกมานั้นแตกต่างไปจากตัวกลิ่นอย่างสิ้นเชิง
มันหวานคล้ายน้ำผึง แต่ก็ให้รสที่จัดกว่านั้น เป็นสิ่งที่ยากจะบรรยายออกมาเป็นคำพูด
เฮสเทียเริ่มไม่แน่ใจว่าหากตัวเองไม่ใช่เทพ หัวใจของเธอจะทนรับแรงกระตุ้นที่รุนแรงขนาดนี้ได้มากน้อยแค่ไหน
ความอยากรู้อยากเห็นทำให้เธอลองทำมันด้วยตัวเองมาบ้างแล้ว แต่ที่โดนอยู่นี่มันคนละเรื่องกันเลย!
สิ่งที่เธอทำก็แค่เล่นตรงส่วนรอบนอกและสัมผัสตุ่มแข็งชันเล็กน้อยเท่านั้นเอง
สัมผัสที่ได้รับในตอนนี้คือความเสียวซ่านปนจั๊กจี้เล็กน้อย แถมมันยังทำให้กล้ามเนื้อหน้าท้องของเธอหดตัวทุกครั้งที่ภายในถูกบุกรุก
เทพตัวเล็กพยายามบรรเทาความรู้สึกด้วยการใช้มือทั้งสองข้างจับอาวุธของวาห์นและเลียตรงส่วนปลายให้แรงยิ่งกว่าเดิม
แต่ไม่ว่าจะพยายามมากแค่ไหน เฮสเทียก็เริ่ตระหนักแล้วว่านี่เป็นศึกที่เธอไม่อาจเอาชนะได้
เพราะขาดประสบการณ์ในหัวข้อดังกล่าว เธอจึงไม่รู้ว่าควรทำยังไงต่อและได้แต่ปล่อยให้วาห์นทำลายแนวป้องกันไปเรื่อยๆ โดยไม่อาจขัดขืนได้เลย
สิ่งที่วาห์นทำไม่ใช่แค่การเลียเท่านั้น แต่เขากำลัง ‘ลิ้มรส’ ภายในพร้อมใช้ลิ้นกดตามส่วนต่างๆ เพื่อดูว่าเธอจะตอบสนองยังไงบ้าง
ทุกครั้งที่เธอเกร็งจนผิดสังเกต วาห์นก็จะใช้ลิ้นจี้ตรงบริเวณนั้นก่อนจะโยกหัวเบาๆ
ตอนนี้เฮสเทียทำอะไรไม่ได้ทั้งสิ้นนอกจากถอยทัพและฟุบหน้าลงกับท้องน้อยของเขา
เธอทำได้แค่ใช้ลิ้นเลียตรงส่วนที่หน้าฟุบลงและปล่อยให้ร่างกายตกอยู่ภายใต้การทรมานจาก ‘ความกระตือรือร้น’ และความอยากรู้อยากเห็นของวาห์น
7 นาทีให้หลัง วาห์นที่ยังเมามันอยู่กับการสำรวจส่วนต่างๆ เริ่มสัมผัสได้ว่าของเหลวมีปริมาณมากขึ้น ขณะที่ผนังภายในก็ดิ้นไปมาไม่หยุด
เขารู้จากประสบการณ์ว่านี่เป็นสัญญาณเตือนเมื่อผู้หญิงใกล้ถึงจุดสุดยอดและตัดสินใจที่จะรุกหนักยิ่งกว่าเดิม
ในเสี้ยววินาทีนั้นเอง เฮสเทียที่ยังไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ก็กลับมาประจำที่และเริ่มเข้าโรมรันกับอสูรร้ายอีกครั้ง
วาห์นคิดว่าถึงเวลาที่ต้องปิดเกมนี้ลงแล้ว เขาจึงรวมพลังไว้ที่นิ้วโป้งซึ่งคล้ายกับแบบที่เคยทำกับไอส์ (แต่เบากว่า) ก่อนจะกลับไปใช้ลิ้นอีกครั้งพร้อมกดนิ้วลงตรงตุ่มที่ทำเป็นไม่สนใจมันมาโดยตลอด
จู่ๆ เฮสเทียก็รู้สึกกลัวอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน จากนั้นก็มีกระแสไฟฟ้ามาวิ่งผ่านตามกระดูกสันหลังและชนเข้ากับสมองจนความนึกคิดแตกหลายไม่เหลือชิ้นดี
เสียงที่เคยอยู่ภายใต้การควบคุมได้มาตลอด บัดนี้มันกลับถูกปลดปล่อยออกมาจนหมดหลอด
ตอนนี้เจ้าของเสียงกลับทำได้แค่พยายามใช้มือปิดปากและโก่งตัวเป็นกุ้งไปกับหน้าท้องของอีกฝ่ายเท่านั้นเอง
ความหฤหรรษ์แผ่ซ่านไปทั่วทุกอณูขุมขน ส่วนสมองก็รู้สึกเบาหวิวและใช้การไม่ได้ไปชั่วขณะ
ร่างกายของเธอถูกกระตุ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แถมเฮสเทียไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง ไม่รู้ด้วยว่าร่างนี้จะใช้การต่อได้อีกหรือเปล่า
สิ่งเดียวที่รู้สึกได้ก็คือความอบอุ่นจากด้านล่างและท่อนแขนแข็งแรงที่โอบรอบเอวไว้ ราวกับว่ามันกำลังพยายามรั้งเธอไว้ไม่ให้ดวงวิญญาณลอยกลับขึ้นสวรรค์ไปทั้งแบบนั้นเลย…
พอวาห์นออกจากโรงหลอมและเดินทางกลับคฤหาสน์ฮาร์ธ เฮเฟสตัสที่เดินกลับเข้ามาข้างในก็ต้องรีบทรุดลงกับเก้าอี้ที่อยู่ใกล้ที่สุดก่อนจะฟุบหัวลงกับโต๊ะทันที
ทุกครั้งที่ฉากเมื่อหลายชั่วโมงก่อนผุดขึ้นมาในหัว สีหน้าของเทพสาวก็ไม่เหลือเค้าของความเคร่งขรึมให้เห็นอีกเลย
ครั้งแรกของเธอกับวาห์น… รวมไปถึงอีก 34 ครั้งหลังจากนั้นมันช่างเหนือความคาดหมายจริงๆ
ราวกับว่าประสบการณ์ระหว่างเธอกับเทพบนสวรรค์เป็นแค่เรื่องตลก ไม่ควรยกนิ้วขึ้นมานับเลยด้วยซ้ำ
นอกจากวาห์นจะไม่ได้ติดใจเรื่องนี้แล้ว เขายังปฏิบัติกับเธออย่างอ่อนโยนและรักใคร่ตั้งแต่ต้นจนจบ
ถึงเฮเฟสตัสจะทำเป็นใจกล้าและเล่นนอกบทไปบ้าง แต่วาห์นก็ยังพาเธอขึ้นสู่จุดสูงสุดแห่งความหฤหรรษ์ได้อยู่ดี
ยิ่งคิดเธอก็ยิ่งเชื่ออย่างสนิทใจว่าการเหมารวมวาห์นเข้ากับพวกเทพในอดีตนั้นจะไม่มีวันเกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่สองแน่นอน
ตั้งแต่ที่ถือกำเนิดขึ้น เฮเฟสตัสไม่เคยถูกใครรักมากขนาดนี้มาก่อนเลย แล้วก็ไม่เคยรักใครมากขนาดนี้ด้วยเช่นกัน
ถึงจะแยกกันชั่วคราว แต่เธอก็ยังรู้สึกถึงวาห์นได้จากในที่ที่ชายหนุ่มเคยเข้ามาเติมจนเต็ม
มีความอบอุ่นสายใหม่ในร่างกายที่ไม่ยอมจางหายไปเลยแม้แต่น้อย เฮเฟสตัสเชื่อว่ามันคือผลจากการที่เธอตั้งครรภ์อยู่นั่นเอง
นี่เป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อเกินคำบรรยาย แต่แน่นอนว่าสิ่งที่วาห์นพูดย่อมเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจากความจริง
เฮเฟสตัสเริ่มลูบหน้าท้องของตัวเองอย่างรักใคร่ด้วยสีหน้างุนงงและเปี่ยมสุข
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นต่อจากนี้คือประสบการณ์พิเศษที่ไม่มีเทพหรือเทพธิดาองค์ไหนเคยก้าวเดินมาก่อน
ถึงเหล่าเทพธิดาแห่งความอุดมสมบูรณ์จะสามารถตั้งครรภ์ได้เอง แต่นั่นก็ไม่ใช่วิธีที่มนุษย์ทั่วไปทำกัน
แทนที่จะเกิดกระบวนการตกไข่ตามปกติ พลังศักดิ์สิทธิ์ของพวกเธอจะส่งผลให้เด็กเกิดออกมาโดยมีข้อแม้อยู่บางประการ
อย่างแรกคือ ถ้าไม่ใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ แน่นอนว่าพวกเธอไม่มีทางตั้งครรภ์ได้เองอย่างเด็ดขาด
อย่างที่สองก็คือเด็กที่เกิดออกมานั้นจะมีเผ่าพันธุ์ตามแบบผู้เป็นพ่อแน่นอน พวกเขาจะไม่มีทางเป็นเทพหรือแม้แต่ลูกครึ่งเทพ
ชีวิตน้อยๆ ที่อยู่ในครรภ์ของเฮเฟสตัสนั้นเปรียบได้กับความสำเร็จสูงสุดของเหล่าผู้ที่เรียกตัวเองว่า ‘เทพธิดา’
นี่คือสิ่งที่เหล่าทวยเทพนับพันปรารถนามายาวนานเป็นล้านๆ ปีแต่ก็ไม่เคยมีใครทำสำเร็จมาก่อน
ถึงจะไม่ได้ออกอาการอะไรมาก เฮเฟสตัสก็รู้ว่าเธอกับวาห์นเพิ่งจะเขียนประวัติศาสตร์บทใหม่ให้กับโลกใบนี้ไปหยกๆ
นี่ไม่ใช่สิ่งที่เธอสนใจมากนัก เพราะสิ่งที่สนใจยิ่งกว่าก็คือการได้เดินก้าวเล็กๆ ไปบนเส้นทางที่ทั้งสองเลือกเดินร่วมกัน
ขณะกำลังคิดเรื่องในอนาคต เฮเฟสตัสก็เผยรอยยิ้มเพราะนึกบางอย่างออก จากนั้นเธอก็เดินกลับมาที่ห้องทำงานและนำม้วนคัมภีร์ออกมาจากชั้นหนังสือ
สิ่งที่อยู่ใกล้ๆ ก็คือปากกาขนนกมากมายหลายสีที่สามารถส่งข้อความไปยังสถานที่ต่างๆ ได้เกือบทั่วทั้งเมือง
ตั้งแต่การประชุมครั้งแรก หรือที่บางคนเรียกมันเล่นๆ ว่า ‘วาห์นาตัส’ เฮเฟสตัสก็มอบคัมภีร์สื่อสารแบบเดียวกันให้กับทาง ‘กลุ่มต่างๆ’ อย่างพร้อมเพรียง
ด้วยการใช้ปากกาขนนกตามรหัสสี เธอสามารถส่งข้อความแบบเจาะจงไปที่บางกลุ่มได้ ส่วนปากกาสีดำนั้นคือการส่งข้อความไปหาทุกคนที่อยู่ในเครือข่าย
เฮเฟสตัสหยิบขนนกสีพีชขึ้นมาและเขียนข้อความหาคนรู้จักซึ่งเป็นผู้ดูแลแฟมิเลียระดับ D ที่ประจำอยู่ ณ เขตตะวันตกของโอราริโอ้
เธอเป็นเทพธิดาแสนใจดีผู้มีนามว่าเอโพน่า
พลังศักดิ์สิทธิ์ของเธอนั้นประกอบไปด้วยการขี่ม้าและความอุดมสมบูรณ์
เฮเฟสตัสรู้จักเธอมานานแล้ว และถึงจะไม่ได้เป็นเพื่อนสนิทแบบเฮสเทีย แต่เอโพน่าก็เป็นเทพธิดาที่เธอไว้เนื้อเชื่อใจ
สาเหตุที่แฟมิเลียของเอโพน่าไม่ได้ใหญ่โตอะไรนักก็เพราะว่ากิจการที่พักของเธอนั้นมุ่งเป้าไปที่การรับนักผจญภัยตกอับเข้ามาดูแลแบบไม่แสวงหาผลกำไร
หลังจากดำเนินกิจการมาถึง 50 ปีเต็ม แฟมิเลียของเธอก็มีสมาชิกอยู่เพียง 9 คนเท่านั้นโดยที่ 3 คนเป็นลูกแท้ๆ ของเธอเอง
ขณะเฝ้ารอการมาถึงของเอโพน่า เฮเฟสตัสก็เริ่มส่งข้อความเพิ่มเติมให้กับทางเครือข่ายซึ่งเป็นหลักปฏิบัติโดยทั่วไป
เมื่อไหร่ก็ตามที่วาห์นออกไปหาใครสักคน คนที่อยู่ต้นทางก็จะรายงานเรื่องนี้เพื่อป้องกันเหตุการณ์ไม่คาดฝัน
หลังจากที่เขาออกเดินทาง พวกเธอก็จะส่งข้อความให้ปลายทางทราบ เพื่อที่ทางนั้นจะได้มีเวลาเตรียมตัวเพิ่ม
นี่ไม่ได้เป็นการจำกัดตัวเลือกของวาห์นแต่อย่างใด แต่มันคือการทำให้คนที่อยู่ปลายทางออกมาต้อนรับเขาได้ดีกว่าเดิมต่างหาก
พวกเธอไม่ได้พูดเรื่องนี้กันบ่อยนัก แต่บางครั้งวาห์นก็ชอบทำอะไรที่หนักหน่วงเกินไป การมีเวลาเตรียมตัวเพิ่มอีกนิดจึงเป็นเรื่องที่ดีกับทุกคน
ผู้ที่ถือคัมภีร์หลักๆ ในตอนนี้ก็มีเฮเฟสตัส เอน่า โลกิ เฮสเทีย ซีล สึบากิ และอนูบิส
หลังจากที่สมาชิกของเครือข่ายเพิ่มจำนวนมากขึ้น เฮเฟสตัสกับโลกิก็ช่วยกันแจกจ่ายคัมภีร์ขนาดเล็กให้กับคนที่ใกล้ชิดวาห์นเกินเพื่อน
เพราะคัมภีร์เหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปใช้เป็นประจำ ตัวน้ำหมึกจึงมีราคาแพงมากจนพวกเธอต้องเหมาซื้อและแจกจ่ายมันทุกครั้งหลังจบการประชุม
เพื่อป้องกันเรื่อง ‘ทรัพยากรขาดตอน’ โลกิแฟมิเลียจึงรับภารกิจสำรวจดันเจี้ยนช่วงชั้นที่ 28 โดยมีเป้าหมายแฝงอยู่ที่การตามหาวัตถุดิบสำคัญที่เอาไว้ใช้ทำน้ำหมึกดังกล่าว
การที่ปาร์ตี้หลักของโลกิแฟมิเลียออกเดินทางสู่ดันเจี้ยนแบบเร่งด่วนก็เป็นเพราะสาเหตุนี้เช่นกัน แน่นอนว่าวาห์นนั้นไม่รู้เรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย
เมื่อนึกถึงสิ่งที่โลกิทำเพื่อวาห์นมาตั้งแต่แรกเริ่ม เฮเฟสตัสก็อดถอนหายใจออกมาไม่ได้
ก่อนจะได้พบกับวาห์นและก่อตั้งกลุ่มพันธมิตร แฟมิเลียทั้งสองก็มีความสัมพันธ์อันดีและเคยร่วมงานกันมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง
ถ้ารวมกับเรื่องรู้จักกันมาตั้งแต่ตอนอยู่บนสวรรค์ เธอย่อมรู้ดีว่าเทพธิดาจอมเจ้าเล่ห์นั้นอยากมีลูกเป็นของตัวเองมากแค่ไหน
ตอนนี้เฮเฟสตัสก็ตั้งครรภ์ลูกของวาห์นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สิ่งสุดท้ายที่เธอจะทำก่อนแจ้งเรื่องนี้ให้โลกิ อนูบิส และเฮสเทียทราบก็คือการขอคำยืนยันเป็นครั้งสุดท้าย
พวกเธอเคยปรึกษาเรื่องนี้กันมาบ้างแล้วในอดีต และแม้เฮสเทียกับโลกิจะไม่ค่อยถูกกันเท่าไหร่ เทพตัวเล็กก็ให้สัญญาว่าจะไม่ก้าวก่ายเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างวาห์นกับโลกิเด็ดขาด
ส่วนหนึ่งก็เพราะตอนนั้นเฮสเทียยังตัดสินใจเรื่องความรู้สึกของตัวเองไม่ได้ เธอจึงไม่มีสิทธิ์ออกความคิดเห็นว่าวาห์นควรมีลูกกับใครบ้าง
อนูบิสเองก็อยากมีลูกในอนาคตเช่นกัน แต่ตอนนี้เทพสุนัขอยากให้ความสำคัญกับวาห์นมากกว่า นั่นหมายความว่าต่อให้เธอต้องรออีกหลายปีก็ไม่มีปัญหาไร
ตั้งแต่การเจรจาครั้งแรกระหว่างกลุ่มพันธมิตรกับโอรานอส อนูบิสก็พยายามพัฒนาและมอบการศึกษาให้กับแฟมิเลียของตัวเองอย่างเต็มที่
เธอรู้ว่าวาห์นกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ยุ่งยาก ดังนั้นสิ่งที่พอจะทำให้เขาได้ก็คือยกระดับของเด็กๆ เพื่อไม่ให้พวกเขากลายมาเป็นตัวถ่วงหรือจุดอ่อนของวาห์นในอนาคต
นั่นเป็นเหตุผลที่ถึงแม้ว่าอนูบิสแทบจะกระดิกหางทุกครั้งที่ได้รับข้อความจากวาห์น เธอก็ต้องกัดฟันและทำตัวห่างเหินให้มากที่สุด
เพราะตัดสินใจแล้วว่าจะรับใช้เขาไปชั่วชีวิต เธอจึงไม่จำเป็นต้องรีบร้อนแต่อย่างใด เหมือนกับว่ายังไม่ต้องทำอะไรเพิ่มก็นำหน้าสาวๆ หลายคนไปก่อนแล้ว
ส่วนคนอื่นๆ ที่เหลือ…
สึบากินั้นยังชอบเอาเรื่องแต้มแพ้ชนะระหว่างตัวเองกับวาห์นมาล้อเล่นอยู่เรื่อย แต่ตอนนี้ทุกคนต่างรู้ดีว่าคนที่เธอพอจะตบตาต่อไปได้ก็มีแค่เด็กอมมือเท่านั้นแหละ
เพื่อเป็นการหยอกเธอแรงๆ สักรอบ อนูบิสจึงถือโอกาส ‘เบี้ยวเดต’ ระหว่างตัวเอง วาห์น และสึบากิโดยหวังว่าทั้งสองจะได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น
พอได้ยินว่าสึบากิอัดวาห์นจนต้องลงไปนั่งคุกเข่ากลางถนน ทุกคนก็เริ่มหยิบยกเรื่องนี้มาล้อเธอทุกครั้งที่มีโอกาส
หญิงสาวพยายามพูดเบี่ยงประเด็นว่านี่เป็นการเก็บแต้มชนะเพิ่มเท่านั้นเอง แต่แย่หน่อยที่สมาชิกคนอื่นๆ ไม่ใช่เด็กอมมือ
—————
ผลงาน.ถูกขโมยมาจาก: EP:IC Translation และ Thai Novel : https://bit.ly/34ApcTP
—————
ผู้หญิงที่แฝงความน่ากลัวที่สุด และเป็นคนที่เฮเฟสตัสกับเอน่าดูออกตั้งแต่แรกแล้วก็คือซีลนั่นเอง
จากการที่วาห์นไป ‘เจ้าของร้านผู้เพรียบพร้อม’ เพื่อพบโคลอี้เป็นประจำ พวกเธอก็รู้เลยว่าอีกเดี๋ยวคงได้สมาชิกเพิ่ม
พอรู้เรื่องของซีลหลังจากจบการประชุมครั้งแรก เฮเฟสตัสกับเอน่าก็เดาได้ไม่ยากเลยว่าหญิงสาวผมเทาคนนี้คือแกนนำคนสำคัญของ ‘กลุ่มสาวเสิร์ฟ’
หลังจากตอนนั้นมา แม้วาห์นจะพยายามเข้าหาโคลอี้เป็นหลัก แต่ซีลก็ค่อยๆ ลิดรอนการป้องกันของเขาลงและทำหน้าที่เป็นแม่สื่อให้กับสาวเสิร์ฟคนอื่นแบบไม่มีตกหล่นแม้แต่คนเดียว… ยกเว้นมามามีอาไว้คนนึงละกัน
นอกเหนือจากโคลอี้แล้ว ตอนนี้วาห์นยังรู้สึกใกล้ชิดกับริวมากเป็นพิเศษ แถมได้ทำความคุ้นเคยกับคนอื่นๆ อย่างอาเนีย ลูนัวร์ แล้วก็แน่นอน ตัวซีลเองด้วย
จริงอยู่ที่ซีลไม่เคยขัดขวางสัมพันธ์อื่นๆ ของวาห์นเลย แต่การกระทำที่แล้วมาของเธอก็เป็นสิ่งที่เหล่าแกนนำจะมองข้ามไปไม่ได้
พวกเธอรู้เรื่องที่หญิงสาวเป็นฝ่ายสารภาพความรู้สึกกับวาห์นก่อนด้วย
อีกไม่นานอิทธิพลของซีลก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นจนกลายมาเป็นหนึ่งในแกนนำคนสำคัญของเครือข่ายเช่นกัน
ทุกอย่างยิ่งดูเข้าทางเมื่อซีลออกปากอาสาดูแลมิลานกับทีน่าหลังเกิดเหตุการณ์ลักพาตัวครั้งที่แล้ว แถมเธอยังเป็นผู้ออกความคิดให้ริวตามไปดูแลวาห์นในดันเจี้ยนอีกด้วย
พอใบหน้าของสาววัยรุ่นที่มีเรือนผมและดวงตาสีเทาลอยขึ้นมาในหัว เฮเฟสตัสก็ได้แต่ถอนหายใจแบบปลงๆ
ซีลนั้นเป็นคนที่จัดการเรื่องหลังฉากได้เก่งกาจมากโดยที่แม้แต่โลกิเองยังเคยเอ่ยปากชมเธอเลย
พวกเธอคิดว่าซีลน่าจะช่วยสนับสนุนวาห์นได้เป็นอย่างดี แต่บางอย่างที่เธอทำก็ยังดูไม่ค่อยน่าไว้ใจเท่าไหร่
ซีลชอบวาห์น อันนี้ทุกคนรู้ดี ปริศนาสำคัญก็คือการที่เธอเน้นกระชับความสัมพันธ์ของเขากับสาวเสิร์ฟคนอื่นแทนที่จะเป็นตัวเองนี่มัน…
ขณะกำลังคิดวิเคราะห์เรื่อยเปื่อย เฮเฟสตัสก็ได้ยินเสียงเคาะที่ประตู
เทพสาวหยุดคิดเรื่องน่าปวดหัวและรีบออกไปต้อนรับแขกผู้มาเยือนด้วยรอยยิ้ม
เอโพน่านั้นสูงประมาณ 160 ซม. และมีร่างกายอวบอัดแต่ก็ดูสง่างาม
ผมสีส้มของเธอค่อนข้างหยิกและถูกเกล้าไว้แบบหลวมๆ ตรงด้านหลัง
ดวงตาสีม่วงและใบหน้าที่ดูยิ้มแย้มตลอดเวลานั่นสามารถทำให้ผู้มองรู้สึกสงบได้อย่างน่าประหลาด
เธอใส่ชุดพิธีการสีเหลืองที่ยาวลงมาถึงข้อเท้าและสวมสิ่งที่ดูคล้ายผ้ากันเปื้อนสีแดงทับอีกชั้น
ก่อนที่เฮเฟสตัสจะหยิบยกเรื่องสำคัญขึ้นมาพูด เอโพน่าก็เอียงหัวไปมาพร้อมแสดงสีหน้าสงสัย
เธอไม่แน่ใจว่าเพราะอะไร แต่เฮเฟสตัสในตอนนี้นั้นดูแปลกไปจากที่แล้วๆ มา
ท่าทางของเฮเฟสตัสนั้นดูปกติ เสื้อผ้าก็เดิมๆ ที่ดูแปลกไปบ้างก็คือสีหน้ามีความสุขเพราะเพื่อนของเธอคนนี้มักจะทำหน้าเคร่งขรึมอยู่ตลอดเวลา
‘….เห!?’
ระหว่างนึกเรื่องที่พอจะทำให้เธอดูมีความสุขได้ขนาดนี้ ในที่สุดเอโพน่าก็พบคำตอบ
แต่ก่อนจะได้กล่าวแสดงความยินดีออกไป คำพูดเหล่านั้นก็มากระจุกอยู่ตรงลำคอแทน
เฮเฟสตัสยังไม่ต้องถามอะไรเลย เพราะสีหน้าของอีกฝ่ายนั้นเป็นเครื่องยืนยันที่ดีที่สุดแล้ว
“เป็นไปได้ยังไงกัน!?” เอโพน่าเอ่ยถามพลางเบิกตากว้าง
เฮเฟสตัสส่ายหน้าทั้งๆ ที่ยังคงยิ้มแย้มเหมือนเดิม
“ฉันจะอธิบายเรื่องนี้ที่งานเดนาตัสครั้งหน้าทีเดียวเลย เธอช่วยเก็บเป็นความลับไว้ก่อนจะได้หรือเปล่า?”
เอโพน่าที่ยังคงสีหน้าไว้แบบเดิมเริ่มพยักหน้าอย่างรวดเร็ว
“อื้อ ได้สิ แน่นอน จะไม่ไปบอกใครก่อนเลย แต่ว่านะเฮเฟสตัส มันเกิดขึ้นได้ยังไงกัน?
ฉันมองออกว่าเธอไม่ได้มีพลังศักดิ์สิทธิ์มาเพิ่ม… และมันก็ไม่เหมือนกับตอนที่ฉันท้อง… พลังงานนี่มัน พลังแห่งชีวิตงั้นเหรอ?”
เพราะเฮเฟสตัสยังพูดอะไรมากไม่ได้ เธอจึงอธิบายแบบสั้นว่าเดนาตัสครั้งหน้าจะออกมาในรูปแบบไหน
พอรู้ว่าคงไม่ได้ข้อมูลอะไรมากไปกว่านี้ เอโพน่าจึงเก็บมันไว้ก่อนและเปลี่ยนไปให้ข้อมูลเรื่องการตั้งครรภ์แทน
ในช่วง 50 ปีที่ผ่านมานั้น เอโพน่ามีลูกมาแล้วกว่า 20 คน เธอจึงเป็นแหล่งข้อมูลที่ดีที่สุด
เทพสาวบอกเรื่องที่เฮเฟสตัสควรจะรู้ไว้ก่อน เรื่องสัญญาณเตือนต่างๆ และแน่นอน เรื่องอันตรายจากการทำงานหนักรวมถึงการทานอาหารที่ส่งผลเสียต่อร่างกาย สภาพจิตใจ และเด็กในท้อง
เอโพน่ารู้สึกตื่นเต้นมากจนถึงขั้นอาสามาเป็นผู้ช่วยทำคลอด (TL: หมอตำแย) ให้กับเธอ ซึ่งเฮเฟสตัสก็ตอบรับพร้อมกล่าวขอบคุณทันที
หลังจากโดนเพื่อนที่ดูดีใจเสียยิ่งกว่าคนท้องสอนสั่งอยู่ราวๆ 4 ชั่วโมง ทั้งสองก็บอกลากัน
เฮเฟสตัสนั้นไม่รออะไรแล้ว เธอพุ่งตรงไปยังห้องทำงานเพื่อแจ้งเรื่องนี้ให้ทางเครือข่ายทราบทันที
ผ่านไปไม่ถึง 20 วินาที เธอก็ได้รับการตอบกลับอย่างเร่งด่วนจากโลกิ
หากไม่ใช่เพราะมีคนรู้ทันและเข้ามาจับตัวโลกิไว้… เธอก็คงจะรีบบึ่งไปหาวาห์นที่คฤหาสน์แล้ว
สุดท้ายแล้วความหื่นกระหายของเธอก็โดนเบรกเข้าอย่างจังเมื่อเฮสเทียส่งข้อความกลับมาว่าวาห์นออกไปทำภารกิจตามหาเด็กสาวที่มีชื่อว่าฮารุฮิเมะ
หลังจากใจเย็นลงไปบ้าง โลกิก็สรุปได้เองว่าการเข้ากดดันวาห์นในตอนนี้นั้นไม่ได้มีประโยชน์แต่อย่างใด
เธอจึงเปลี่ยนไปแจ้งให้เฮสเทียทราบว่าจะเรียกทีมสำรวจให้กลับมาโดยด่วน เผื่อว่าทางนี้ต้องการกำลังเสริม
ข้อความสุดท้ายของเธอก็คือ หากวาห์นตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก ทางโลกิแฟมิเลียก็จะระดมกำลังทั้งหมดที่มีเพื่อเข้าช่วยเหลือทันที
หลังจากการสนทนากลับสงบลงอีกครั้ง ซีลก็เปลี่ยนบรรยากาศด้วยการถามเรื่อง ‘เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโรงหลอม’
ถึงเฮเฟสตัสจะยังไม่ตอบในทันที แต่คำถามของซีลก็ทำให้หลายคนรู้สึกสนใจมาก นั่นร่วมถึงโลกิกับเฮสเทียด้วย
เฮเฟสตัสนั้นไม่เคยมองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างตัวเองกับวาห์นเป็นเรื่องน่าอายแต่อย่างใด เธอจึงเริ่มเล่าเหตุการณ์ต่างๆ อย่างเผ็ดร้อน
ยิ่งพูดออกมามากเท่าไหร่ การสนทนาก็ยิ่งร้อนแรงขึ้นจนมาถึงตอนที่เทพสาวป่าวประกาศให้ทั้งกลุ่มรู้ว่าเธอยอมให้วาห์นทิ้งตราสัญลักษณ์ของเขาไว้ตรงด้านหลัง…
หลังจากที่ร่างของเฮสเทียผ่อนคลายลงแล้ว วาห์นก็รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายกำลังถอนหายใจยาวๆ ขณะนอนแหมะอย่างไร้เรี่ยวแรงไปกับท้องน้อยของเขา
เพราะรู้ว่าเธอคงเป็นแบบนี้ไปอีกสักพัก วาห์นจึงเพ่งสมาธิและขจัดความตึงเครียดออกจากร่างกายด้วย [จิตแห่งราชัน]
ผ่านไปอีกชั่วอึดใจ สิ่งที่เคยแข็งกร้าวก็ค่อยๆ อ่อนยวบลง ตามมาด้วยการจัดชุดชั้นในของอักฝ่ายให้เข้าที่และนำร่างเล็กลงมานอนที่เตียง
สติของเฮสเทียเริ่มแจ่มชัดขึ้นขณะที่วาห์นคอยลูบใบหน้าจากด้านข้างพลางกระซิบบอกเธอเบาๆ
“ทำดีแล้วล่ะ เฮสเทีย… ขอบใจนะที่พยายาม”
วาห์นโน้มลงไปจูบที่ริมฝีปากของเทพตัวเล็กก่อนจะใช้ผ้าห่มห่อตัวเธอไว้ด้วยความเอาใจใส่
เฮสเทียจ้องมองแผ่นหลังของวาห์นราวกับอยากจะเอ่ยอะไรบางอย่าง แต่เธอกลับพบว่าตอนนี้สมองไม่อาจรวบรวมมันออกมาเป็นคำพูดได้เลย
แรงสั่นสะเทือนจากร่างกายส่วนล่างคงจะตามหลอกหลอนเธอไปอีกพักหนึ่ง
สิ่งเดียวที่รู้สึกได้ในตอนนี้คือ ‘ความเศร้า’ เพราะขาดความอบอุ่นจากคนตรงหน้า
มืออ่อนปวกเปียกค่อยๆ ขยับไปเองและกุมเข้ากับด้านหลังชายเสื้อของคนที่กำลังเดินจากไป
วาห์นต้องรีบหันกลับมาคว้าร่างเล็กและจับเธอนอนลงอีกครั้ง พอมองเข้าไปในดวงตาสีฟ้า เขาก็เห็น ‘ความถวิลหา’ ที่ฝังลึกอยู่ในนั้นได้อย่างชัดเจน
วาห์นถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนจะกลับเข้าไปใต้ผ้าห่มและกอดเฮสเทียต่ออีกหน่อย
เขาสัมผัสได้ว่าสาวๆ หลายคนเริ่มตื่นกันแล้ว แต่ก็น่าจะเหลือเวลานอนเล่นอยู่บ้างเพราะต่างก็ต้องแต่งเนื้อแต่งตัวกันอีกพักหนึ่ง
ความอบอุ่นจากวาห์นเข้ามาขับไล่เศร้าออกไปและทำให้หัวใจของเธอกลับมาพองโตขึ้นอีกครั้ง ตอนนี้เฮสเทียพยายามออกแรงกอดให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
ร่างเปลือยเปล่าและความนุ่มนิ่มของอีกฝ่ายทำให้วาห์นรู้สึกอยากจะนอนต่ออยู่เหมือนกัน
เมื่อกี้เขาได้ถอดเสื้อออกไปแล้ว นั่นทำให้สัมผัสจากยอดชูชันทั้งสองส่งผ่านมาถึงผิวกายได้อย่างชัดเจน
ขณะใช้มือลูบไล้เส้นผมยาวสลวย วาห์นก็รู้สึกว่าถ้าสามารถรวมเป็นร่างเดียวกัน หรือเข้ามาสิงเขาได้ เฮสเทียก็คงทำมันไปนานแล้ว
เขาค่อยๆ ใช้มือยกหน้าแดงระเรื่อของเธอขึ้นเพื่อดูว่าสติกลับมาครบดีหรือยัง
ใบหน้างามยังเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำมูกน้ำตาอยู่บ้าง แต่อย่างน้อยแววตาสีฟ้าก็กลับมาแจ่มชัดอีกครั้งหนึ่งแล้ว
วาห์นดูออกว่าเธอโอเค แต่แค่กำลังอยากให้เขามาเอาใจหลังจากที่เพิ่งทำกิจกรรมร่วมกันไปหมาดๆ
หลังจากเช็ดคราบต่างๆ ออกให้ วาห์นก็โน้มหน้าเข้ามาจูบกับเฮสเทียสั้นๆ อีกหลายครั้ง
เขาไม่อยากให้เธอฝืนไปมากกว่านี้ แถมสาวๆ บางคนก็เริ่มมารวมตัวกันที่บันไดชั้นล่างแล้วด้วย
สุดท้ายเฮสเทียก็ยอมปล่อยมือและพยายามลุกขึ้นมานั่งบนเตียงอย่างยากลำบาก
เทพตัวเล็กหันมาจ้องที่ใบหน้าของวาห์นและถามด้วยน้ำเสียงลังเล
“วาห์น นายรักฉันหรือเปล่า?”
วาห์นลุกขึ้นมานั่งสบสายตากับเฮสเทียเช่นกันขณะเผยรอยยิ้มจริงใจ
เขารู้ว่าตอนนี้เฮสเทียไม่ได้ต้องการคำชมหรือคำพูดหวานเกินจริง
เธอแค่ถามในสิ่งที่คิดและคงอยากได้คำตอบชนิดเดียวกันกลับไป
แววตากับคำตอบของวาห์นล้วนแฝงไปด้วยความมั่นใจสุดๆ
“รักสิ ฉันรักเธอนะ เฮสเทีย”
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าได้รูป ตามมาด้วยการพยักหน้าเบาๆ ราวกับกำลังยืนยันบางอย่าง
“แต่นายก็รักคนอื่นด้วย ใช่ไหมล่ะ?”
เป็นคำถามที่ตอบยากกว่าเดิม แต่วาห์นก็ตอมกลับไปตามตรง
“ใช่”
เฮสเทียถอนหายใจยาวและทำหน้าครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง เธอก้มลงไปจ้องมองร่างกายของตัวเองที่เต็มไปด้วยหยาดเหงื่อกับร่องรอยสีแดงมากมายและเริ่มนึกถึงช่วงเวลาต่างๆ ที่ใช้ร่วมกับคนตรงหน้า
เธอรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นลูกครึ่งเทพและทั้งสองคงจะได้อยู่ด้วยกันอีกหลายร้อยปี
ในช่วงเวลาดังกล่าว วาห์นคงจะมีทั้งภรรยาหรือคนรักเพิ่มขึ้น นั่นยังไม่รวมถึงพวกเด็กๆ ที่เกิดออกมาและเทพธิดาคนอื่นนอกเหนือไปจากตัวเธอเอง…
นั่นคือความเป็นจริง คือความจริงที่เธอต้องเผชิญ คือความรู้สึกอิจฉาที่เธอไม่อาจควบคุมได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเฮสเทียก็ยังอยากอยู่เคียงข้างวาห์น
เขาเป็นคนที่เอาใจใส่เธอมากที่สุด อ่อนโยนกับเธอมากที่สุด และไม่เคยยอมแพ้ต่อสิ่งใด ไม่ว่ามันจะลำบากแค่ไหนก็ตาม
ถึงจะถูกความอ่อนแอเข้าเล่นงานเป็นบางครั้ง แต่เขาก็ไม่เคยหลีกหนีมันและพยายามเสาะหาแรงสนับสนุนจากคนอื่นในยามที่จำเป็น
เขาแข็งแกร่งจนน่าเหลือเชื่อแต่อีกด้านก็เปราะบางไม่แพ้กัน… เฮสเทียอยากปกป้องผู้ชายคนนี้และช่วยค้ำจุนเขาไปตลอดในฐานะเสาหลักคนหนึ่ง
หลังยืนยันความรู้สึกของตัวเองเสร็จแล้ว เฮสเทียก็ตัดสินใจได้ว่าเธอจะสนับสนุนวาห์นเท่าที่ทำได้ และจะพยายามไม่ไปจำกัดหรือตั้งแง่กับเขาเหมือนแต่ก่อน
อย่างที่เขาคอยโอนอ่อนให้กับความเอาแต่ใจของเธอมาตลอด เธอเองก็ต้องยอมโอนอ่อนตามเช่นกัน นั่นร่วมถึงการช่วยผลักดันให้เขาใกล้ชิดคนอื่นมากขึ้นด้วย
สีหน้าและออร่าของเทพตัวเล็กกลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว พอมองเข้าไปในดวงตาสีน้ำทะเล เธอก็เห็นความเอาใจใส่ ความเป็นห่วง และความกลัวเล็กน้อยที่แทบจะจางหายไปทันทีที่ได้สบตากัน
เฮสเทียเผยรอยยิ้มที่แฝงไปด้วยความรักและงดงามที่สุด พร้อมตอบกลับอย่างมั่นใจ
“ฉันเองก็รักนายนะ ต่อไปก็ฝากเนื้อฝากตัวด้วยล่ะ… ฉันจะช่วยทำให้ความฝันของนายเป็นจริงขึ้นมาให้ดู~”
นั่นเป็นคำตอบที่สร้างความสุขให้กับวาห์นอย่างล้นเหลือจนต้องนำอีกฝ่ายมาไว้ในอ้อมอกพร้อมรอยยิ้มกว้าง
“เฮสเทีย ฉันดีใจจริงๆ ที่ได้มาเจอเธอ… ขอบคุณนะที่มารักกัน”
วาห์นโน้มหน้าลงไปจูบริมฝีปากงามอย่างดูดดื่ม ส่วนเฮสเทียก็ตอบรับมันอย่างเต็มหัวใจ
ราวกับว่าความกลัวเรื่องต่างๆ นาๆ ของเธอพลันหายไปจนหมดสิ้น
ทั้งสองจูบกันนานมากจนลืมหายใจกันอยู่พักใหญ่ๆ แต่สุดท้ายก็หันไปใช้จมูกหายใจต่อและไม่ยอมจบจูบนี้ลงง่ายๆ
ทว่าช่วงเวลาแห่งความสุขมักจะอยู่ได้ไม่นาน และแล้วเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นเพื่อดึงให้ทั้งสองกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง
เฮสเทียต้องรีบถอนปากออกและกล่าวเตือนเบาๆ
“รีบไปได้แล้ว อย่าให้คนอื่นต้องรอนานสิ!”
วาห์นยังปรับตัวตามไม่ทันและเอาแต่จ้องมองเฮสเทียที่นำผ้าห่มขึ้นมาปิดช่วงบน
กลีบดอกสีขาวที่กระจายอยู่รอบเตียงค่อยๆ บินขึ้นมาบรรจบกับร่างที่อยู่ใต้ผ้าห่ม หรือก็คือเธอกำลังแต่งตัวอยู่นั่นแหละ
เทพตัวเล็กหันมาจ้องเขม็งด้วยสีหน้าแดงก่ำ
“เลิกมองแบบนั้นได้แล้ว!… เอาไว้ต่อกันทีหลังก็ได้ วันนี้ฉันยังต้องไปจัดการธุระอีกหลายเรื่องน่ะ…”
วาห์นหัวเราะเบาๆ ขณะใช้มือขยี้ผมของเฮสเทียและโดดลงจากเตียง
หลังจากใช้ผ้าเช็ดตัวแบบลวกๆ เขาก็เปลี่ยนเสื้อผ้าผ่านทางระบบก่อนจะเดินไปเปิดประตูเพื่อต้อนรับริวที่เฝ้ารออย่างใจเย็น
ดวงตาสีฟ้าหรี่ลงเล็กน้อย แต่เธอก็แค่กล่าวคำทักทายสั้นๆ ตามแบบฉบับ
“อรุณสวัสดิ์นะวาห์น”
ชายหนุ่มยิ้มให้พลางเอ่ยตอบ
“ขอโทษทีนะที่ให้รอนาน ลงไปเริ่มฝึกกันเถอะ”
ริวพยักหน้ารับก่อนที่ทั้งสองจะมุ่งหน้าไปยังลานฝึกประจำคฤหาสน์
ทุกคนมากันครบหมดแล้วและกำลังยืนรออยู่ตรงลานที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์ฝึกมากมายหลายรูปแบบ
เนื่องจากกำลังอารมณ์ดีแบบสุดๆ วาห์นจึงกล่าวทักทายทุกคนอย่างกระปรี้กระเปร่าพร้อมตรวจสอบค่าสถานะของแต่ละคน… แต่แล้วก็สังเกตุได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ
ทุกคนต่างทำสีหน้าแปลกๆ แม้กระทั่งพรีเซียที่นั่งอยู่ข้างลานพร้อมกับมิลานก็ยังจ้องเขาในลักษณะเดียวกัน นั่นร่วมถึงทีน่าที่ตัดสินใจมาร่วมฝึกในวันนี้ด้วย แถมใบหน้าของเด็กสาวนั้นยังแดงเข้าขั้น ‘เลฟิย่า’ ไปแล้ว
สมองของวาห์นทำงานอย่างรวดเร็วจนเริ่มเห็นคำตอบขึ้นมาลางๆ เริ่มจากการไล่จำแนกสมาชิกที่มารวมตัวกันอยู่ที่นี่ก่อน
มิลานกับทีน่า -> เผ่ามนุษย์แมว -> จมูกดี
เอมิรุกับมาเอมิ -> เผ่าเสือดาวหิมะ -> จมูกดี
พรีเซีย -> เผ่ามนุษย์แกะ -> จมูกดี
ฮารุฮิเมะ -> เผ่าเรนาร์ด (จิ้งจอกชั้นสูง) -> จมูกดี
มิโคโตะ -> มนุษย์ -> จมูกปานกลาง
ริว -> เอลฟ์ -> จมูกปานกลาง
ตอนแรกวาห์นก็คิดว่าไม่น่าจะใช่เพราะมีคนไม่เข้าข่าย แต่เขาก็ต้องร้อง ‘อ๋อ’ ในใจเมื่อนึกถึงสีหน้าตอนริวกล่าวทักทาย
เพราะเมื่อกี้เล่นกับเฮสเทีย ‘หนักไปหน่อย’ ทั้งใบหน้าและลำตัวของวาห์นในตอนนี้จึงชุ่มไปด้วยกลิ่นของเธอ
ต่อให้มี ‘จมูกปานกลาง’ แต่นักผจญภัยเจนสนามอย่างริวย่อมต้องมีประสาทสัมผัสที่ดีกว่าคนทั่วไปอยู่แล้ว
นี่เองที่ทำให้เกือบทุกคนทำหน้าแบบเดียวกัน
งานเข้าแล้วก็ต้องเข้าให้สุด เพราะคนที่จมูกดีที่สุดบนโลก(?)… ก็คือเฟนเรียร์ซึ่งกำลังจ้องมองวาห์นด้วยดวงตาสีแดงเปล่งประกาย
จริงอยู่ที่เฟนเรียร์ไม่เคยรู้เรื่องอย่างว่ามาก่อน แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าสัญชาตญาณของเธอจะหยุดทำงานไปด้วย
เด็กสาวเดินเข้ามาใกล้ผู้เป็นนายและทำท่าสูดดมในขณะที่คนอื่นได้แต่มองดูแบบเงียบๆ
วาห์นเผลอถอยหลังออกไปเล็กน้อย แต่เฟนเรียร์ก็รีบพุ่งแบบจมูกมาก่อนและชนเข้ากับแผงอกที่วันนี้… ไม่คอยจะคุ้นเคยเท่าไหร่นัก
“…วาห์นกลิ่นเหมือนเฮสเทียเลย กลิ่นแรงมาก!”
คนอื่นๆ อาจจะรู้และพอเข้าใจได้ว่าเมื่อคืนคงมีบางอย่างเกิดขึ้น แต่ส่วนที่วาห์นคิดว่าน่าอายที่สุดก็คือการโดนเฟนเรียร์จับผิดนี่แหละ
เขากำลังพยายามคิดหาข้อแก้ตัวแบบด่วนจี๋ แต่แล้วฮารุฮิเมะก็ดันพูดเสริมขึ้นเสียก่อน
“ดีจริงๆ เลยนะคะ~!
ดูเหมือนว่าท่านเฮสเทียคงทำตามที่ฉันแนะนำแล้วก็ทำสำเร็จซะด้วยสิ~!”
วาห์นจ้องไปทางดวงตาสีเขียวที่ดูแสนเปี่ยมสุขทันที
นับเป็นครั้งแรกเลยที่เขาอยากกล่าวโทษเธอขึ้นมาตะหงิดๆ ต่อให้ใบหน้านั่นจะไร้เดียงสาแค่ไหนก็เถอะ
เพราะเป็นคนเดียวที่ยังตามไม่ทัน มิโคโตะจึงโน้มหน้าเข้ามาใกล้และเอ่ยถามเพื่อสนิทเบาๆ
“เธอบอกให้ท่านเฮสเทียทำอะไรเหรอ?”
วาห์นเบิกตากว้างและรีบร้องห้ามทันที
“ฮารุฮิเมะ! ขอล่ะ อย่าพูดอะไรที่มัน… เป็นอุปสรรคต่อพัฒนาการของเฟนเรียร์เลยนะ”
เรนาร์ดสาวชะงักเล็กน้อยก่อนจะเอียงหัวและทำหูกระดิกไปมาอย่างสงสัย
อาจเป็นเพราะ ‘คอร์สฝึกสาวบริการ’ และเวลา 3 ปีที่อยู่แต่ในซ่อง ความนึกคิดของเธอก็เลยผิดไปจากคนปกติ… เผลอๆ อาจจะหนักกว่าวาห์นเสียอีก
เธอตอบกลับมาด้วยสีหน้าปกติสุดๆ
“การที่คนสองคนรักกันมันไม่ใช่เรื่องเสียหายตรงไหนเลยนี่คะ
ฉันเองก็อยากจะลองดูสักครั้งเหมือนกัน… ถ้าหากว่าคุณวาห์นไม่ติดอะไร~”
พอพูดถึงส่วนหลัง ฮารุฮิเมะยังได้เอามือขึ้นมาแนบแก้มสีแดงระเรื่อและหัวเราะแบบแปลกๆ เป็นการปิดท้ายอีกต่างหาก
หลังจากได้ยินบทสนทนาดังกล่าว ฝันร้ายที่สุดของวาห์นก็เป็นจริงขึ้นมาจนได้
“…เฟนเรียร์รักวาห์น?”
มันเป็นคำพูดลอยๆ ที่ดูคล้ายคำถามสำหรับตัวคนพูด วาห์นจึงไม่แน่ใจว่าจะตอบยังไงดี ทว่าสุดท้ายเฟนเรียร์ก็สรุปมันได้เอง
“ใช่ๆ เฟนเรียร์รักวาห์น!”
เด็กสาวหุบกรงเล็บเข้าออกหลายครั้งด้วยความตื่นเต้น ก่อนจะแหงนหน้ามองผู้เป็นนาย
“วาห์นรักเฟนเรียร์มั้ย~?”
วาห์นรู้สึกเหมือนตัวเองเพิ่งจะวิ่งพุ่งชนกำแพงด้วยความเร็วสูงสุดไปหมาดๆ
เขารู้ว่าการตอบ ‘ใช่’ ก็คือการเดินเหยียบกับระเบิดดีๆ นี่เอง แต่การตอบ ‘ไม่’ นี่… คือการต้องเดินฝ่าทุ่งระเบิดทั้งสนามที่ไม่รู้ว่าจะโดนเมื่อไหร่ หรือต้องโดนกี่อัน
การคิดนานเกินก็ไม่ใช่ตัวเลือกเช่นกัน เพราะทุกวินาทีที่เสียไป แววตาสีแดงสดก็ยิ่งสว่างไสวขึ้นเรื่อยๆ
เขาเห็นกรงเล็บที่เริ่มยาวจนผิดสังเกต ดังนั้นสิ่งเดียวที่ทำได้ก็คือใช้มือลูบหัวของเด็กสาวพร้อมเอ่ยคำตอบที่แย่น้อยกว่า
“วาห์นก็รักเฟนเรียร์เหมือนกัน…”
เฟนเรียร์พยายาม ‘ยิ้มแย้ม’ อย่างดีที่สุดขณะวิ่งไปหาฮารุฮิเมะพร้อมตะโกนเสียงดัง
“ฮารุฮิเมะ สอนรักให้เฟนเรียร์หน่อย!”
แต่ก่อนที่เรนาร์ดสาวจะได้สาธยายแบบหมดเปลือก เธอก็โดนมิโคโตะลากไปเก็บชั่วคราว ในขณะที่มิลานรีบก้าวออกมาอุ้มเฟนเรียร์ไว้ในอ้อมแขน
วานากานดร์น้อยค่อนข้างหงุดหงิดและดิ้นไปมาไม่หยุด แต่ในที่สุดคุณแม่ผู้มากประสบการณ์ก็กล่อมเธอจนอยู่หมัด
“เฟนเรียร์จำได้เหรือเปล่าว่าต้องขยันเรียนให้จบก่อนนะ จะผิดสัญญาที่ให้ไว้แล้วเหรอ~เมี๊ยว?”
คำพูดนั่นทำให้เฟนเรียร์มองวาห์นสลับกับฮารุฮิเมะไปมาอยู่หลายครั้งก่อนที่เธอจะยอมอยู่นิ่งๆ และปล่อยให้มิลานกล่อมต่อ
ทุกคนมักพร่ำบอกว่าเธอต้องขยันเรียนให้มากๆ จะได้โตขึ้นมาเป็นคนดีและไม่สร้างปัญหาให้คนรอบข้าง
เธอให้สัญญากับมิลานและทีน่าว่าจะพยายามอย่างหนัก ส่วนเป้าหมายที่วางไว้ก็คือการอ่านหนังสือให้จบทั้งเล่มและเขียนรายงานสรุปส่ง
หากทำออกมาได้ดี มิลานบอกว่าจะสอนเรื่อง ‘ความเป็นผู้ใหญ่’ ให้กับเธอเอง
กลิ่น ‘ตื่นเต้น’ บวกกับคำพูดของฮารุฮิเมะทำให้เฟนเรียร์ลืมสัญญาที่ให้ไว้ไปซะสนิทเลย นั่นยิ่งทำให้เธอรู้สึกแย่หนักกว่าเดิมเป็นเท่าตัว ทว่าดูเหมือนเธอจะเข้าใจอะไรบางอย่างก่อนจะหันไปทางคู่แฝด
“พวกเธอก็ต้องเรียนด้วย อย่ามาโกงเฟนเรียร์นะ….”
ทั้งสองจ้องมองฉากตรงหน้าอย่างสนใจมาโดยตลอดและรู้ความหมายของกลิ่นที่ติดตัววาห์นเป็นอย่างดี
หลังจากโดนเฟนเรียร์แว้งกัดทีเผลอ เอมิรุกับมาเอมิจึงต้องหันไปอีกทางเพื่อหลบสายตาสีแดงเปล่งประกาย
นอกจากจะมีศักดิ์เป็นถึง ‘รุ่นพี่’ ในแฟมิเลียแล้ว เฟนเรียร์ยังเป็นผู้สอนอ่านเขียนให้อีกด้วย แน่นอนว่าทั้งสองไม่มีทางปฏิเสธเด็กสาวได้เลย
“แน่นอนค่ะ…”, “เข้าใจแล้วค่ะ…”
ปกติแฝดคู่นี้มักจะตอบเป็นเสียงเดียวกัน แต่ดูเหมือน ‘เรื่องฉาวแต่เช้า’ คงทำให้สายสัมพันธ์ดังกล่าวไม่ทำงานเป็นการชั่วคราว
วาห์นรู้สึกว่าวันนี้ตัวเองพลาดตั้งแต่ก้าวเดินออกจากห้อง เขาจึงได้แต่มองมาทางรองกัปตันแบบเพลียๆ
ราวกับเข้าใจในสิ่งที่กัปตันของเธออยากเอ่ยถาม ริวก้มหัวเล็กน้อยก่อนพูดมันขึ้นมาเอง
“ต้องขออภัยด้วย ฉันเองก็ลืมคิดเรื่องจมูกของคนอื่นไปเหมือนกัน
ถ้ากัปตันจะไปล้างตัว เดี๋ยวทางนี้ฉันดูแลเองค่ะ”
วาห์นจะไปโทษริวก็ไม่ถูก เพราะสุดท้ายทุกอย่างก็เกิดขึ้นจากความเลินเล่อของเขาเอง
“โทษทีนะริว งานนี้ฉันไม่ระวังเอง
ไม่ต้องมาขอโทษอะไรหรอก… แต่ขอตัวสักครึ่งชั่วโมงละกันนะ”
ขณะกำลังเดินออกจากลานฝึก สายตาทุกคู่ต่างก็จับจ้องมาที่แผ่นหลังของวาห์นด้วยสีหน้าหลากหลายแบบ
แม้แต่ริวเองยังหรี่ตาเล็กน้อยพร้อมกับพึมพำเสียงเบาจนแม้แต่เฟนเรียร์เองยังไม่ได้ยิน
“…เรื่องนี้ยังไงก็ต้องเกิด ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้นเอง
ส่วนตัวแล้วฉันว่ายิ่งเร็วก็ยิ่งดีนะ ที่แน่ๆ ทุกคนจะได้ตั้งใจฝึกกันมากกว่าเดิม…”
ริวพยายามคำนึงถึงทุกเรื่องที่เกี่ยวกับวาห์น ทั้งสกิล [โพรมีธีอุส] ทั้งเรื่องผู้หญิงคนอื่นที่จะเข้ามามีบทบาทในชีวิตของเขา
เรื่องเมื่อกี้ก็เป็นสิ่งที่เธอเจตนาเช่นกัน แต่ทุกอย่างก็เพื่อความสุขของตัวเขาเอง
วาห์นจะรู้สึกปลอดภัยก็ต่อเมื่อผู้หญิงทุกคนแข็งแกร่งพอที่จะปกป้องตัวเองได้โดยไม่ต้องพึ่งพาเขาจนเกินเหตุ
ตอนนี้เมล็ดได้ถูกหว่านลงไปแล้ว ริวจึงอยากดูแลอย่างใกล้ชิดไปอีกพักหนึ่งเพื่อความแน่ใจ
เพราะครั้งนี้เธอต้องหลอกใช้ประโยชน์จากวาห์นอยู่บ้าง ริวจึงสาบานกับตัวเองในใจว่าจะชดเชยให้เขาอย่างแน่นอน…
เพราะเขาอาบน้ำคนเดียว วาห์นจึงล้างตัวเสร็จก่อนที่พวกสาวๆ จะเริ่มกันเสียอีก
ความรู้สึกที่ได้จากน้ำร้อนๆ ยังคงแผ่ซ่านไปทั่วร่างกายแม้ว่าเขาจะใช้ [หัวใจของเพลิงนิรันดร์] ซ้อนเอาไว้ก็ตาม
วาห์นเดินกลับไปที่ห้องก่อนจะลงไปนอนเล่นที่เตียงเหมือนเช่นทุกวัน
เขาคิดเรื่องผ่อนคลายซ้ำไปซ้ำมาในหัวจนเริ่มรู้สึกง่วงขึ้นมาจริงๆ และอยากเข้านอนเร็วกว่าปกติ
เกือบครึ่งชั่วโมงต่อมา วาห์นสัมผัสได้ว่าพวกสาวๆ เริ่มแยกกันและกลับไปที่ห้องของตัวเองแล้ว
พอเห็นฮารุฮิเมะเดินกลับห้องพร้อมมิโคโตะ วาห์นจึงถอนหายใจโล่งอกเพราะคิดว่าคืนนี้คงไม่มีจิ้งจอกแอบย่องเข้ามาในห้อง
มิลานกับทีน่าอยู่ในห้องของพรีเซียและเฟนเรียร์ ส่วนริวก็กลับไปที่ห้องของเธอเอง
วาห์นรู้สึกเศร้าเล็กน้อยเพราะเขาอยากจะใช้เวลาร่วมกับเอลฟ์สาวให้มากกว่านี้อีกหน่อย
พวกเขาพัฒนาไปถึงขั้นที่อาบน้ำด้วยกันได้แล้ว เรื่องนอนเตียงเดียวกันจึงเป็นสิ่งที่วาห์นคาดหวังอยู่บ้าง
ตอนนี้คู่แฝดก็เดินกลับห้องของพวกตนเป็นที่เรียบร้อย ดังนั้นเราก็จะเหลือผู้โชคดีรายสุดท้าย…
ออร่าขนาดใหญ่กำลังตรงเข้ามาเรื่อยๆ โดยเดินเบี่ยงมาทางด้านซ้าย วาห์นจึงค่อนข้างมั่นใจว่าเธอกำลังมาที่นี่
เพราะห้องของทั้งคู่อยู่ฝั่งตรงข้ามกัน หากต้องการกลับห้องของตัวเองเฉยๆ เธอก็จะเลือกเดินเบี่ยงไปทางขวาแทน
และแล้วก็เป็นไปตามคาด เฮสเทียเดินมาเปิดประตูห้องของเขาก่อนจะเดินเข้ามาแบบไม่ให้ซุ่มให้เสียง
เฮสเทียรู้เรื่องสกิลสัมผัสออร่าของวาห์นดี เธอจึงเลิกเคาะประตูหรืออะไรทำนองนั้นมาตั้งนานแล้ว อีกอย่างเจ้าของห้องเองก็ไม่เคยว่าอะไรสักคำด้วยสิ
หลังจากถอดถุงมือ ริบบิ้น และที่รัดผมออก เฮสเทียก็คลานขึ้นมาบนเตียงและซุกเข้ากับแผงอกกำยำ
วาห์นเข้าสวมกอดร่างเล็กอย่างนุ่มนวลเหมือนเช่นทุกครั้ง
นอกเหนือจากคืนที่มีคนอื่นมานอนด้วย เฮสเทียก็จะนอนที่ห้องของวาห์นจนมันกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว
ขณะที่วาห์นกำลังผ่อนคลาย เขาก็ได้ยินเสียงกระซิบเบาๆ
“ราตรีสวัสดิ์นะวาห์น…”
หลังรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างมาสัมผัสแก้ม เขาจึงหันกลับไปมองเฮสเทียที่กำลังหลับตาลงและพาดหัวไปกับร่องไหล่
วาห์นรู้สึกว่าเทพตัวเล็กดูสงบเสงี่ยมยิ่งกว่าทุกวันก็เลยเข้าใจว่าเธอคงอยากให้เขาพักผ่อนจริงๆ
เฮสเทียน่าจะละเมอและปีนขึ้นมาบนตัวของเขาเหมือนเดิม แต่วาห์นก็ดีใจที่เห็นว่าอีกฝ่ายคงพยายามเต็มที่แล้ว
มันเป็นการย้ำเตือนเรื่องที่เขาควรผ่อนคลาย ดังนั้นวาห์นจึงหยุดคิดเรื่องต่างๆ และกลับไปนอนต่ออีกครั้ง
—
วาห์นเป็นพวกที่สะดุ้งตื่นง่าย แต่ถ้าเป็นสิ่งที่เขาคาดไว้แล้ว (เช่นการถูกปีนป่ายโดยคนใกล้ตัว) เขาก็จะนอนต่อไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น นั่นเป็นการเปิดโอกาสให้เฮสเทียขยับขึ้นมาจ้องอีกฝ่ายด้วยสีหน้าครุ่นคิด
ดวงตาสีฟ้าฉายแววเปล่งประกายขณะที่เธอลูบไล้ใบหน้าอย่างหลงใหล
เด็กหนุ่มคนนี้มักจะระวังตัวอยู่ตลอดเวลา ยกเว้นแค่ตอนนอนนี่แหละ
เหตุผลเดียวที่เป็นแบบนี้ก็เพราะว่าวาห์นเชื่อใจเธอมาก นั่นทำให้เฮสเทียยิ่งสุขใจยิ่งกว่าเดิม
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เฮสเทียก็ลงมาคร่อมร่างของวาห์นและจ้องมองเขาจากด้านบน
เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนที่เสื้อผ้าจะเริ่มสลายกลายเป็นกลีบดอกและออกไปเรียงกันอยู่รอบเตียง
ตอนนี้เฮสเทียกำลังนั่งอยู่บนหน้าท้องของวาห์นแบบไม่เหลืออะไรเลยนอกจากกางเกงในเพียงชิ้นเดียว
เธอไม่ค่อยแน่ใจว่าตัวเองต้องการทำอะไรต่อ แต่ที่แน่ๆ ก็คืออยากใกล้ชิดกับวาห์นให้มากที่สุด
เวลาส่วนตัวของทั้งสองกำลังหดสั้นลงเรื่อยๆ เฮสเทียจึงตัดสินว่าถึงเวลาแล้วที่เธอต้องก้าวสู่ขั้นต่อไป
บรรยากาศด้านนอกและในห้องนั้นค่อนข้างหนาวเย็นซึ่งต่างจากความร้อนที่แผ่ออกมาจากร่างกายของวาห์นอย่างสิ้นเชิง
ยิ่งให้ความสนใจกับไออุ่นมากเท่าไหร่ ความรู้สึกหวิวๆ ในช่องท้องของเฮสเทียก็ยิ่งเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
เรื่องเดียวที่เธอรู้สึกเสียดายก็คือลืมบอกให้วาห์นถอดเสื้อก่อนเข้านอน
ถึงเนื้อผ้าจะบางมาก แต่มันก็ทำให้ผิวพรรณแสนละเอียดอ่อนรู้สึกระคายเคืองอยู่ดี
เฮสเทียไม่ได้คิดจะปลุกวาห์นตั้งแต่แรกแล้ว แต่เทพตัวเล็กก็อดสงสัยไม่ได้ว่าเขาจะตอบสนองอย่างไรหากตื่นขึ้นมาเห็นเธอในสภาพนี้
วาห์นไม่ใช่พวกที่เอาช่วงล่างมาใช้แทนสมอง เรื่องนี้ทุกคนรู้ดี แต่เฮสเทียก็ยังแอบหวังลึกๆ ว่าเขาจะตื่นขึ้นมา… และเข้าจู่โจมเธออย่างป่าเถื่อน
‘…เห้อ’
เรื่องนี้เฮสเทียควรโทษตัวเองที่รู้สึกลังเลมาโดยตลอด แต่อีกใจหนึ่งก็อยากโบ้ยความผิดให้เด็กหนุ่มที่เป็นห่วงเธอมากจนเกินเหตุ… มากจนไม่กล้าก้าวข้ามเส้นบางๆ ที่เธอขีดเอาไว้
20 นาทีต่อมา เฮสเทียก็ต้องยอมแพ้เพราะรู้ว่าตัวเองไม่กล้าเป็นฝ่ายไปปลุกวาห์นก่อนแน่นอน เธอได้แต่นอนพิงร่างกำยำเหมือนปกติขณะพยายามสงบหัวใจของตัวเอง
พอไออุ่นแผ่ซ่านไปทั่วเรือนร่าง สติก็ค่อยๆ พร่าเลือนและขาดหายไปในที่สุด
—
ขณะที่หลับอยู่ วาห์นรู้สึกว่าตัวเองกำลังล่องลอยอยู่ในบรรยากาศอบอุ่นโดยมีออร่าสีชมพูห่อหุ้มไปทั่ว
มันเป็นความรู้สึกที่สุขสบาย ละมุนละไม และทำให้สมองผ่อนคลายสุดๆ
น้อยครั้งมากที่วาห์นจะฝันแบบนี้ มันจึงเป็นประสบการณ์แปลกใหม่ที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน
เขาสงสัยจริงๆ ว่าออร่าสีชมพูนี่คืออะไรและมาจากไหนกันแน่
พอดูจนแน่ใจแล้วว่ามันไม่ได้เป็นภัยคุกคาม วาห์นจึงปล่อยให้มันกระจายออกไปทั่ว…
เขาอยู่แบบนั้นต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งออร่าดังกล่าวจางหายไปเป็นจำนวนมาก
วาห์นรู้สึกเศร้า ราวกับตัวเองเพิ่งสูญเสียบางอย่างที่สำคัญมากไป
เขาจ้องมองออร่าที่หลงเหลืออยู่ ก่อนจะหลับตาและเข้าสู่โหมดสมาธิ
สิ่งที่ปรากฏออกมาก็คือถ้อยคำทั้งเก้าที่ดูเลือนลางมาก และไม่ว่าจะพยายามมากแค่ไหน ถ้อยคำดังกล่าวนั้นกลับไม่มีทีท่าว่าจะเด่นชัดขึ้นเลย…
วาห์นเริ่มรู้สึกเหมือนหัวใจกำลังถูกบีบคั้นเมื่อเวลาล่วงเลยไปอีกพักใหญ่ๆ
นั่นตามมาด้วยความสั่นสะท้านอย่างรุนแรงจนเขาต้องเปิดตาขึ้นและพบว่าออร่าสีชมพูยังคงวนเวียนไปรอบๆ โลกแห่งความฝัน
สัญชาติญาณบอกให้เขายกหัวขึ้นมาทดลองสูดดมมัน และทันทีที่ทำแบบนั้น สมองก็รู้สึกเหมือนถูกกระแทกอย่างรุนแรง
มันเป็นกลิ่นไอที่หอมหวลเกินจะบรรยายแต่กลับให้ความคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด ราวกับเป็นสิ่งลึกลับที่คอยวนเวียนอยู่รอบตัวมาโดยตลอด
ถึงจะกังวลอยู่บ้าง แต่เขาก็สูดดมมันต่อเพื่อสืบให้ได้ว่านี่มันกลิ่นของอะไรกันแน่…
—
เมื่อวาห์นได้สติในเช้าวันถัดมา เขารู้สึกว่าหัวใจเต้นเร็วกว่าปกติแถมกลิ่นที่อยู่ในความฝันก็ยังลอยมาแตะจมูกอยู่เรื่อยๆ
แต่เพราะตื่นแล้วนี่แหละ เขาเลยเริ่มจระหนักว่ามันคือกลิ่นอะไร
กลิ่นดังกล่าวนั้นลึกล้ำ รุนแรง คล้ายกับกลิ่นของน้ำผึ้งผสมมะนาวอ่อนๆ
เมื่อลืมตาขึ้นมา สิ่งที่วาห์นต้องทำเป็นอย่างแรกเลยก็คือกลืนน้ำลาย 2-3 อึก
เขาไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง แต่ดูเหมือนว่าเมื่อคืนเฮสเทียคงนอนละเมอและหันตัวกลับไปอีกด้าน
สิ่งที่อยู่ห่างใบหน้าของเขาไปเพียงไม่กี่นิ้ว… แน่นอนว่ามันก็คือกลีบดอกไม้หอมหวนที่ถูกกั้นด้วยเนื้อผ้าสีขาวบาง
หัวใจของเขาเริ่มเต้นเร็วยิ่งกว่าเดิม เพราะตอนนี้คงไม่ต้องพิสูจน์หรือสืบหาอะไรแล้ว
มันอาจจะไม่ทรงพลังเท่ากับกลิ่นอายของเฮเฟสตัส แต่ทุกอย่างกลับดูน่าดึงดูดไปหมด ทั้งตัวกลิ่นเอง ออร่าสีสมพูรอบๆ บั้นท้ายได้รูป หรือแม้แต่ของเหลวเล็กน้อยที่ซึมออกมาจากจุดซ่อนเร้น…
ที่แย่ไปกว่านั้น เพราะเขามักกอดเฮสเทียตอนนอน ตอนนี้วาห์นเลยอยู่ในท่าที่กำลังกอดเอวของเธอไว้อย่างเคยชิน เป็นท่าที่ทำให้กางเกงในตัวจิ๋วมากองอยู่ตรงปลายจมูกพอดี
เขาไม่แน่ใจว่าเฮสเทียตื่นนานหรือยัง แต่ตอนนี้วาห์นมองเห็นออร่าสีชมพูสว่างไสวของเทพตัวเล็กได้อย่างชัดเจน
เมื่อคืนเธอคงจะพยายามทำบางอย่างเพื่อยั่วเขาซึ่งดูท่าจะได้ผลอยู่บ้าง
อย่างน้อยมันทำให้วาห์นรู้สึกเขินๆ พร้อมกับความตื่นเต้นที่เพิ่มขึ้นทีละนิด
หากจะออกมาแก้ต่างทีหลังว่านอนละเมอจนมาอยู่ในสภาพนี้ บอกตรงๆ ว่าเขาไม่มีทางเชื่อแน่นอน
ส่วนตัวแล้วเขาไม่เคยเห็นผู้หญิงจากมุมนี้มาก่อน และมันก็เป็นภาพที่เย้ายวนอย่างประหลาด
ความนุ่มนิ่มของเฮสเทียทำให้วาห์นอยากลองยืนหน้าออกไปอีกแล้วดูว่าเธอจะยังเนียนนอนต่อได้อีกหรือเปล่า
ทุกอย่างอยู่ใกล้มากจนเขาแทบไม่ต้องขยับเลยด้วยซ้ำ…
พอเขาถอนหายใจออกไปเล็กน้อย ร่างเล็กและออร่ารอบๆ ก็สั่นไหวตามทันที
นับเป็นเสี้ยววินาทีที่กองไฟสีชมพูหดเล็กลง แต่แล้วมันก็ขยายใหญ่ขึ้นและเผาไหม้รุนแรงยิ่งกว่าเดิม
เมื่อขยับมือเล็กน้อย วาห์นก็ตระหนักว่ารอบนี้มันผิดปกติจริงๆ
จากมุมมองที่เห็นในตอนแรก เขาจึงไม่รู้มาก่อนว่าเฮสเทียนั้นไม่ได้ใส่อะไรเลยนอกจากกางเกงในเพียงตัวเดียว
ความร้อนจากผิวหนังที่สัมผัสได้ตรงฝ่ามือยิ่งทำให้เขามั่นใจเรื่องที่ ‘กำลังโดนยั่ว’ ขึ้นไปอีก
วาห์นรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังอยู่บนหน้าผาที่ไม่รู้ว่าจะโดดออกไปหรือหันหลังกลับดี แต่ยังไงซะ เขาก็จะไม่ทิ้งให้เฮสเทียค้างเติ่งอยู่แบบนี้แน่นอน
เพราะเธอคงใช้ความพยายามอย่างมากกว่าจะมาอยู่ในสภาพนี้… กระแสของออร่าสื่อได้ความว่าเฮสเทียกำลัง ‘ฝืนตัวเองอยู่ แต่ก็ยังไม่ยอมแพ้ง่ายๆ’
เพื่อตอบรับความกล้าหาญครั้งนี้ วาห์นสวมกอดเอวของเฮสเทียให้แน่นขึ้นราวกับกำลังดึงให้มันเข้ามาใกล้กว่าเดิม พร้อมกับยื่นให้จมูกไปแตะกับเนื้อผ้าบ้าง
เขารู้สึกได้ถึงความชื้นตรงปลายจมูกกับเสียงหัวใจของเฮสเทียที่ส่งผ่านจากหน้าอกขนาดยักษ์มาสู่หน้าท้องของเขา
ออร่าของเธอดูสับสนวุ่นวายไปหมด แต่มันก็ยังคงลุกไหม้เป็นสีชมพูขณะที่วาห์นสูดหายใจเข้าลึกๆ
ในจังหวะที่เขาเริ่มทำแบบนั้นจนกระทั่งตอนปล่อยมันออกมา วาห์นรู้สึกว่าสมองของตัวเองเริ่มหลอมละลายไปกับกลิ่นที่กระตุ้นให้เกิดความตื่นเต้น
ตามปกติแล้ววาห์นสามารถควบคุมสภาพร่างกายได้เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ครั้งนี้มันออกจะ ‘อยู่เหนือการควบคุม’ ไปหน่อย
จากอีกด้านหนึ่ง เฮสที่เทียเริ่มมีน้ำตาซึมให้เห็นพยายามกัดริมฝีปากล่างของตัวเองและหายใจถี่ขึ้นเรื่อยๆ
เธอเตรียมใจรับการตอบสนองของวาห์นเอาไว้แล้ว แต่ทุกอย่างกลับพังไม่เป็นท่าเมื่อเขาเริ่มสูดดมแบบจริงจัง
ยิ่งพอโดนสูดแบบแรงๆ เธอก็ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว
ใบหน้าสีแดงก่ำยิ่งแดงหนักกว่าเดิมเมื่อดวงตาสีฟ้าไปสบเข้ากับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
ถึงจะได้ยินข่าวลือมาบ้าง แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่เฮสเทียได้เห็น ‘เสากระโดงเรือ’ ในกางเกงของวาห์นแบบเต็มสองตา
ความหวาดหวั่นเริ่มเกาะกุมจิตใจของเทพตัวเล็ก แต่มันก็ยังไม่อาจเอาชนะความเด็ดเดี่ยวได้ในทันที
เฮสเทียได้ยินมาจากฮารุฮิเมะว่านี่เป็น ‘ท่วงท่า’ ที่ทั้งผู้หญิงและผู้ชายต่างโปรดปราน
ข้อดีอีกอย่างของท่านี้ก็คือการที่ไม่ต้องหันไปสู้หน้าวาห์นอาจจะช่วยบรรเทาความเขินของเธอลงไปได้บ้าง
ตอนนี้เธอทำให้เขา ‘ลุกฮือ’ ได้แล้ว เฮสเทียจึงดึงเอาความมั่นใจทั้งหมดออกมาก่อนจะค่อยๆ ยืนมือออกไปดึงกางของวาห์นลง
การถูกปลดปล่อยแบบไม่ทันตั้งตัวทำให้วาห์นต้องเบิกตากว้างพร้อมหายใจแรงขึ้นอีก และยิ่งเขาสูดดมกลิ่นของเฮสเทียมากเท่าไหร่ ความตื่นเต้นในร่างกายก็ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น
ตอนแรกเขาไม่ได้ตั้งใจจะเครื่องติดเลยด้วยซ้ำ พอมันเกิดติดขึ้นมาจริงๆ สิ่งต่อไปที่คิดไว้คือเฮสเทียต้องรีบชิ่งหนีแน่นอน แต่นี่มันกลับผิดคาดไปหมด!
ชั่วอึดใจต่อมา วาห์นสัมผัสได้ว่ามีมือเล็กๆ มาจับตรงฐานแข็งชัน ลมหายใจของเขายิ่งรุนแรงขึ้นจนร่างของเฮสเทียส่ายขึ้นลงตามจังหวะ
ของที่อยู่ตรงหน้าทำให้เทพตัวเล็กรู้สึกกังวลสุดขีด แต่ถ้าจะให้ถอยตอนนี้ก็คงไม่ทันแล้ว เธอจึงเริ่มตรวจสอบมันด้วยสายตาอย่างละเอียด
นิ้วเรียวเล็กค่อยๆ ขยับไปมาก่อนจะพยายามวัดความหนาของสิ่งที่อยู่ในมือ
หัวใจของเฮสเทียยิ่งเตลิดหนักกว่าเดิมเพราะนิ้วชี้ของเธอแทบจะแตะปลายนิ้วโป้งไม่ถึงอยู่แล้ว!
หากไม่ใช่เพราะรู้ว่ามีคนเคยลองมาก่อน เธอคงไม่เชื่อแน่ๆ ว่าเจ้าสิ่งนี้จะเข้าไปอยู่ในตัวผู้หญิงได้
‘ร่างกายของเทพธิดาต้องทนได้สิ… มั้งนะ’ คือสิ่งที่เธอพยายามพร่ำบอกกับตัวเองในใจ
หลังจากครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง เฮสเทียก็เริ่มทำตามขั้นตอนที่ฮารุฮิเมะแนะนำ โดยเริ่มจากการยกตัวขึ้นเล็กน้อยโดยพิงแขนไปกับเอวของวาห์น
จากด้านหลัง วาห์นกำลังเฝ้ามองแผ่นหลังเล็กๆ ของอีกฝ่ายด้วยความสนใจ
นี่เป็นสิ่งที่วาห์นไม่เคยบอกใครมาก่อน แต่เขาเคยเห็นท่วงท่าแบบนี้มาบ้างแล้วในระหว่างที่ออกตามหาฮารุฮิเมะ
อย่างเดียวที่คิดออกคือเฮสเทียคงไปเรียนอะไรมาจากเรนาร์ดสาวอย่างแน่นอน แต่วาห์นเองก็ไม่แน่ใจว่าเธอจะไปต่อได้อีกสักกี่น้ำ
เฮสเทียสัมผัสได้ว่าร่างกายกำลังขยับไปตามลมหายใจของวาห์น ความร้อนที่เขาปล่อยออกมานั้นทำให้ส่วนล่างของเธอสั่นสะท้านไปหมด
เธอรู้ว่าเขากำลังรู้สึกตื่นเต้นเช่นกัน หัวใจที่ยังกล้าๆ กลัวๆ จึงส่งคำสั่งมาที่สมองว่า ‘จะทำอะไรก็รีบๆ ทำเข้า’
เฮสเทียเริ่มจากการใช้มือปาดผมออกไปด้านข้าง ก่อนจะค่อยๆ ลดศีรษะลงจนเกือบติดส่วนปลายที่ดูแข็งกร้าว
ทว่าความลังเลเพียงชั่วครู่กลับทำให้ริมฝีปากบางหยุดกึกลงทันที ทั้งๆ ที่อีกเพียงไม่กี่มิลลิเมตรก็จะได้สัมผัสกันอยู่แล้ว
เฮสเทียเกิดเปลี่ยนใจกระทันหันและเริ่มสานมันต่ออีกครั้งด้วยการใช้ลิ้นเลียตรงส่วนปลายเพื่อทดสอบรสชาติก่อน
สิ่งที่ติดลิ้นกลับมาคือความเค็มปะแล่มๆ ทว่าเฮสเทียก็ยังต้องกลืนน้ำลายขณะที่หัวใจเต้นจนแทบจะระเบิดออกมาด้านนอก
เจ้า ‘ความเค็ม’ นี่เองที่ทำให้น้ำลายของเธอเอ่อล้นหนัดกว่าปกติ เพราะยังไงซะ เรื่องน้ำลายไหลกับเฮสเทียก็เป็นของคู่กันอยู่แล้ว
ประเด็นอยู่ที่ว่ามันไหลออกมามากเกินจน ‘หก’ ใส่สิ่งที่อยู่ด้านล่างนี่แหละ… เฮสเทียมองตามจุดที่มันตกลงไปและรู้สึกทั้งอายทั้งเครื่องติดไปพร้อมๆ กัน
เทพตัวเล็กเริ่มโลมเลียส่วนปลายของวาห์นโดยไม่รั้งรออะไรอีกแล้ว ขณะเดียวกันเธอก็พยายามไม่สนใจความรู้สึกอึดอัดที่อยู่ภายใน
หากไม่นับตอนที่เฮเฟสตัส ‘จูบทักทาย’ นี่ก็ถือเป็นครั้งแรกที่มีผู้หญิงมาทำอะไรแบบนี้ให้กับวาห์น
ความเปียกชื้น ความร้อน และรสสัมผัสของลิ้น ทำให้ขาของเขาสั่นนิดๆ โดยเฉพาะช่วงจังหวะที่เฮสเทียกดลึกที่สุด มันเป็นความรู้สึกที่ดีแต่ก็หงุดหงิดอย่างน่าประหลาด อาจเป็นเพราะเฮสเทียเอาแต่ทำแบบเดิมซ้ำไปเรื่อยๆ เพียงอย่างเดียว?
เพราะรู้ว่าเธอไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อน วาห์นจึงเลือกที่จะรูดซิบปากและคิดว่าเขาเองก็ควรทำอะไรบ้าง
เรียวขาที่อ้าออกจากกันทำให้การถอดปราการชิ้นสุดท้ายออกไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดายนัก
แทนที่จะพยายามฝืนถอดมัน วาห์นกลับเอื้อมมือออกไปและใช้นิ้วโป้งเกี่ยวมันไว้ด้านข้างแทน
ลมหายใจร้อนๆ ที่เข้าสัมผัสกับผิวเปลือยเปล่าทำให้เฮสเทียหยุดสิ่งที่กำลังทำอยู่ทันที
วาห์นไม่ได้พูดอะไรและเอาแต่จ้องมองเนินสีขาวกับของเหลวที่ไหลออกมาจากร่องลึกตรงหน้า และราวกับมันกำลังเคลื่อนไหวตามจังหวะการหายใจของเฮสเทีย ร่องลึกนั่นคอยเปิดปิดอยู่เรื่อยๆ จนเขาได้เห็นสิ่งอยู่ภายในแบบวับๆ แวมๆ
ไม่นานสติของเฮสเทียก็กลับมาอีกครั้ง เธอตัดสินใจทำสิ่งที่ค้างคาเอาไว้ต่อโดยปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปตามธรรมชาติ
วาห์นเผยรอยยิ้มเล็กๆ ขณะใช้นิ้วโป้งทั้งสองแหวกร่องปริศนานั่นออกและจ้องมองเข้าไปในกำแพงที่ทั้งเปียกชื้นและกลายเป็นสีชมพูระเรื่อ
เขาสังเกตุเห็นเม็ดตุ่มชูชันที่อยู่ตรงปลายสุด แต่ก็ตัดสินใจว่าจะปล่อยมันไปก่อน ขณะเริ่มนำลิ้นไปสัมผัสกับจุดซ่อนเร้นของผู้หญิงเป็นครั้งแรก
อย่างแรกที่เขาสัมผัสได้ก็คือของเหลวที่ออกมานั้นแตกต่างไปจากตัวกลิ่นอย่างสิ้นเชิง
มันหวานคล้ายน้ำผึง แต่ก็ให้รสที่จัดกว่านั้น เป็นสิ่งที่ยากจะบรรยายออกมาเป็นคำพูด
เฮสเทียเริ่มไม่แน่ใจว่าหากตัวเองไม่ใช่เทพ หัวใจของเธอจะทนรับแรงกระตุ้นที่รุนแรงขนาดนี้ได้มากน้อยแค่ไหน
ความอยากรู้อยากเห็นทำให้เธอลองทำมันด้วยตัวเองมาบ้างแล้ว แต่ที่โดนอยู่นี่มันคนละเรื่องกันเลย!
สิ่งที่เธอทำก็แค่เล่นตรงส่วนรอบนอกและสัมผัสตุ่มแข็งชันเล็กน้อยเท่านั้นเอง
สัมผัสที่ได้รับในตอนนี้คือความเสียวซ่านปนจั๊กจี้เล็กน้อย แถมมันยังทำให้กล้ามเนื้อหน้าท้องของเธอหดตัวทุกครั้งที่ภายในถูกบุกรุก
เทพตัวเล็กพยายามบรรเทาความรู้สึกด้วยการใช้มือทั้งสองข้างจับอาวุธของวาห์นและเลียตรงส่วนปลายให้แรงยิ่งกว่าเดิม
แต่ไม่ว่าจะพยายามมากแค่ไหน เฮสเทียก็เริ่ตระหนักแล้วว่านี่เป็นศึกที่เธอไม่อาจเอาชนะได้
เพราะขาดประสบการณ์ในหัวข้อดังกล่าว เธอจึงไม่รู้ว่าควรทำยังไงต่อและได้แต่ปล่อยให้วาห์นทำลายแนวป้องกันไปเรื่อยๆ โดยไม่อาจขัดขืนได้เลย
สิ่งที่วาห์นทำไม่ใช่แค่การเลียเท่านั้น แต่เขากำลัง ‘ลิ้มรส’ ภายในพร้อมใช้ลิ้นกดตามส่วนต่างๆ เพื่อดูว่าเธอจะตอบสนองยังไงบ้าง
ทุกครั้งที่เธอเกร็งจนผิดสังเกต วาห์นก็จะใช้ลิ้นจี้ตรงบริเวณนั้นก่อนจะโยกหัวเบาๆ
ตอนนี้เฮสเทียทำอะไรไม่ได้ทั้งสิ้นนอกจากถอยทัพและฟุบหน้าลงกับท้องน้อยของเขา
เธอทำได้แค่ใช้ลิ้นเลียตรงส่วนที่หน้าฟุบลงและปล่อยให้ร่างกายตกอยู่ภายใต้การทรมานจาก ‘ความกระตือรือร้น’ และความอยากรู้อยากเห็นของวาห์น
7 นาทีให้หลัง วาห์นที่ยังเมามันอยู่กับการสำรวจส่วนต่างๆ เริ่มสัมผัสได้ว่าของเหลวมีปริมาณมากขึ้น ขณะที่ผนังภายในก็ดิ้นไปมาไม่หยุด
เขารู้จากประสบการณ์ว่านี่เป็นสัญญาณเตือนเมื่อผู้หญิงใกล้ถึงจุดสุดยอดและตัดสินใจที่จะรุกหนักยิ่งกว่าเดิม
ในเสี้ยววินาทีนั้นเอง เฮสเทียที่ยังไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ก็กลับมาประจำที่และเริ่มเข้าโรมรันกับอสูรร้ายอีกครั้ง
วาห์นคิดว่าถึงเวลาที่ต้องปิดเกมนี้ลงแล้ว เขาจึงรวมพลังไว้ที่นิ้วโป้งซึ่งคล้ายกับแบบที่เคยทำกับไอส์ (แต่เบากว่า) ก่อนจะกลับไปใช้ลิ้นอีกครั้งพร้อมกดนิ้วลงตรงตุ่มที่ทำเป็นไม่สนใจมันมาโดยตลอด
จู่ๆ เฮสเทียก็รู้สึกกลัวอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน จากนั้นก็มีกระแสไฟฟ้ามาวิ่งผ่านตามกระดูกสันหลังและชนเข้ากับสมองจนความนึกคิดแตกหลายไม่เหลือชิ้นดี
เสียงที่เคยอยู่ภายใต้การควบคุมได้มาตลอด บัดนี้มันกลับถูกปลดปล่อยออกมาจนหมดหลอด
ตอนนี้เจ้าของเสียงกลับทำได้แค่พยายามใช้มือปิดปากและโก่งตัวเป็นกุ้งไปกับหน้าท้องของอีกฝ่ายเท่านั้นเอง
ความหฤหรรษ์แผ่ซ่านไปทั่วทุกอณูขุมขน ส่วนสมองก็รู้สึกเบาหวิวและใช้การไม่ได้ไปชั่วขณะ
ร่างกายของเธอถูกกระตุ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แถมเฮสเทียไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง ไม่รู้ด้วยว่าร่างนี้จะใช้การต่อได้อีกหรือเปล่า
สิ่งเดียวที่รู้สึกได้ก็คือความอบอุ่นจากด้านล่างและท่อนแขนแข็งแรงที่โอบรอบเอวไว้ ราวกับว่ามันกำลังพยายามรั้งเธอไว้ไม่ให้ดวงวิญญาณลอยกลับขึ้นสวรรค์ไปทั้งแบบนั้นเลย…
เมื่อมาถึงด้านนอกห้องของเฮสเทีย วาห์นก็เคาะที่ประตูก่อนจะเดินเข้าไปข้างใน
เขาเห็นเฮสเทียนั่งเขียนบางอย่างลงในคัมภีร์ขนาดใหญ่อยู่บนโต๊ะก่อนที่เธอจะหันกลับมายิ้มให้แบบเศร้าๆ
เมื่อนึกถึงตอนก่อนหน้านี้ วาห์นก็ยิ้มและพูดขึ้น
“ขอบคุณนะเฮสเทีย… ตอนนั้นฉันไม่รู้เลยว่าควรทำยังไงดี
เพรเซีย… เธอต่างไปจากผู้คนที่ฉันเคยเจอ”
เฮสเทียวางปากกาขนนกลงก่อนจะลุกขึ้นและลงมานั่งที่เตียงแทน
“มานั่งนี่สิวาห์น”
ท่าทางเกรี้ยวกราดของวาห์นดูอ่อนลงเล็กน้อยขณะที่เจ้าตัวถอนหายใจและเดินไปนั่งข้างๆ เฮสเทีย
เทพตัวเล็กเคลื่อนตัวเข้าไปที่กลางเตียงก่อนจะตบที่ต้นขาของตัวเอง นั่นเป็นสัญญาณบอกวาห์นว่าให้ใช้มันแทนหมอนได้เต็มที่เลย
วาห์นยังไม่แน่ใจว่าเฮสเทียพยายามจะทำอะไร แต่ที่แน่ๆ ก็คือเรื่องแบบนี้เขาไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว ยิ่งเป็นต้นขาเนียนนุ่มของเธอก็ยิ่งแล้วใหญ่
การนอนด้วยกันเป็นประจำทำให้วาห์นรู้จักพิษสงและความเย้ายวนจากการสัมผัสกับเรือนร่างของเทพธิดาองค์นี้เป็นอย่างดี
เฮสเทียลูบเส้นผมสีเข้มอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยถาม
“วาห์น ตอนนี้นายอยากทำอะไรมากที่สุดเหรอ? ฉันขอให้นายพูดความจริงจะได้หรือเปล่า..?”
น้ำเสียงอ่อนโยนนั่นทำให้วาห์นรู้สึกผ่อนคลายมากจนได้แต่ตอบออกไปตามตรง
“ฉันอยากทำให้มันชดใช้… ชดใช้ในสิ่งที่ทำกับเพรเซีย”
เฮสเทียลูบใบหน้าหล่อเหลาและมองเข้าไปในดวงตาสีน้ำทะเลขณะเอ่ยถามเบาๆ
“ทำไปแล้วนายจะรู้สึกดีขึ้นหรือเปล่า?”
เป็นคำง่ายๆ ที่เล่นเอาวาห์นอึ้งไปครู่หนึ่ง ส่วนสายตาสีฟ้าใสราวกับทะเลสาบไร้ก้นบึ้งก็ยังคงจ้องมองมาและเฝ้ารอคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ
หลังจากเงียบไปสองสามวินาที วาห์นก็ตอบเสียงแผ่ว
“ก็เปล่า…”
เฮสเทียผงกหัวเล็กน้อยด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเหมือนอย่างเคย
“นายจะให้เพรเซียเป็นคนเอาคืนผู้ชายคนนั้นจนสาแก่ใจแล้วก็คอยยืนดูอยู่ข้างๆ หรือเปล่า?”
ภาพที่เพรเซียใช้แท่งเหล็กร้อนๆ ทรมานเจ้านายคนก่อนแล่นเข้าสู่สมองของวาห์นทันที
วาห์นกัดฟันแน่นขณะตอบเสียงเบา
“ไม่… ฉันคงจะห้ามเธอไว้… เธอไม่ควรมาทำ-”
ก่อนจะได้พูดต่อจนจบ เฮสเทียก็วางนิ้วลงบนริมฝีปากของเขาเพื่อหยุดมันไว้ก่อน
วาห์นปิดปากลงด้วยสีหน้าเศร้าและปล่อยให้เฮสเทียเป็นคนพูดต่อ
“มันไม่ใช่หน้าที่ที่นายต้องแบกรับทุกอย่างนะวาห์น… ไหนลองบอกชื่อคนที่นายอยากปกป้องออกมาหน่อยสิ?”
วาห์นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพึมพำออกมา
“ฮารุฮิเมะ เอน่า ทีน่า มิลาน ลิลลี่…-”
เป็นอีกครั้งที่เฮสเทียขัดจังหวะเขา
“คนเรามักจะไล่ชื่อตามความสำคัญในช่วงเวลานั้นๆ นะ… ถึงจะรู้สึกเห็นใจเพรเซียมากแต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งแรกที่นายคิดถึง
สิ่งที่นายบอกว่าอยากทำในตอนแรกเองก็อาจจะไม่ใช่ความจริง ดูไปก็เหมือนเป็นสิ่งที่นายไม่อยากให้เพรเซียทำซะมากกว่า
นายยังมีอีกหลายสิ่งที่อยากปกป้อง… และการล้างแค้นก็ไม่ได้รวมอยู่ในนั้นหรอกนะ
นายควรผ่อนคลายให้มากกว่านี้ เอาเวลาไปดูแลคนรอบข้าง ส่วนพวกเราก็จะดูแลนายให้ดีที่สุด
เพรเซียเองก็ปลอดภัยแล้ว… ปล่อยให้เธอพักฟื้นไปก่อน จากนั้นค่อยสะสางเรื่องอดีตของเธอทีหลัง
ตอนนี้แฟมิเลียของเราได้เข้าไปพัวพันกับอิชทาร์แฟมิเลียและการแก่งแย่งอำนาจภายในเขตสถานบันเทิงแล้ว
นายต้องเรียงลำดับความสำคัญก่อนหลังให้ดีกว่านี้นะ… ไม่ใช่ว่าจะต้องไปคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องยิบย่อยทุกอย่างที่ถาโถมเข้ามา…”
เป็นเวลากว่านาทีที่วาห์นปล่อยให้คำพูดของเฮสเทียซึมเข้าไปในสมอง แถมเธอยังคงลูบศีรษะของเขาต่อ ราวกับจะช่วยให้มันซึมเข้าไปได้เร็วขึ้น
เมื่อเห็นว่าวาห์นยังคงอับจนคำพูด เฮสเทียจึงโน้มตัวเข้ามากระซิบเป็นการเชื้อเชิญ
“นอนพักเถอะ… พักสักเดี๋ยวนึง… วันนี้นายเหนื่อยมามากแล้ว
พอคนอื่นๆ มากันแล้วฉันจะเป็นคนปลุกนายเอง… สำหรับตอนนี้ นอนพักเถอะ…”
วาห์นเชื่อฟังคำพูดของเฮสเทียอย่างว่าง่ายและค่อยๆ หลับตาลงอย่างช้าๆ ภายใต้สัมผัสของต้นขาอ่อนนุ่มและมือที่ยังคอยช่วยปลอบประโลมความคิดที่ยังว้าวุ่นไม่หาย
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาโดนทาบทามให้ผ่อนคลายเสียบ้าง แต่คราวนี้ดูเหมือนคำพูดของเฮสเทียจะได้ผลดีเกินคาด
พอได้เทพจอมขี้เกียจมาคอยดูแลอย่างใกล้ชิดแบบนี้… จู่ๆ วาห์นก็รู้สึกเหนื่อยล้ามากและสลบไสลไปในที่สุด
เฮสเทียยังคงลูบเส้นผมและใบหน้าของเขาอย่างเอ็นดูโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุดง่ายๆ
เธอจ้องมองใบหน้าอ่อนเยาว์จากมุมสูงด้วยสีหน้าเป็นกังวลเล็กน้อย
วาห์นในตอนนี้นั้นช่างดูไร้เดียงสาและอ่อนต่อโลกซะเหลือเกิน… ไม่เหลือเค้าของวีรบุรุษหนุ่มน้อยที่มักตัดสินใจเด็ดเดี่ยวและชอบช่วยเหลือคนอื่นอยู่เลย
เธอหวังลึกๆ ว่าพวกเขาจะเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ… อยู่กันแค่สองคนภายใต้ความเงียบงัน ปล่อยให้เวลาล่วงเลยต่อไปโดยไม่สนใจสิ่งอื่น…
เด็กหนุ่มคนนี้สร้างความประหลาดใจให้กับเธอครั้งแล้วครั้งเล่า อีกทั้งยังแบกรับภาระเอาไว้มากมาย แล้วก็ความคาดหวังที่คนอื่นมักฝากฝังไว้เป็นประจำนั่นอีก
เฮสเทียรู้ว่าตัวเองก็เป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่ ‘ฝากฝัง’ เช่นกัน หนำซ้ำเธอยังเอาแต่คอยก่อกวนและเรียกร้องความสนใจไม่เว้นแต่ละวัน…
พอหันกลับไปดูคัมภีร์อีกครั้ง เฮสเทียก็เห็นตัวอักษรยาวหลายบรรทัดปรากฏขึ้นก่อนที่พวกมันจะค่อยๆ ลอยเข้าไปในสมุดบันทึกที่อยู่ข้างกัน
นี่คือไอเท็มเวทมนตร์ที่มีชื่อว่า [บันทึกปูมหลัง] ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวคัดลอกและเก็บบันทึกการสนทนาทุกอย่างจากคัมภีร์สื่อสาร
ก่อนที่วาห์นจะมาเคาะประตู เฮสเทียนั้นได้รับสารจากเอน่าเกี่ยวกับการฆาตรรมต่อเนื่องเมื่อคืนที่ผ่านมานี้เอง…
ทางกิลด์ได้เข้าไปสอบสวนจุดเกิดเหตุตามที่ต่างๆ ซึ่งล้วนแต่เป็นบ้านพักของเหล่า ‘ผู้ที่ชื่นชอบการซื้อขายทาสอย่างผิดกฎหมาย’
สภาพของศพส่วนใหญ่นั้นเรียกได้ว่าน่าสยดสยองมากเสียจนบรรยายไม่ถูก
เพราะเอน่าเพิ่งเจอกับเพรเซียมาหมาดๆ เธอจึงตรวจสอบข้อมูลอย่างละเอียดและพบว่าเจ้าของคนก่อนของสาวเผ่ามนุษย์แกะเองก็มีชื่ออยู่ในกลุ่ม ‘ผู้เคราะห์ร้าย’ เช่นกัน
เฮสเทียกลัวว่าวาห์นอาจรับไม่ได้ที่เป้าหมายแห่งความแค้นนั้นไม่ได้มีชีวิตอยู่ให้เขาแค้นต่อเสียแล้ว
ผลก็คืออย่างที่เห็น ตอนนี้เธอได้แต่หวังว่าวาห์นจะลืมเรื่องนี้ไปเองและไม่หวนกลับไปคิดถึงมันอีก…
-หลายชั่วโมงก่อน- (A/N: ตอนนี้มีเนื้อหาที่ค่อนข้างรุนแรงนะครับ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)
หลังแยกจากเด็กหนุ่มที่ช่วยเธอเอาไว้ ชีว่าก็เดินทางผ่านย่านโคมแดงก่อนจะมุ่งหน้าสู่พื้นที่ทางทิศเหนือของเมือง
ที่ดินทางทิศเหนือนั้นมีราคาแพงมากและเป็นที่อยู่อาศัยของเหล่าพ่อค้าและนักธุรกิจชื่อดังหลายคน
เพราะความเกรี้ยวกราดและความเกลียดชังที่มีต่อผู้เป็นนาย ไม่น่าแปลกเลยที่ชีว่าจะผ่านมือเจ้าของมาแล้วหลายต่อหลายคน
ตราสัญลักษณ์แห่งความเป็นทาสนั้นไม่ใช่สิ่งที่ควรจะไปลองดีด้วย ทว่าดาร์คเอลฟ์สาวก็ฝืนทนมาตลอดทุกครั้ง
ส่วนรางวัลปลอบใจของเธอก็คือการได้เห็นใบหน้าหงุดหงิดของเหล่าผู้เป็นนายก่อนที่พวกมันจะส่งเธอกลับไปยังตลาดค้าทาส
ราวกับโชคชะตาเล่นตลก เพราะเจ้านายคนล่าสุดที่ส่งเธอกลับแถมทำให้เธอต้องโดนผนึกที่ลิ้นนั้นก็คืออดีตเจ้านายของเพรเซียนั่นเอง
พอนึกย้อนกลับไปในตอนแรก เพรเซียคงถูกซื้อมาหลายสัปดาห์ก่อนแล้ว… ดูได้จากบาดแผลเก่าใหม่มากมายบนร่างกายของเธอ
เจ้านายคนนี้เป็นพวกเหยียดเผ่าพันธุ์แบบสุดๆ และเชื่ออย่างสนิทใจว่าตน ‘เหนือกว่า’ เผ่าครึ่งคนครึ่งสัตว์อย่างเพรเซียทุกด้าน
เขาทรมานเพรเซียครั้งแล้วครั้งเล่าและทำราวกับว่าเธอเป็นเพียงสัตว์ไร้ค่าตัวหนึ่ง
เหตุผลเดียวที่ทำให้เธอรอดพ้นจากการถูกข่มขืนก็เพราะว่าเขา ‘ไม่อยากทำให้ตัวเองต้องแปดเปื้อน’ แน่นอนว่านอกจากเรื่องนั้นแล้ว เขาใช้เธอแบบ ‘คุ้มสุดๆ’
ไม่ว่าจะเป็นการทรมานต่างๆ นาๆ การฝึกให้เธอทำตัวแบบสัตว์ และแน่นอน การฝึกให้เธอสนองความต้องการทางเพศโดยละเรื่องนั้นไว้เพียงอย่างเดียว
ไม่นานเขาก็เริ่มเบื่อหน่ายกับท่าทางไม่รู้สึกรู้สาของเพรเซียและเริ่มเปลี่ยนเป้าหมายมาที่ชีว่าแทน
เขาเริ่มจากการดุด่า พูดจาดูถูกเหยียดหยามและประนามว่าเธอนั้น ‘ด้อยกว่า’ ทั้งๆ ที่ตัวเองก็เป็นแค่เผ่ามนุษย์ ไม่ได้เป็นเทพหรือแม้แต่ลูกครึ่งเทพด้วยซ้ำ
โอกาสทองมาถึงเมื่อเจ้าอสูรต่ำช้าพยายามยัดเยียดของโสโครกของมันเข้ามาในปากของเธอ ทันใดนั้นเอง ชีว่าก็ขบมันอย่างแรงโดยหมายจะ ‘ตัดให้เหลือแต่ตอ’ แต่น่าเสียดายที่ตราสัญลักษณ์ไม่ยอมให้เธอทำแบบนั้นได้ง่ายๆ
มันออกฤทธิ์ได้เร็วและรุนแรงเหมือนทุกครั้ง รอบนี้ก็เล่นเอาสมองของเธอเกือบไหม้จนใช้การไม่ได้อยู่นาน
หลังจากโดนทุบตีอย่างหนัก ชายคนนั้นก็ส่งเธอและเพรเซียคืนให้กับพ่อค้าทาสพร้อมโวยวายเป็นการใหญ่
ของชดเชยที่เขาได้กลับมาในวันนั้นก็คือทาสสาว ‘คุณภาพสูง’ คนใหม่
ชีว่าอาจจะไม่เคยเห็นทาสสาวคนนั้นมาก่อน แต่ถ้าเธอบรรยายรูปร่างลักษณะของอดีตเจ้านายให้วาห์นฟังล่ะก็ เขาคงจะร้องอ๋อทันที
ชายคนดังกล่าวนั้นที่จริงแล้วก็คือชายชราที่ฌอนทัคเดินออกมาส่งนั่นเอง (TL: ตอนที่ 249)
ภายนอกอาจดูเหมือนคุณลุงใจดีคนหนึ่ง แต่ภายในนั้นกลับเต็มไปด้วยความโหดร้ายผิดมนุษย์และความกระหายไม่รู้จบที่ต้องบรรเทาด้วยความเจ็บปวดของผู้อื่น
พอเธอกับเพรเซียกลับมาถึง พวกพนักงานก็นำยาราคาแพงออกมาให้ดื่มพร้อมกับขัดสีฉวีวรรณเพรเซียอย่างดีที่สุดและชโลมร่างของเธอด้วยยาและน้ำมันบำรุงนับไม่ถ้วน
เป้าหมายของพวกมันคงจะหนีไม่พ้นการซ่อนรอยแผลเป็นต่างๆ จนกว่าจะมีเจ้านายคนใหม่มาซื้อเธอไป
หลังจากกลับมาได้ไม่ถึงชั่วโมง พวกเธอก็ถูกบังคับให้ไปพบกับ ‘ผู้ให้ความสนใจ’ คนล่าสุด ซึ่งก็คือวาห์นนั่นเอง…
เมื่อนึกย้อนกลับไปถึงเด็กหนุ่มแสนใจดีคนนั้น ชีว่าก็อดรู้สึกตื้นตันขึ้นมาไม่ได้
ที่จริงแล้วความสามารถในการต่อสู้ของเธอนั้นเทียบได้กับนักผจญภัยเลเวล 3 ขั้นปลายเลยทีเดียว
ดินแดนอับแสง (บ้านเกิดของชีว่า) เป็นสถานที่อันโหดร้ายและเกิดความขัดแย้งขึ้นทุกวี่วันราวกับมันเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว
การก้าวพลาดเพียงครั้งเดียวอาจหมายถึงความพ่ายแพ้ของเผ่า ตามมาด้วยการมอบชีวิตให้กับเผ่าผู้ชนะ และนั่นก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับชีว่า
หลังจากต้องทนแบกรับความอับอาย เธอก็ถูกขายให้กับเมืองที่อยู่ใกล้เคียง ก่อนจะโดนขายทอดมาเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงโอราริโอ้ได้รับอิสระจากความโชคดีที่ได้มาเจอวาห์น
สิ่งเดียวที่อยู่ในหัวของชีว่าในตอนนี้ก็คือการแก้แค้น แก้แค้นพวกมันทุกคนที่ทำราวกับเธอเป็นสินค้าตามตลาด
ในฐานะอดีตนักล่าประจำเผ่า เธอจะสังหารพวกมันให้หมด แผนขั้นถัดไปก็คือเดินทางกลับไปบ้านเกิดและสังหารพวกที่หยามเกียรติและขายเธอตั้งแต่ทีแรก
หลังจากก้าวเข้าไปในบ้านของอดีตเจ้านาย ชีว่าก็ลอบเข้าไปในชั้นใต้ดินลับซึ่งเป็นที่ที่ชายชราใช้คุมขังและทรมานทาส
โรค ‘ผู้อยู่เหนือทุกเผ่าพันธุ์’ ทำให้ชายชราสะสมทาสเอาไว้มากมายหลายแบบ ซึ่งต่างอยู่ในสภาพทรุดโทรมไม่ต่างกันมากนัก
ทาสคนล่าสุดของเขาดูเหมือนจะเป็นหญิงสาวผมสีน้ำเงินที่มีสีหน้าว่างเปล่า
ร่างของเธอเต็มไปด้วยบาดแผลหลายแห่งในขณะที่ตัวถูกมัดอยู่กับโต๊ะทรมานแบบพิเศษ
เนื่องจากเธอเป็นเผ่ามนุษย์ ชายชราจึงไม่ได้ติดใจอะไรนักและข่มขืนเธออย่างบ้าคลั่งจนไม่รู้สึกตัวเลยว่ามีใครบางคนย่องมาอยู่ด้านหลัง
เขารู้สึกสนุกสุดเหวี่ยงจนแทบไม่รู้สึกถึงมีดที่พุ่งทะลุแผ่นหลังไปหลายครั้ง
แผลสุดท้ายนั้นร้ายแรงที่สุด เพราะมันเจาะเข้าไปตรงกระดูกสันหลังที่คอยควบคุมร่างกายส่วนล่างทั้งหมดเอาไว้
หลังผละจากทาสสาวและล้มลงกับพื้น ชายชราก็หันมาหาชีว่าและกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง
“แกกกกกกก! นังหมูโสโครก! สัตว์ชั้นต่ำกล้าทำถึงขนาดนี้เลยงั้นเหรอ!?”
ชีว่าไม่สนใจคำพูดเหล่านั้นแม่แต่น้อย รอยยิ้มของเธอดูเฉิดฉายและน่าขนลุกเสียจนชายชราอยากจะหนีไปให้ไกลๆ
เธอควงมีดในมือและก้าวเข้าไปอย่างไม่เร่งรีบ…
ชายชรารู้ทันทีว่าชีวิตของตนกำลังแขวนอยู่บนเส้นด้าย เขาพยายามคลานหนีอย่างไม่คิดชีวิตพร้อมกับส่งเสียงร้องเรียกคนคุ้มกันแหละเหล่าคนใช้
เขาคงกลัวจนลืมไปว่าตัวเองเป็นคนออกแบบและปรับปรุงคุกใต้ดินนี้หลายครั้งจนมันเก็บเสียงได้อย่างมิดชิด 100 เปอร์เซ็นต์
ตอนนี้เหล่าคนคุ้มกันคงกำลังปกป้องพื้นที่ชั้นบนกันอย่างแข็งขัน ปล่อยให้เขาเป็นที่รองรับอารมณ์ของชีว่าต่อไปเรื่อยๆ… หรืออย่างน้อยก็จนกว่าเธอจะส่งเขาไปยังโลกหน้า
หลังจากคลานมาจนมุมอยู่ตรงกำแพง ชายชราก็มองกลับไปและเห็นรอยเลือดที่ไหลออกมาเป็นทางยาว
เขารู้สึกแก่ลงอีกหลายปี ร่างกายเต็มไปด้วยเลือดกับสิ่งสกปรกที่อยู่ในคุกใต้ดิน และภายใต้แสงสลัวนั่น ดวงตาเย็นยะเยือกของชีว่าก็ค่อยๆ คืบคลานเข้ามาที่ละนิด
“ดะ-ได้โปรดอย่าทำแบบนี้เลย… ฉันจะให้แกทุกอย่าง เงิน สิ่งของ ได้หมด
สะ-สาบานได้ว่าฉันจะไม่ไปบอกเรื่องนี้กับใครเด็ดขาด ขะ-ขอแค่ให้แกกลับออกไปซะ!”
ชีว่ายกอาวุธในมือขึ้นและเชยชมเลือดที่ติดอยู่ตรงใบมีดพร้อมกับสูดดมเล็กน้อย จากนั้นเธอก็ขมวดคิ้วและทำจมูกฟุดฟิด
“ไอ้กลิ่นเหม็นนี่มันอะไรกันนะ… นี่แกยังเป็นมนุษย์อยู่หรือเปล่าเนี่ย?
ทำไมเลือดถึงมีกลิ่นเดียวกับพวกก็อบลินเลยล่ะ… เหหห จะว่าไปแล้ว แขนขาขี้โรคของแกก็เหมือนของก็อบลินอยู่นะ?”
ถึงจะกลัวสุดขีด แต่ชายชราก็ยังต้องทำหน้าบึ้งตึงเมื่อถูกเปรียบเทียบกับสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำที่สุดบนโลก
เขาพยายามตะโกนออกมาอีกครั้ง แต่ทันทีที่ขยับปาก ลำแสงบางอย่างก็พุ่งผ่านหน้าไปพร้อมกับลิ้นและกรามล่างที่ตกลงกับพื้น
แน่นอนว่ามนุษย์เลเวล 1 ไม่มีทางตามการเคลื่อนไหวของดาร์คเอลฟ์เลเวล 3 ทันอยู่แล้ว
เขาพยายามกรีดร้องอีกครั้ง แต่เสียงที่ออกมานั้นแทบฟังไม่รู้เรื่องเลย อย่างมากที่พอทำได้ในตอนนี้ก็คือใช้มือปิดแผลเพื่อไม่ให้เลือดไหลจนช็อคไปเสียก่อน
ชีว่าจ้องมองชายชราต่ออีกเล็กน้อยก่อนจะเดินไปทางชั้นวาง ‘เครื่องมือ’ ที่เขาชอบใช้เป็นประจำ
ที่ชั้นวางนั่นยังมีโพชั่นและยามากมายหลายแบบซึ่งส่วนใหญ่นั้นมีสรรพคุณในการฟื้นฟูร่างกาย และสมานแผลแบบเฉียบพลัน
ชีว่านำชุดตะขอเกี่ยว ค้อน และโพชั่นบางส่วนออกมา แต่พอหันกลับไปก็พบว่าชายชราเริ่มที่จะคลานหนีอีกครั้ง
เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาและป้องกันการหลบหนี เธอใช้ค้อนทุบข้อมือของเขาจนหัก ตามมาด้วยนิ้วทีละนิ้วจนพวกมันแตกละเอียด
ชายชราไม่อาจขัดขืนอะไรได้อีกขณะที่ชีว่าเทโพชั่นลงไปในหลอดอาหารของเขา และต่อให้เขาอยากปิดปากแค่ไหนก็คงทำไม่ได้เพราะกรามล่างนั้นไม่อยู่แล้ว
ชีว่าใช้มืออีกข้างประคองใบหน้าชราอย่าง ‘นุ่มนวล’ พร้อมกับยิ้มกว้าง… ก่อนจะฟาดขวดโพชั่นเปล่าๆ ใส่ช่องปากส่วนบนจนฟันหักไปหลายซี่
หลังจากที่ชายชราหมดสติไปแล้ว เธอก็นำตะขอมาเกี่ยวตรงต้นขาทั้งสองข้างก่อนจะใช้มันยกร่างของเขาขึ้นจากพื้นในสภาพห้อยหัวลง
ไม่นานชายชราก็ได้สติและพยายามกรีดร้องอีกครั้งแต่กลับไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมาเลย
เขาพบว่ามีบางอย่างถูกสอดเข้าไปในจมูกและทะลุลงไปถึงช่องทางเดินหายใจ
เพื่อป้องกันไม่ให้ชายชราหายใจติดขัด ชีว่าจึงสอดท่อเข้าไปในนั้นและใช้ผ้ารัดตรงส่วนจมูกไว้แบบหลวมๆ
ชายชราจะเป็นตายร้ายดียังไงเธอไม่สนใจอยู่แล้ว แต่สิ่งสุดท้ายที่อยากให้เขาได้ลิ้มรสก่อนจากไปก็คือประสบการณ์แบบเดียวกับที่พวกทาสเคยเจอ
เธอใช้เวลาครึ่งชั่วโมงไปกับการสลักคำต่างๆ ลงบนเนื้อหนังเหี่ยวย่นโดยใช้ทั้งมีดและแท่งเหล็กร้อนๆ
ก่อนจะไปต่อ เธอก็นำโพชั่นมาราดตามที่ต่างๆ และยกกระจกออกมาส่องให้เขาดูด้วย
การทรมานยังดำเนินต่อไปเรื่อยๆ จนร่างกายของเขาถูกถอดออกทีละส่วนจนเหลือเพียงแค่ศีรษะและลำตัวที่ห้องโตงเตงไปมา
ชายชราได้แต่จ้องมองแขนขาของตัวเองที่ถูกวางไว้ตรงหน้าด้วยสายตาแสนสลด
ชีว่ายิ้มอ่อนโยนยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ขณะใช้มือลูบเส้นผมมันเยิ้มและพูดอย่างนุ่มนวล
“อย่างห่วงเลย อีกเดี๋ยวก็จบแล้วล่ะ… รับรองว่าแกต้องชอบขั้นตอนต่อไปแน่นอน… คงจะน่าเสียดายมากถ้าไม่ได้ลิ้มลองสิ่งนี้ด้วยตัวแกเอง”
ชีว่าราดโพชั่นที่เหลือลงไปบนร่างกายของชายชราก่อนจะก้มลงและตัด ‘ของโสโครกนั่น’ ออกมา
ก่อนหน้านี้เธอได้ให้เขาดื่มยาชูกำลังเข้าไปด้วย ดังนั้นต่อให้โดนทรมานแสนสาหัสแค่ไหน ของโสโครกนั่นก็ยังแข็งกร้าวอยู่ตลอด
เธอนำผ้ามาผูกตรงที่ๆ มันเคยอยู่เพื่อทำการห้ามเลือดและนำท่อหายใจออกจากจมูกและลำคอของเขา
ของขวัญอำลาที่เธอมอบให้กับชายชราก่อนจะทำการปลดปล่อยทาสคนอื่นๆ… ก็คือการยัดท่อนเนื้อนั่นลงไปในลำคอของเขาเป็นการปิดท้าย…
(TL: จริงๆ แล้วชื่อตอนคือ ‘Desserts’ หรือก็คือ ‘ของหวาน’ ตามคำคมที่มีชื่อว่า ‘Just Deserts’ หรือก็คือ ‘ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว’ นั่นแหละ แต่จะแปลยังไงล่ะ -*- ตอนแรกจะแปลชื่อตอนว่า ‘ของหวานคล่องคอ’ อยู่แล้วเชียว แต่ก็แบบ…
วาห์นเดินไปตามทางอย่างเงียบเชียบขณะหลบเลี่ยงเส้นทางที่มีคนเดินไปมา
หนึ่งในข้อดีที่สุดของพลังเขตแดนก็คือเรื่องการตรวจจับนี่แหละ ซึ่งไม่ว่าจะอยู่ชั้นไหนมันก็ยังใช้ได้ผลและแม่นยำดีเหมือนเดิม
จากนั้นไม่กี่นาที เขาก็มาถึงหน้าต่างและเปิดมันก่อนจะใช้ [เคลื่อนย้ายในพริบตา] เพื่อเคลื่อนที่ไปออกไปยังหลังคาใกล้เคียง
ตลอดเวลาที่โดนอุ้ม ฮารุฮิเมะไม่ได้ส่งเสียงอะไรเลยและเอาแต่ซุกหัวไปกับแผงอกของเขา
สกิล [เคลื่อนย้ายในพริบตา] นั้นไม่ใช่การเร่งความเร็วแบบสกิลเคลื่อนที่ทั่วไป จะเรียกว่าเป็นการ ‘เทเลพอร์ตระยะสั้น’ ก็คงได้
ถึงจะใช้มันอย่างต่อเนื่องจนเคลื่อนที่ได้เร็วพอๆ กับความเร็วเสียง แต่มันก็ไม่ส่งผลต่อเขาคือคนที่เขากำลังอุ้มอยู่แต่อย่างใด
วาห์นบอกได้ว่าสภาพร่างกายของว่าฮารุฮิเมะนั้นอ่อนแอมาก เขาเลยใช้ [เคลื่อนย้ายในพริบตา] แทนการออกวิ่งตามปกติ
เพื่อป้องกันไม่ให้เธอโดนอากาศยามเช้าเล่นงาน เขาก็เลยใช้ [หัวใจของเพลิงนิรันดร์] เพื่อสร้างความอบอุ่นเป็นการแถมให้ด้วย
จากมุมมองของฮารุฮิเมะนั้น เธอรู้สึกว่าร่างกายอยู่ในสภาวะไร้น้ำหนักเป็นช่วงๆ และพอเปิดตาขึ้นมา ทิวทัศน์ทุกอย่างก็จะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมทุกครั้ง
หญิงสาวรู้สึกราวกับว่าวาห์นกำลังเทเลพอร์ตผ่านท้องฟ้าขณะกอดเธอไว้ในอ้อมแขน แถมเขายังปล่อยพลังอบอุ่นนั่นออกมาพร้อมกันด้วย
เธอรู้ดีว่าอากาศในช่วงก่อนฟ้าสางนั้นหนาวเย็นแค่ไหน แต่ตอนนี้กลับไม่รู้สึกหนาวเลยสักนิด
ความหนาวเหน็บ ความอ้างว้างเดี่ยวดาย ทุกอย่างถูกแทนที่ด้วยความอบอุ่นและความปลอดภัยจากอ้อมกอดของวาห์น…
ตอนนี้วาห์นกำลังเคลื่อนที่ต่อไปเรื่อยๆ และพยายามไม่สนใจเสียงเตือนจากระบบที่แจ้งให้ทราบว่าค่าความชื่นชอบของฮารุมิเนะกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
พอหันไปมองมันอีกที ค่านั่นก็พุ่งมาถึงช่วง 85-90 แล้ว
‘…ภารกิจ [ความปรารถนาของหัวใจ] จะสำเร็จก่อนกลับไปถึงคฤหาสน์หรือเปล่านะ?’
วาห์นเข้าใจและเตรียมใจรับเรื่องนี้มาบ้างแล้ว ตอนนี้คงได้แต่ให้เวลาช่วยเยียวยาและปล่อยให้ฮารุฮิเมะได้พบกับเหล่าสหายเก่าที่ไม่ได้เจอกันมานาน
วาห์นรู้จากประสบการณ์จริงว่าการเข้าช่วย ‘สาวๆ ที่กำลังลำบาก’ นั้นมันส่งผลต่อจิตใจ (และหัวใจ) ของพวกเธอขนาดไหน ซึ่งในความคิดส่วนตัวนั้น จะให้เขามาแบกรับทุกอย่างไว้หมดก็คงไม่ได้
เมื่อก่อนวาห์นอาจบอกว่า ‘ได้หมดถ้าสดชื่น’ ทว่าตอนนี้ ผู้หญิงที่เขารู้สึกชื่นชมจริงๆ ก็คือพวกที่จัดการชีวิตได้อย่างลงตัวและคอยพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ ซึ่งแน่นอนว่าฮารุฮิเมะในตอนนี้ยังไม่พร้อมที่จะเผชิญโลกด้วยตัวคนเดียว
จนกว่าสภาพร่างกายและจิตใจจะดีกว่านี้ เธอจะถูกจัดอยู่ในหมวดหมู่ของคนที่เขาต้องปกป้องแทน
งานหนักสำหรับตอนนี้ก็คือเรื่องจิตใจและแนวคิดของเธอนี่แหละ
เพราะฮารุฮิเมะคิดมาตลอดว่าตัวเองเป็น ‘ผู้หญิงสกปรก’ จากนั้นเขาก็มาเฉลยให้ฟังว่าไม่ใช่
กับหญิงสาวที่โดน ‘คดีพลิก’ ไปมาแบบนี้ วาห์นอ่านไม่ออกจริงๆ ว่าอนาคตของเธอจะเป็นอย่างไรต่อไป
ไอ้เสียงแต้มที่เพิ่มเอาๆ นี่ สำหรับเขาแล้ว มันดูไม่ต่างจากเสียงระเบิดเวลาเลยสักนิด
ผ่านไปสักพัก ค่าความชื่นชอบก็เริ่มคงที่และไปหยุดอยู่ตรง 88 แต้ม ทว่าคำข้างๆ ที่ระบุว่า (คู่ชะตาฟ้าลิขิต) ก็ทำให้เขารู้สึกกังวลอยู่ดี
(TL: นี่ไม่ใช่สิ่งที่ระบบวิเคราะห์ออกมานะครับ เป็นความคิดของฮารุมิเนะล้วนๆ)
เขาได้แต่หวังว่าพวกสาวๆ ที่คฤหาสน์จะช่วยทำให้ฮารุมิเนะสงบลงได้บ้าง ไม่แน่ว่าเธออาจจะ ‘เปลี่ยนใจ’ ไปเลยก็ได้
ถึงจะอยากให้เป็นไปตามที่คิด แต่วาห์นก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเธอเป็นผู้หญิงที่สวยมากคนหนึ่ง แถมเขายังพูดออกไปแล้วว่าจะบอกปกป้องเธอด้วย…
ทางบ้านคงจะวุ่นวายไปสักพัก แต่วาห์นมั่นใจว่าเดี๋ยวทุกอย่างคงดีขึ้นเอง… แค่ต้องให้เวลากับมันหน่อย
‘เราไปหาเพื่อนผู้ชายมาเพิ่มบ้างดีหรือเปล่านะ?’
หากไม่ได้ยินเรื่องนี้จากพวกสาวๆ วาห์นก็คงไม่รู้เลยว่าตัวเองแสดงความ ‘ไม่ถูกขี้หน้า’ กับผู้ชายคนอื่นเท่าไหร่นัก (TL: ดูแล้วคนอื่นก็ไม่ค่อยชอบขี้หน้าเอ็งเหมือนกันนะ)
ถ้าให้เดา สาเหตุน่าจะมาจากการที่พวกแพทย์และนักวิทยาศาสตร์จากช่วงชีวิตก่อนนั้นล้วนเป็นผู้ชายแทบทั้งสิ้น
ตลอดช่วง 14 ปีที่อยู่ในห้องทดลอง ผู้หญิงคนเดียวที่เขาเคยเห็นแบบตัวเป็นๆ ก็คือคุณหมอคีนลี่ย์ แต่อย่างน้อยเธอก็ทำดีและ(แสร้ง)เป็นห่วงเขาอยู่บ้าง
ส่วนสิ่งที่ใกล้เคียงเป็นลำดับต่อมาก็คือผู้หญิงที่เขาเห็นจากใจมังงะและอนิเมะเท่านั้นเอง
ช่วงนี้บรรยากาศระหว่างเขากับเวลฟ์ก็ไม่ค่อยจะสู้ดีเท่าไหร่นัก มีทั้งเรื่องที่วาห์นคบกับเฮเฟสตัสบวกกับการที่เวลฟ์พูดเรื่องปัญหาของเฮสเทียแฟมิเลียนั่นอีก วาห์นเลยอยากลองหาเพื่อนใหม่ดูบ้าง
การมีเพื่อนแท้ที่คอยรับฟังปัญหาต่างๆ ของเรานั้นออกจะต่างไปจากการระบายให้แฟนหรือคนรักฟังค่อนข้างมาก แต่นอกเหนือจากเวลฟ์และเบลล์แล้ว วาห์นก็ไม่รู้จะคุยกับใครได้อีก อยากมากก็มีฟินน์ แกเร็ธ แล้วก็คนที่แทบไม่อยากเห็นหน้าเขาเลยอย่างเบต
สำหรับเรื่องแบบนี้ ข้อมูลอ้างอิงจากในมังงะนั้นไม่ค่อยมีประโยชน์เท่าไหร่เลย แถมจะทำให้แย่ลงกว่าเดิมด้วย ตัวอย่างเช่นเทพเฮอร์มีสที่ดูค่อนข้างเป็นมิตรคนนั้น
หากใครได้อ่านมังงะมา คงต้องพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเทพองค์นี้มีเรื่องเก็บงำอยู่เยอะและดูน่าสงสัยมาก
ขณะที่ใช้ปล่องไฟเป็นฐานกระโดดและพุ่งทะยานต่อไปอีกครั้ง ภาพของทาเคมิคาสึจิกับโอวกะก็ปรากฏขึ้นในหัวจนวาห์นถึงกับหยุดชะงักและก้มลงไปมองฮารุฮิเมะเล็กน้อย
พอเห็นว่าเขาหยุดลง ฮารุฮิเมะก็เงยหน้าขึ้นมาถามทันที
“มีอะไรหรือเปล่าคะ?”
วาห์นส่ายหน้าก่อนจะอธิบาย
“ฉันกำลังคิดเรื่องทาเคมิคาสึจิแฟมิเลียอยู่น่ะ คงต้องรีบบอกให้ทางนั้นรู้ว่าฉันช่วยเธอออกมาได้แล้ว
อีกเดี๋ยวพวกเขาคงจะมารับตัวเธอไป ประเด็นอยู่ที่ว่าพวกเขาจะคุ้มครองเธอไหวหรือเปล่าน่ะสิ ฉันกะว่า-”
ในระหว่างที่เขากำลังอธิบาย ฮารุฮิเมะก็ใส่แรงที่แขนมากขึ้นจนศีรษะแทบจะมุดเข้าไปในแผงอกของเขาอยู่แล้ว
นั่นทำให้หูปุกปุยขนาดยักษ์เข้ามาถูกับคางจนวาห์นรู้สึกจั๊กจั๊กจี้นิดๆ
“ฉันอยากอยู่กับคุณค่ะ ถึงจะรู้สึกดีใจมากที่จะได้พบกับสหายเก่าอีกครั้ง แต่ฉันอยากอยู่กับคนที่ช่วยชีวิตตัวเองไว้มากกว่าค่ะ…”
วาห์นเองก็อยากจะอธิบายว่าต่อให้ทาเคมิคาสึจิต้องการพาฮารุฮิเมะไป เขาก็ยังอยากให้เธออยู่ต่ออยู่ดี
พอเจอเจ้าตัวพูดออกมาเองแบบนี้ เขาเลยได้แต่ปิดปากเงียบก่อนจะกลับไปขยับเท้าอีกครั้ง
เรื่องเดียวที่เขาเป็นห่วงก็คือโอวกะอาจโวยวาย แต่ถึงตอนนั้นค่อยว่ากันอีกทีละกัน
ถึงโอวกะจะดูเป็นคนหัวร้อนง่าย แต่วาห์นก็ไม่ได้รู้สึกเกลียดเขาเท่าไหร่นัก เพราะนอกจากเรื่องหัวร้อน เขาก็ดูห่วงพวกพ้องและให้ความเคารพต่อเทพของตัวเองมากเลย
หากเป็นไปได้ วาห์นก็อยากสนิทกับโอวกะให้มากกว่านี้
พอทุกอย่างสงบลงแล้ว วาห์นอาจจะลองมอบ ‘เมล็ดเปลวเพลิง’ ให้โอวกะด้วย แต่ผลจะออกมาเป็นอย่างไรนั้นอันนี้คงตอบยาก (TL: สายวายก็มา)
นอกเหนือจากเรื่องของโอวกะแล้ว วาห์นก็อยากลองนัดพวกผู้ชายมาฉลองหรือเลี้ยงเหล้าดูสักครั้งเหมือนกัน
เรื่องน่าเสียดายที่ได้ผ่านการทดลองมาแล้วหลายครั้งก็คือ ต่อให้ดื่มเหล้าหมดเป็นถังๆ วาห์นก็ไม่มีทางเมาเด็ดขาด
ไม่ว่าจะเป็นแอลกอฮอลล์ สารพิษ หรือยาพิษ ทุกอย่างจะถูกเลือดของเขาขจัดออกจนหมด
แต่อย่างน้อยๆ วาห์นก็อยากสร้าง ‘เครือข่าย’ ของผู้ชายให้เหมือนกับของพวกผู้หญิงดูบ้าง
การที่มีเพื่อนเพศเดียวกันคอยช่วยเหลือและให้คำแนะนำในหัวข้อต่างๆ ที่เอาไปปรึกษากับเพศตรงข้ามไม่ได้นั้นคงจะเป็นเรื่องที่ดีไม่น้อยเลย…
—
ครึ่งชั่วโมงต่อมา วาห์นก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าทางเข้าคฤหาสน์และค่อยๆ วางฮารุฮิเมะลง ทว่ามือที่คล้องคอของเขาอยู่นั้นกลับไม่ถูกคลายออก
พอก้มลงไปดู เขาก็เห็นว่าเจ้าของมือนั้นกำลังมองที่ดินกับคฤหาสน์ตรงหน้าอย่างสนอกสนใจ
ค่าความชื่นชอบของเธอได้พุ่งขึ้นจนเต็ม 100 มาพักหนึ่งแล้ว ส่วน [ความปรารถนาของหัวใจ: ซันโจวโนะ ฮารุฮิเมะ] ก็ถูกเก็บรักษาไว้ในช่องเก็บของเป็นที่เรียบร้อย
เขาตัดสินใจว่าจะใช้มันก็ต่อเมื่อจิตใจของฮารุฮิเมะดูมั่นคงขึ้นกว่านี้
หากรีบใช้ตอนนี้เลย วาห์นกลัวว่าจะตัวเองจะดูแลเธอ ‘ดีเกินไป’ และทำให้จิตใจของเธอเตลิดไกลกว่าเดิม
ผ่านไปอีกชั่วอึดใจ ฮารุฮิเมะก็หันมาหาวาห์นและถามขึ้น
“ต่อไปนี่จะเป็นบ้านของเราใช่ไหมคะ?”
คำว่า ‘บ้านของเรา’ ทำให้วาห์นอยากถอนหายใจดังๆ สัก 1 ที แต่เขาก็แค่พยักหน้าตอบ
เพราะหญิงสาวเอาแต่เกาะเป็นตุ๊กแกแบบไม่คิดจะปล่อย วาห์นก็เลยอุ้มเธอเข้าไปทั้งอย่างนั้นเลย
“ที่นี่คือคฤหาสน์ฮาร์ธ ฐานที่มั่นของเฮสเทียแฟมิเลีย แล้วก็เป็นที่พักส่วนตัวของฉันด้วย
เธอจะปลอดภัยอยู่ที่นี่จนกว่าเราจะหาวิธีจัดการกับอิชทาร์แฟมิเลียได้
ถึงจะมีอำนาจอยู่พอสมควร แต่เธอก็เอาชนะกลุ่มของเราที่มีทางกิลด์หนุนหลังอยู่ไม่ได้หรอก
ไว้ฉันจะอธิบายเพิ่มทีหลังนะแต่ขอย้ำอีกครั้งว่าเธอปลอดภัยแน่
พอรู้ข่าวว่าช่วยเธอได้แล้ว ทางทาเคมิคาสึจิแฟมิเลียคงเดินทางมาเยี่ยมเธอเร็วๆ นี้แหละ”
เนื่องจากตอนนี้เป็นเวลา 4:30 น. คนอื่นๆ ในคฤหาสน์จึงยังไม่ตื่นขึ้น แถมวาห์นก็เปิดประตูได้ไม่ถนัดเท่าไหร่เพราะมีฮารุฮิเมะมาเกาะอยู่แบบนี้
ฮารุฮิเมะเองก็จะพอดูออกเหมือนกัน
“ช่วยส่งกุญแจให้หน่อยได้ไหมคะ? เดี๋ยวฉันจะเปิดให้เองค่ะ…”
วาห์นยิ้มให้ ก่อนจะกระชับอ้อมกอดเล็กน้อย
“ยังไงเธอก็ต้องปล่อยมือจากฉันอยู่ดีนะ ฮารุฮิเมะ
ตอนนี้สภาพจิตใจของเธอยังไม่ปกติดีเท่าไหร่ เรื่องนี้ฉันเข้าใจ อย่าห่วงเลย ฉันไม่ได้จะหายไปไหนซะหน่อย”
ฮารุฮิเมะขมวดคิ้วอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายเธอก็รับฟังแต่โดยดีพร้อมกับปล่อยมือที่คล้องอยู่ออก
“ขออภัยด้วยค่ะ…”
วาห์นวางเธอลงกับพื้นก่อนจะไขประตูและก้าวเข้าไปคฤหาสน์อันแสนอบอุ่น
ฮารุฮิเมะเดินตามหลังเขามาติดๆ ด้วยท่าทีประหม่าแต่ก็ยังดูสนใจทุกอย่างเช่นเดิม
วาห์นเห็นแล้วได้แต่ยิ้มกว้าง
“อยากสำรวจอะไรตรงไหนก็ตามสบายเลย
นอกจากห้องส่วนตัวของพวกสาวๆ คนอื่น เธอจะไปที่ไหนก็ได้ ตราบใดที่ยังอยู่ในตัวคฤหาสน์นะ
ถ้าอยากออกไปเดินเล่นที่ลานด้านนอก คงต้องขอให้มีคนตามไปด้วยสักคนสองคน
ที่นี่มีข่ายเวทมนตร์ที่แข็งแกร่งมาก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะป้องกันได้หมดทุกอย่าง”
ฮารุฮิเมะฟังสิ่งที่วาห์นพูดอย่างตั้งใจ แต่แล้วหูของเธอก็กระดิกทันทีที่ได้ยินคำๆ หนึ่ง
“ห้องของพวกสาวๆ ? ที่นี่มีผู้หญิงอยู่กี่คนกันคะ? แล้วมีคนไหนที่สนิทกับคุณเป็นพิเศษหรือเปล่า?”
วาห์นพยักหน้าก่อนจะผายมือไปทางห้องที่เขาใช้รับแขก
เขาไม่อยากคุยที่ห้องโถงนานๆ เพราะเสียงมันจะสะท้อนไปทั่ว
พวกที่มีประสาทการได้ยินแบบคนปกตินี่ไม่เท่าไหร่ แต่พวกหูดีอย่างคู่แฝดหรือเฟนเรียร์อาจจะตื่นขึ้นมาก็ได้
พอเข้ามาแล้ว วาห์นก็เชิญฮารุฮิเมะนั่งลงบนโซฟาและมอบชาอุ่นๆ พร้อมถ้วยใส่น้ำตาลให้ ก่อนจะเริ่มอธิบายสถานการณ์ทุกอย่างให้เธอฟัง
หนึ่งในคำสัญญาที่เคยให้ไว้กับตัวเองก็คือ เขาจะไม่โกหกหรือพยายามปิดบังเรื่องความสัมพันธ์ของตัวเองเด็ดขาด นอกเสียจากว่าคนที่อยากรู้เรื่องนี้เป็นศัตรูหรือดูไม่ค่อยน่าไว้ใจ
หากฮารุฮิเมะเผลอใจไปแล้วจริงๆ วาห์นก็อยากบอกให้เธอรู้ก่อนว่าต้องเจอกับอะไรบ้าง
เพราะเธอยังเด็กมาก การตัดใจตั้งแต่ตอนนี้และออกไปตามหารักแท้ข้างนอกอาจจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าก็ได้
เขาอยากอธิบายให้เธอเข้าใจว่าที่นี่จะเป็นสถานที่ปลอดภัยสำหรับเธอไปตลอด แต่มันก็ไม่ใช่สถานที่เดียวที่เป็นแบบนั้นได้
หากฮารุฮิเมะพบสิ่งที่ดีกว่าหรือสิ่งที่อยากทำ วาห์นก็จะพยายามช่วยอย่างสุดความสามารถเพื่อทำให้มันเป็นจริงโดยที่เธอไม่ต้องมาห่วงเรื่องตอบแทนทีหลังหรืออะไรแบบนั้นเลย
ตลอดเวลาที่วาห์นเล่าเรื่องราวในอดีตของตัวเอง ฮารุฮิเมะก็ยังคงนั่งอย่างสง่างามสมกับที่เคยเป็นผู้ดีมีตระกูลมาก่อน
แม้แต่กระทั่งการจิบชา เธอจะหยิบถ้วยชาขึ้นมาด้วยมือทั้งสองข้างและจิบมันแบบเงียบๆ ขณะจ้องประสานตากับวาห์นอยู่ตลอด
หลังจากเรื่องเล่าจบลง ฮารุฮิเมะก็พยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม
“ฉันตัดสินใจไปแล้วค่ะ เป็นการตัดสินใจด้วยตัวเองครั้งแรกนับตั้งแต่ได้ลืมตาดูโลกมาเลย
ฉันอยากอยู่ที่นี่กับคุณ แค่คิดเรื่องนี้ก็มีความสุขแล้วค่ะ
ถึงไม่ได้เป็นภรรยา จะให้เป็นแค่ภรรยาน้อยหรือผู้หญิงลับๆ ก็ไม่ขัดข้อง
ก่อนที่คุณจะเดินเข้ามาในชีวิต ฉันเอาแต่คิดทุกวันว่าตัวเองคือผู้หญิงสกปรก เป็นผู้หญิงไร้ค่าที่ถูกทำให้แปดเปื้อนและต้องใช้ชีวิตแบบนั้นไปจนวันตาย
ฉันจะไม่ไปจากที่นี่ เว้นแต่ว่าคุณไม่อยากจะเก็บฉันไว้แล้วค่ะ
หรือถ้าไม่สบายใจจริงๆ จะให้เป็นสาวใช้ส่วนตัวหรือคนรับใช้เฉยๆ ก็ได้นะคะ”
วาห์นขมวดคิ้วอย่างหนักเมื่อได้ฟังข้อเสนอแต่ละอย่างของเธอ
“ฉันอยากให้เธอมีความสุขนะฮารุฮิเมะ อย่าอุทิศทั้งชีวิตให้แค่เพราะว่าฉันช่วยเธอออกมาเลย
ลองออกตามหาสิ่งที่ตัวเองอยากทำจริงๆ แทนการตอบแทนด้วยวิธีนี้จะดีกว่า”
ฮารุมิเนะยังคงยิ้มให้อย่างสง่างามเช่นเดิม
“คุณเข้าใจผิดแล้วนะคะ วาห์น ก่อนถูกเนรเทศออกมา ทั้งชีวิตของฉันถูกผูกติดกับสิ่งที่เรียกว่า ‘วงศ์ตระกูล’…
หากไม่ใช่เพราะเหล่าสหายจากทาเคมิคาสึจิแฟมิเลีย ฉันก็อาจต้องอาจต้องทนอยู่อย่างโดดเดี่ยวไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถูกจับแต่งงานกับทายาทตระกูลอื่นเข้าสักวัน
ความสุขเพียงไม่กี่อย่างในชีวิตของฉันก็มีแค่หนังสือกับการแอบออกไปเล่นข้างนอกเป็นครั้งคราวเท่านั้นเอง
หลังจากถูกเนรเทศและลักพาตัว ความปรารถนาเพียงอย่างเดียวของฉันก็คือได้หลบหนีออกจากฝันร้ายนั่น… อยากให้มีวีรบุรุษมาช่วยฉันอย่างในนิทานที่เคยอ่าน
ฉันคิดมาตลอดว่าทุกอย่างมันสายเกินไปแล้ว แต่คุณกลับบอกว่าฉันยังไม่ได้ถูกทำให้แปดเปื้อนใจช่วงตลอดหลายปีที่ผ่านมานี่…
ฉันคงปฏิเสธความรู้สึกในตอนนี้ไม่ได้หรอกค่ะ มันเป็นความรู้สึกที่ฉันไม่ค่อยเข้าใจนักเพราะไม่เคยรู้สึกถึงมันมาก่อน… แต่ที่แน่ๆก็คือ ฉันมีความสุขที่ได้อยู่ที่นี่ ณ ตอนนี้ค่ะ มีความสุขที่ได้สัมผัสกับการมีชีวิตจริงๆ
การได้มาอยู่ตรงนี้ ฟังคุณอธิบายเรื่องต่างๆ ด้วยสายตาเป็นห่วง… ฉันขออะไรมากไปกว่านี้ไม่ได้แล้วค่ะ”
ในระหว่างที่ฮารุฮิเมะพร่ำบอกความในใจออกมาแบบรวดเดียวจบ วาห์นก็คอยเฝ้าสังเกตดวงตาสีเขียวและเห็นว่ามันแจ่มชัดกว่าครั้งไหนๆ
แม้แต่ออร่าที่ดูยุ่งเหยิงมาตลอด ตอนนี้มันกลับลุกไหม้อย่างแรงกล้าขณะที่เธอเปล่งแต่ละคำพูดออกมา
แม้จะรู้สึกเหมือนหญิงสาวกำลังล้างสมองตัวเองด้วยถ้อยคำเหล่านั้น แต่เขาก็เข้าใจเช่นกันว่าเธอรู้สึกเชื่อมั่นที่ตัวเองพูดจากใจจริง
เมื่อคำพูดของเธอหยุดลง ฮารุฮิเมะก็ซ้อนมือไว้ที่ตักและคงโค้งคำนับลงมาแล้วหากไม่ใช่เพราะวาห์นยื่นมือออกไปรั้งตัวไว้ก่อน
วาห์นรู้หลักธรรมเนียมของชาวตะวันออกดี และรู้ด้วยว่าเธอกำลังจะก้มหัว ‘พลีกาย’ ให้กับเขา
นี่ไม่ใช่สิ่งที่จะเอามาทำกันเล่นๆ เพราะสำหรับชาวตะวันออกแล้ว มันอาจศักดิ์สิทธิ์ยิ่งกว่าพิธีสาบานเสียอีก
จริงๆ แล้ววาห์นอยากให้เธอได้พูดคุยกับพวกสาวๆ ที่เขารู้จักเพื่อเก็บประสบการณ์และความรู้ก่อนจะมาตัดสินใจเรื่องใหญ่โตแบบนี้
ดูๆ ไปแล้ว ฮารุฮิเมะในตอนนี้ช่างคล้ายกับเขาในอดีตที่เอาแต่หาความสุขจากอนิเมะและมังงะไปวันๆ มากเลย
วาห์นรู้ว่าความสุขเหล่านั้น สุดท้ายแล้วก็ไม่ใช่สิ่งที่ยั่งยืน ไม่เหมือนกับสิ่งที่เขามีอยู่ในตอนนี้
วาห์นมองเข้าไปในดวงตาสีเขียวคู่งามและพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ฮารุฮิเมะ อย่าได้ทำแบบนั้นต่อหน้าฉันอีกเป็นครั้งที่สอง
ฉันช่วยเธอเพราะว่าอยากช่วย และไม่ว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น ฉันก็จะปกป้องเธอไปตลอด หรือจนกว่าเธอจะปกป้องตัวเองได้
ฉันเคารพความรู้สึกของเธอนะ แต่ต้องเข้าใจด้วยว่าฉันจะไม่ตอบรับมันจนกว่าเธอจะ ‘ค้นพบ’ วิธีใช้ชีวิตที่ดีกว่านี้ วิธีที่ไม่ต้องใช้ร่างกายตัวเองเข้าแลก…
จะหาว่าฉันเห็นแก่ตัวก็ได้ แต่ฉันรู้สึกชื่นชมและนับถือพวกที่พยายามพัฒนาตัวเองอยู่ตลอด… และคิดว่าการอยู่เพื่อคนอื่นอย่างเดียวน่ะมันเป็นอะไรที่น่าเศร้ามาก
เมื่อไหร่ก็ตามที่เธอค้นพบสิ่งนั้น ฉันก็จะรออยู่ตรงนี้เหมือนเดิม
ถ้าหาไม่เจอจริงๆ ฉันก็จะช่วยเธอหามันอีกแรง…”
ตลอดเวลาที่วาห์นพูด ฮารุฮิเมะก็ยังคงจ้องมองดวงตาสีน้ำทะเลของเขาอยู่ตลอด
เธอรู้สึกแปลกใจนิดๆ ที่เห็นเขาแปลงร่างกลับมาเป็นเผ่ามนุษย์และเอาแต่จ้องใบหน้าหล่อเหลาโดยไม่คิดจะพูดขัดกลางคัน
การได้ยินวาห์นพูดเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเธอเองโดยไม่หวังผลตอบแทนนั้นยิ่งทำให้ความปรารถนาที่จะได้อยู่ด้วยกันตลอดไปฝังลึกแน่นกว่าเดิมเสียอีก
หากเขาอยากให้เธอแข็งแกร่งจนยืนได้ด้วยตัวเอง งั้นเธอก็จะตามนั้น นี่คือสิ่งที่สมองและหัวใจฮารุมิเนะสรุปออกมา
ถึงจะต้องแสร้งทำเป็นไขว่คว้าตามหาเรื่องอื่น ฮารุมิเนะก็จะไม่ลืมความปรารถนานี้เด็ดขาด… ความปรารถนาที่จะได้อยู่ใกล้กับวีรบุรุษของเธอ นั่นคือ ‘ความสุขชั่วรันดร์’ ที่เอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอม