หยวนชิงหลิงที่ปรับตัวเข้ากับความมืดอยู่ จู่ ๆ ก็ถูกแสงไฟส่องจ้าเข้ามาแยงนัยน์ตาแบบกะทันหันไม่ทันตั้งตัว นางรีบยกมือขึ้นมาบังแสงนั้นทันที จากนั้นก็ได้ยินเสียงคุกเข่าคำนับดังตึง แม่นมฉีคุกเข่าลงกับพื้น “พระชายา ข้าน้อยช่างโง่เขลา ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี เอาแต่โทษท่านแบบผิดๆ ท่านได้โปรดช่วยหกเกอเอ๋อด้วยเถิดเพคะ”
“พยุงข้าลุกขึ้นหน่อย!” หยวนชิงหลิงค่อยๆ ลดมือวางลงช้าๆ พูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่า
แม่นมฉีรีบวางตะเกียงลง แล้วเข้าไปช่วยพยุงหยวนชิงหลิง เห็นว่าที่แผ่นหลังของนางชุ่มโชกไปด้วยเลือด นางรู้ว่าหยวนชิงหลิงได้รับบาดเจ็บหนักจากทัณฑ์โบยด้วยไม้ จึงเกิดความลังเลขึ้นมาครู่หนึ่ง ลึกๆในใจ นางยังคงรู้สึกเกลียดชังผู้หญิงคนนี้อยู่ แต่ว่า ถ้าสิ่งที่หกเกอเอ๋อพูดมาเป็นเรื่องจริงล่ะ?
“พระชายา ท่านยืนไหวหรือไม่เพคะ?”
“ไปเอากล่องยาของข้ามา!” หยวนชิงหลิงรู้ว่าแม่นมฉีเกลียดนางมากแค่ไหน แต่กลับยอมคุกเข่าอ้อนวอนขอให้นางช่วย นั่นเป็นไปได้ว่า ตอนนี้หกเกอเอ๋ออยู่ในสภาพที่เลวร้ายแล้วแน่ ๆ ดังนั้น นางจึงไม่สนแล้วว่าจะมีใครเห็นกล่องยาของนางเข้า
“เพคะ! เพคะ!” แม่นมฉีรีบเดินไปหยิบกล่องยา แล้วค่อยกลับมาช่วยพยุงนางลุกขึ้น
หยวนชิงหลิงก้าวขาเดินออกไปได้ก้าวเดียว ก็รู้สึกเจ็บร้าวที่สะโพกหลังกับขาอย่างหนัก เพิ่งจะเดินออกประตูไปได้ ทั้งเนื้อทั้งตัวก็อาบชุ่มไปด้วยเหงื่อแล้ว นางเจ็บจนฟันกระทบกันไม่หยุด
“ พระชายา……”
“อย่ามัวเสียเวลาพูดมาก ไป!” หยวนชิงหลิงเอ่ยสั่ง ฝืนกัดฟันอดทนต่อความเจ็บปวด
เดิมทีนางคิดช่วยคนโดยบริสุทธิ์ใจอยู่แล้ว แต่ในตอนนี้ การช่วยหกเกอเอ๋อให้รอดชีวิต กลับถือเป็นอีกหนึ่งหนทางที่นางคิดในใจ หนทางที่ว่านั้นก็คือ การเรียกคืนความรักใคร่เชื่อถือจากผู้คน มีเพียงวิธีนี้เท่านั้น ที่จะทำให้ตัวนางสามารถมีชีวิตอยู่ที่นี่ต่อไปได้
“ คนไม่ตายแล้ว!”
ทันใดนั้นเอง ก็ได้ยินเสียงใครบางคนพูดขึ้น
หยวนชิงหลิงหันขวับไปมองแม่นมฉีโดยไม่รู้ตัว แม่นมฉีมือหนึ่งถือตะเกียง มือหนึ่งก็คอยพยุงนางไว้ ไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำ เมื่อเห็นหยวนชิงหลิงหันมามองนาง ก็ขมวดคิ้วจนหน้าผากย่น เอ่ยถามออกไปอย่างรวดเร็วว่า ” พระชายา หรือว่าท่านจะเจ็บมากจนเดินไม่ไหวเพคะ?”
เสียงไม่เหมือนกัน
เสียงของแม่นมฉีนั้น ฟังแล้วจะรู้ได้ว่าเป็นเสียงคนมีอายุ แต่เสียงที่เพิ่งได้ยินเมื่อครู่นั้น ฟังแล้วเหมือนเสียงคนที่ยังไม่โตเท่าไหร่ มันเหมือนเสียงของเด็กมากกว่า
หยวนชิงหลิงส่ายหน้าช้าๆ พลันได้ยินเสียงบางอย่างดังแว่วมาเข้าหูอีก ครั้งนี้นางฟังไม่ออกว่ามันคือเสียงอะไร เพียงแต่พอจะแยกแยะทิศทางของเสียงที่แว่วมาได้ว่า เป็นเสียงที่มาจากฝั่งต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่อยู่ในสวน
มีนกสองตัว พากันกระพือปีกทะยานจากต้นไม้นั้น กางปีกเหินบินสูงขึ้นไป
เป็นเสียงของนกหรือ? เอ๋ นางสับสนงุนงงไปครู่หนึ่ง ตอนแรกยังเข้าใจว่าเป็นเสียงคนพูด
เมื่อมาถึงลานอ่าย หยวนชิงหลิงก็หมดสิ้นเรี่ยวแรงที่ฝืนเค้นออกมาจนถึงที่สุดแล้วจริงๆ ขาทั้งสองข้างของนางสั่นระริก แต่ถึงอย่างนั้น นางก็ไม่ยังอาจนั่งลงพักผ่อนได้
“พวกเจ้าออกไปก่อน!” หยวนชิงหลิงเอ่ยสั่งแม่นมฉีกับลู่หยา
แม่นมฉีลังเลขึ้นมาอีกครั้ง ความรู้สึกที่นางมีต่อหยวนชิงหลิง ยังไม่อาจพูดได้ว่าเชื่อจนเต็มปาก
“ ให้ข้าน้อยอยู่ช่วยในนี้เถอะเพคะ”
หยวนชิงหลิงก้มหน้าลงต่ำ “หรือไม่ เจ้าก็มารักษาเอง?”
แม่นมฉีเห็นว่าหกเกอเอ๋อไข้ขึ้นสูงจนไม่รู้ตัวไปแล้ว รู้สึกว่านี่คงเป็นเส้นแบ่งระหว่างความเป็นความตายที่ใกล้เข้ามาทุกขณะ จึงพูดขึ้นว่า “เช่นนั้น ข้าน้อยกับลู่หยาจะไปรออยู่ข้างนอก หากพระชายาต้องการอะไร โปรดสั่งมาได้ทันทีนะเพคะ”
แต่ในใจกลับคิดว่า หากมีอะไรเกิดขึ้นกับหกเกอเอ๋อจริงๆ นางจะขอสู้แบบยอมแลกด้วยชีวิตเลยทีเดียว
ลู่หยายังคิดอยากจะพูดอะไรต่อ แต่แม่นมฉีก็ดึงตัวนางออกไปข้างนอกเสียก่อน
หยวนชิงหลิงสั่งออกไปว่า “ปิดประตูให้ดี อย่าแอบดูล่ะ ไม่อย่างนั้นหากเกิดอะไรขึ้น ข้าจะไม่รับผิดชอบทั้งนั้น”
“ ไม่กล้าแอบดูแน่นอนเพคะ” แม่นมฉีรับคำพลางปิดประตู
หยวนชิงหลิงถอนหายใจเฮือก ค่อยๆเลื่อนกล่องยาเข้าไป
นางเอื้อมมือไปแตะหน้าผากของหกเกอเอ๋อเพื่อวัดอุณหภูมิ ระดับอุณหภูมิที่มือรู้สึกได้อยู่ที่อย่างน้อยราวๆสี่สิบองศา
หยวนชิงหลิงให้ยาลดไข้เขาก่อนเม็ดหนึ่ง แล้วค่อยฉีดยาให้เขาอีกเข็ม
เมื่อคลายผ้าที่ใช้พันแผลออก ก็พบว่าแผลเปลี่ยนเป็นสีแดงและบวมขึ้นแล้ว มีอะไรบางอย่างที่เหนียวเหนอะหนะอยู่ด้านบน ลักษณะคล้ายเป็นผงยา นางขูดออกแล้วลองขยี้ดู จึงพบว่าเป็นผงซานชี
แผลอักเสบจนเกิดหนอง ยังจะใช้ผงซานชีทาภายนอกอีก จะไม่ให้แผลอักเสบเพิ่มจนติดเชื้อได้อย่างไรล่ะ?
หยวนชิงหลิงอดโกรธขึ้นมาไม่ได้ หมอไร้ฝีมือนี่มันทำร้ายคนได้จริงๆ
นางทำความสะอาดแผลให้หกเกอเอ๋ออีกครั้ง ขูดผงซานชีที่ตอนนี้ ได้ละลายจนผสมปนเปไปกับน้ำเลือดน้ำหนองออกจนหมด แล้วปิดทับด้วยผ้าพันแผล