หิวแสง Give me the Spotlight – ตอนที่ 3

ตอนที่ 3

ผู้กำกับหลิวขมวดคิ้วครุ่นคิด เพราะท่าทีของอีกฝ่ายต่างจากเมื่อครู่มาก กู้เซียงเพิ่งจะตะโกนด่าเขาว่าไม่ยุติธรรมต่อหน้าทุกคนในกองถ่าย รวมถึงชี้หน้าด่าเฉินซีว่าเป็นพวกใช้เส้นสาย

เขาเคยเจอดาราหน้าใหม่ที่จองหองอยู่บ้าง แต่ประเภทที่อาละวาดโดยไม่สนสี่สนแปด ไม่รู้กฎของวงการบันเทิงแบบนี้ เพิ่งเคยเจอเป็นครั้งแรก

กู้เซียงยังคงก้มหน้านิ่ง ดวงตาฉายแววกังวล เมื่อถูกสาวงามมองด้วยแววตาออดอ้อน ผู้กำกับหลิวก็เริ่มใจอ่อน อารมณ์โกรธลดลงอย่างฉับพลัน

เขาถอนหายใจยาว ก่อนจะเอ่ยกับกู้เซียง “ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ ฉากต่อไปจะเริ่มแล้ว”

ชายหนุ่มสวมหมวกแก๊ปเมื่อครู่คือช่างแต่งหน้า พอได้ยินที่ผู้กำกับพูดก็รีบกวักมือเรียกกู้เซียง “ตามผมมา”

กู้เซียงโค้งขอบคุณผู้กำกับ รีบเดินตามอีกฝ่ายไปที่ห้องแต่งตัว

“ผมขอแนะนำอะไรหน่อยได้ไหม?” ช่างแต่งหน้าหนุ่มเปิดประเด็น “เวลาเจอเรื่องแบบนี้ อย่าคิดว่าตัวเองเสียเปรียบหรือแค่ขอโทษแล้วก็จบ ครั้งนี้ไม่ได้งานก็เก็บคอนเน็กชันไว้ คุณเพิ่งเข้าวงการเอง โอกาสยังมีอีกมากไม่ต้องรีบร้อนหรอก”

กู้เซียงพยักหน้ารับคำ เพราะรู้ดีว่าเส้นสายในวงการบันเทิงสำคัญเพียงใด

เสียดายที่ชาติก่อนเธอไม่ระมัดระวังเกี่ยวกับเรื่องนี้ จึงไม่มีคนในวงการบันเทิงเห็นอกเห็นใจตอนที่เหลียงจี้ประกาศแต่งงานกับเฉียวอิ้งฉิง

บทที่กู้เซียงได้รับคือหญิงชาวบ้านที่เป็นใบ้ แต่งกายด้วยเสื้อผ้าธรรมดา ผมยาวสลวยถูกรวบไว้อย่างหลวมๆ ปล่อยจอนทั้งสองข้างให้ดูเป็นธรรมชาติ

ช่างแต่งหน้าหนุ่มแค่ลงแป้งบางๆ แล้วเติมลิปสติกให้เธอเล็กน้อย “เสร็จแล้ว”

เห็นอีกฝ่ายมีสีหน้าพึงพอใจ กู้เซียงก็ลุกขึ้นขอบคุณ

ริมฝีปากสีชมพูระเรื่อช่วยขับให้ฟันขาวเรียงตัวสวย แม้จะแต่งหน้าเพียงบางเบา ก็ไม่อาจซ่อนความงามชวนหลงใหลของเธอได้

“ไม่เป็นไร รีบไปเถอะ” เขาตอบ

เธอรีบเดินออกจากห้องแต่งตัวไปเข้ากอง พอเปิดประตูก็พบกับเฉินซีและเฉินเหล่ยที่ยืนคุยกันอยู่

“เป็นแค่เด็กใหม่ทำเรื่องมาก ไม่เจียมกะลาหัวเลยจริงๆ!” เฉินเหล่ยกระแนะกระแหน

“พอได้แล้ว!” แม้จะพูดห้าม แต่สายตาของเฉินซีกลับดูหมิ่นกู้เซียงอย่างเห็นได้ชัด “จะไปให้ค่าทำไม ก็แค่คนอยากเข้าวงการจนตัวสั่น!”

เฉินซีคือดาราหน้าใหม่ไฟแรงที่กำลังได้รับความนิยมจากคนในวงการ นอกจากหน้าตาจะออกแนวโมเดิร์น เธอยังสวยใสไร้เดียงสาอีกด้วย

ในยุคที่นิยมคนสวยแบบไม่ผ่านการศัลยกรรมเช่นนี้ มีหรือที่นางเอกอย่างเฉินซีจะยอมให้คนอื่นเด่นกว่า

“พี่ว่างานนี้ฉันจะดังไหม?” เฉินเหล่ยถาม

เฉินเหล่ยอายุไม่ถึงยี่สิบปี พอเห็นแสงสีของวงการบันเทิงก็คิดอยากดัง แต่จะดังด้วยวิธีไหนเธอไม่สนใจ ต่อให้ต้องแย่งบทของคนอื่นก็ตาม

เฉินซีปลอบน้องสาวแล้วพยักพเยิดหน้าไปที่กล้องถ่ายหนัง “ยัยนั่นมาแล้ว”

ด้วยความที่เป็นดาราหน้าใหม่ เฉินซีจึงอดจับตามองกู้เซียงไม่ได้

ตอนพบกันครั้งแรก เธอรู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้มีดีแค่หน้าตา ไม่มีฝีมือด้านการแสดงอะไร ยิ่งได้เห็นกิริยาก้าวร้าวที่มีต่อผู้กำกับ ก็ยิ่งรู้ว่าไม่ใช่คนฉลาดอะไร

ฉากที่ต้องเล่นในวันนี้คือฉากที่เกาลี่ซึ่งแสดงเป็นนายพลกำลังเดินทางกลับบ้านหลังเสร็จสิ้นสงคราม เขานึกขึ้นได้ว่านางเอกเคยบอกที่อยู่ในบ้านเกิด ซึ่งเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ห่างไกลชุมชน จึงเดินทางเพื่อเสาะหาบ้านเกิดของเธอ แล้วบังเอิญได้พบกับหญิงใบ้ที่กำลังซักผ้าอยู่ตรงทางเข้าหมู่บ้าน

หลังเข้าไปสอบถาม หญิงใบ้ก็ชี้นิ้วบอกทาง ภาพตรงหน้าแสดงให้เห็นถึงความอบอุ่นและความอุดมสมบูรณ์ของหมู่บ้านที่เหลือเพียงซากปรักหักพัง ชำรุดทรุดโทรม ชวนให้รู้สึกอ้างว้างหดหู่ เมื่อหานางเอกไม่พบ ท่านนายพลก็เดินทางกลับ

ฉากนี้จงใจให้เห็นถึงความเสียหายที่สงครามทิ้งไว้ รวมถึงจุดจบที่แสนเศร้าของภาพยนตร์ด้วย

กู้เซียงเล่นเป็นหญิงใบ้ที่บอกทางให้นายพล ได้ปรากฏตัวเพียงไม่กี่วินาที สมกับที่เป็นตัวประกอบจริงๆ

ผู้เล่นคนสำคัญในฉากนี้คือเกาลี่ ทุกอย่างถูกจัดเตรียมไว้อย่างเรียบร้อย หลังเข้าประจำการหลังจอมอนิเตอร์ ผู้กำกับหลิวก็สั่งเริ่มถ่าย

“แอคชั่น!”

เกาลี่ในเครื่องแบบนายพลอยู่บนหลังม้า ใบหน้าหล่อเหลา รูปร่างสูงใหญ่ ลำตัวตั้งตรง สายตาทอดมองไปไกล คล้ายกำลังมองหาหญิงสาวผู้เป็นที่รัก หวังว่าจะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่กับเธอ

เขาคือนักแสดงมากประสบการณ์ จึงวางมาดเป็นนายพลได้อย่างสมจริง แม้แต่แววตาก็ยังแสดงให้เห็นว่าเข้าถึงบทบาทอย่างสมบูรณ์

เกาลี่กระโดดลงจากหลังม้า มือข้างหนึ่งยังคงกุมสายบังเหียน ที่ข้างบ่อบาดาลเขาเห็นหญิงสาวคนหนึ่งกำลังตักน้ำอยู่ จึงเดินเข้าไปสอบถาม

“ที่นี่ใช่หมู่บ้านเฟิงซีหรือเปล่าครับ?”

ทันทีที่ได้ยินเสียง หญิงชาวบ้านก็ทำหน้าตกใจ ถังน้ำในมือของเธอหล่นคว่ำลงกับพื้น สายตาจับจ้องชายหนุ่มตรงหน้าด้วยความหวาดระแวง

เฉินซีกับเฉินเหล่ยขมวดคิ้วเพราะอีกฝ่ายกำลังเล่นนอกบท ในนั้นเขียนไว้เพียงว่าหญิงใบ้ชี้บอกทางให้นายพล ส่วนถังน้ำที่หลุดมือและท่าทางหวาดกลัวล้วนเป็นสิ่งที่กู้เซียงคิดขึ้นเอง

ไม่ทันที่เฉินซีจะได้ทักท้วง ผู้กำกับก็ส่งสัญญาณมือให้เล่นต่อ

เกาลี่จึงแสดงตามบทโดยถามหญิงใบ้อีกครั้ง ตอนแรกเธอทำท่าลังเล สักพักก็ชี้ไปที่ทางเข้าหมู่บ้านแล้วก้มลงเก็บถังน้ำ

หลังกล่าวขอบคุณ นายพลก็จูงม้าเดินจากไป

“คัท!” ผู้กำกับตะโกนสั่ง ก่อนจะพูดกับกู้เซียงว่า “ส่วนของเธอถ่ายจบแล้ว กลับบ้านได้”

เหวินจิ้งเม้มริมฝีปากด้วยความคับแค้นใจ ในฐานะผู้จัดการส่วนตัว การต้องเห็นศิลปินในสังกัดถูกรังแก เป็นเรื่องที่รับได้ยาก แต่กู้เซียงยังเป็นดาราหน้าใหม่ ไม่สมควรมีข่าวในเชิงลบ จึงต้องข่มใจไว้ก่อน

เฉินเหล่ยแกล้งเดินเข้าใกล้กู้เซียงแล้วพูดลอยๆ ว่า “แย่งซีนเก่งชะมัด!”

กู้เซียงหันมองแล้วทำเป็นไม่สนใจ เฉินเหล่ยจึงกัดฟันด้วยความโมโห—ไม่มีปัญญารั้งบทของตัวเอง แล้วยังกล้าทำเป็นหยิ่งอีก พวกไม่เจียมตัว!

เฉินเหล่ยไม่มีเวลาจะต่อปากต่อคำ เพราะต้องเตรียมตัวถ่ายฉากต่อไปแล้ว

ที่ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า เหวินจิ้งพยายามให้กำลังใจกู้เซียง “เธอทำดีมากนะ งานหน้าต้องได้บทปังกว่านี้แน่นอน”

กู้เซียงรู้สึกถึงความผิดหวังในสีหน้าของเหวินจิ้ง เพราะศิลปินกับผู้จัดการมักได้ประโยชน์ร่วมกัน

ที่ผ่านมาเหวินจิ้งปฏิบัติกับเธอด้วยความจริงใจตลอด แต่ก็มีอันต้องเปลี่ยนผู้จัดการส่วนตัวอีกหลายคน และทุกคนมักจะรับงานโดยไม่สนใจสุขภาพของเธอ ส่งผลให้คุณภาพของงานด้อยลง เมื่องานไม่ได้มาตรฐานติดกันหลายครั้ง การออกมาแก้ตัวผ่านสื่อก็ยิ่งทำให้ทุกอย่างแย่ขึ้นไปเรื่อยๆ

เกือบลืมไปว่าผู้จัดการคนสุดท้ายที่ทำงานกับกู้เซียงนานที่สุด ก็ได้มาจากการแนะนำของเหลียงจี้

เห็นอีกฝ่ายนิ่งไปนาน เหวินจิ้งก็เริ่มสงสัย เดิมกู้เซียงเป็นคนอารมณ์ร้อนแต่ด้วยความที่ยังเด็กจึงไม่มีใครถือสาหาความ เพราะอย่างน้อยเธอก็อัธยาศัยดี มาวันนี้กลับดูเคร่งขรึมจนเหมือนเป็นคนละคน สีหน้าท่าทางยากที่จะเข้าถึงโดยง่าย

“เซียงเซียง” เหวินจิ้งลองเรียกอีกครั้ง

พอได้สติ กู้เซียงก็ถามเรื่องงานทันที “เตรียมทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้วใช่ไหม?”

การที่อีกฝ่ายใส่ใจกับตารางงานทำเหวินจิ้งขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“ช่วงนี้บริษัทได้รับการติดต่อจากผู้จัดหลายเจ้า เพราะละครกับหนังอีกหลายเรื่องยังขาดนักแสดงอยู่ ฉันขอเวลาอ่านบทก่อน ถ้าเห็นว่าเหมาะสมค่อยว่ากันอีกที เพิ่งเข้าวงการจะเลือกรับงานมากไม่ได้ เดี๋ยวจะเสียคะแนนนิยม”

“อืม”

แผนการของเหวินจิ้งตรงกับที่กู้เซียงคิดไว้พอดี

โลกใบนี้ มีได้ก็ต้องมีเสีย

กู้เซียงได้โอกาสเกิดใหม่ ได้รูปโฉมและวัยสาวที่สูญหายกลับคืน แต่ก็ต้องแลกกับแรงสนับสนุนที่เคยสั่งสมมาตลอดการทำงานในวงการบันเทิงที่สูญหายไป

เมื่อเทียบกับอดีตที่บัดซบ การได้เริ่มต้นใหม่ย่อมเป็นเรื่องที่ดีกว่า

กู้เซียงยืนอยู่หน้าเตียงในห้องเช่าที่ดูสะอาดสะอ้าน พื้นที่ไม่ถึงร้อยตารางเมตร

ค่าเช่าที่นี่ค่อนข้างสูงเพราะอยู่ใจกลางเมือง รายได้ส่วนใหญ่ของเธอจึงหมดไปกับการเช่าห้อง แต่กู้เซียงไม่รู้สึกเสียดาย เพราะการลงทุนครั้งนี้ให้ผลตอบแทนดีมาก

นอกจากเรื่องที่เธอตาบอดไปหลงรักคนไม่ดีและทนโง่มานานกว่าสี่ปี เรื่องอื่นๆ กลับมีวิสัยทัศน์ดีเยี่ยม เมื่อได้กลับมาเยือนที่นี่อีกครั้ง จึงเกิดความรู้สึกหลากหลายในใจ

เหลียงจี้เกิดในตระกูลร่ำรวย สื่อต่างๆ พากันประโคมข่าวว่าเธอโชคดีที่ได้แต่งงานกับเขา แต่สะใภ้ในตระกูลร่ำรวยนั้นลำบากมาก พ่อแม่สามีต่างดูแคลนว่าเธอเป็นพวกเต้นกินรำกิน แม้ความเป็นอยู่จะไม่ลำบาก แต่ก็ต้องโดดเดี่ยวในห้องกว้างขวางบ่อยครั้ง

บ้านตระกูลเหลียงมีอาณาบริเวณกว้างขวาง ตอนมาถึงครั้งแรกเธอตื่นตาตื่นใจกับความหรูหราตรงหน้ามาก เนื่องจากเป็นลูกชาวบ้านธรรมดาเติบโตในสังคมตลาด กู้เซียงจึงไม่เคยได้สัมผัสกับชีวิตที่หรูหราขนาดนี้มาก่อน

หิวแสง Give me the Spotlight

หิวแสง Give me the Spotlight

Status: Ongoing

หลอกให้รัก แล้วผลักลงนรก?

ชาติที่แล้ว ซูเปอร์สตาร์อย่างฉัน ‘กู้เซียง’ มีตาแต่ไร้แวว

ฉันถูกเศษสวะอย่าง ‘เหลียงจี้’ ดาราชายสุดหล่อหลอกให้รัก

สร้างเรื่องฉาว ดึงออกจากวงการบันเทิง และกำจัดทิ้ง

ทั้งหมดทั้งสิ้น เขาทำเพื่อเปิดทางให้ผู้หญิงในดวงใจ ‘เฉียวอิ้งฉิง’

ก้าวขึ้นมาคว้าแสงแฟลชทั้งหมดที่เคยเป็นของฉัน

เมื่อถูกโลกใบนี้ทอดทิ้ง ฉันแค้น… แค้นมันทั้งคู่

ฉันกระโดดตึกตายในวันที่สารเลวทั้งสองประกาศแต่งงานกัน!

หากย้อนวันเวลาได้อีกครั้ง กลับไปยังจุดสตาร์ตได้อีกหน

อดีตเจ้าแม่แห่งวงการบันเทิงอย่างฉันจะไม่ยอมให้พวกมันมีที่ยืน

คืน ‘แสง’ ของฉันมา!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท