กำเนิดใหม่ : ปรมาจารย์เทพโอสถ – ตอนที่ 22 ในสายตาของข้า เจ้าคือไก่อ่อน

กำเนิดใหม่ : ปรมาจารย์เทพโอสถ

        “นี่มันช่าง… ไม่กลัวตายจริงๆ!”

        ผู้คนตกตะลึงในความใจกล้าของอวิ๋นโม่ นั่นคือว่าที่เจ้าบ้านตระกูลฉิน ฐานะสูงส่ง ไม่มีผู้ใดในเมืองกวนซานเจิ้นกล้าล่วงเกิน คิดไม่ถึงว่าคนตรงหน้านี้เตะเพียงครั้งเดียวก็ทำเอาฉินเหอหลินปลิวไปไกล หลายคนมองอวิ๋นโม่ด้วยสายตาที่เหมือนมองคนตายผู้หนึ่ง

        จากลักษณะของอวิ๋นโม่ เขาเป็นเพียงผู้ฝึกยุทธ์ระดับเสริมกำลัง แต่กล้าทำเรื่องใหญ่โตเช่นนี้ ต่อให้เป็นลูกหลานของอีกสองตระกูลใหญ่เกรงว่าคงไม่รอดเช่นกัน

        “คนต่ำช้า เจ้าบังอาจลอบโจมตีข้า!” ฉินเหอหลินคำรามอยู่บนพื้น เตะบ่าวที่ทับอยู่ด้านบนออกไป

        “บนร่างของเขาไม่มีพลังปราณ ต้องเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับเสริมกำลัง นายน้อยฉินเป็นยอดฝีมือระดับเสริมกำลังชั้นสูง เป็นอันดับหนึ่งของรุ่นเยาว์ตระกูลฉิน คนผู้นั้นทำร้ายนายน้อยฉินได้ก็เพราะลอบโจมตี ตอนนี้นายน้อยฉินเตรียมพร้อมแล้ว เด็กนั่นจะต้องถูกนายน้อยฉินสั่งสอนอย่างโหดเหี้ยมสักรอบแน่!”

        “หึ! ต่อให้เขามีพรสวรรค์ด้านวรยุทธ์เหนือกว่านายน้อยฉินแล้วอย่างไร เมื่อยอดฝีมือระดับเปลี่ยนชีพจรของตระกูลฉินมาถึง คนผู้นั้นต้องตายอย่างไร้ทางรอด!”

        คนที่ต่อแถวซื้อตั๋วพากันถอยหลังออกไป อยู่ให้ห่างจากอวิ๋นโม่ราวกับหลบหลีกงูพิษ 

        เด็กขายตั๋วยังคงตกตะลึง มองอวิ๋นโม่อย่างตั้งสติไม่ได้ พอได้ยินเสียงของอวิ๋นโม่ก็ยังเหม่อลอยอยู่บ้าง “หือ ตั๋ว อะ… อะไร”

        ฉินเหอหลินลุกขึ้นมาด้วยความโกรธสุดขีด เพลิงโทสะลุกโชนในดวงตา เขาก้าวเข้าหาอวิ๋นโม่ทีละก้าว ขบฟันกล่าวอย่างเกรี้ยวกราด “ไอ้หนู คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะกล้าลอบโจมตีข้า! แต่คิดหรือว่าจะทำให้ข้าบาดเจ็บได้ ทั้งๆ ที่รู้ว่าข้าคือว่าที่เจ้าบ้านตระกูลฉินยังกล้าลงมือ ต้องยอมรับว่าเจ้าช่างขวัญกล้านัก!”

        อวิ๋นโม่เหลือบมองเด็กขายตั๋วอย่างเย็นชา ไม่พอใจท่าทีของอีกฝ่าย เมื่อเห็นเขายังคงไม่เคลื่อนไหวจึงได้แต่หันไปจัดการทางฉินเหอหลิน

        “ก็แค่ว่าที่เจ้าบ้านตระกูลฉินเท่านั้น ไม่รู้ว่าเจ้าไปเอาความมั่นใจมาจากไหน หากเจ้าเป็นเจ้าบ้านตระกูลฉินจริงๆ ไม่แน่ว่าข้าอาจเกรงใจสักสามส่วน แต่ว่าเจ้าในตอนนี้ก็เป็นแค่ไก่อ่อนเท่านั้น!”

        เจ้าบ้านตระกูลฉินเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับก่อจิต อวิ๋นโม่ในตอนนี้ย่อมไม่อาจรับมือ ขอเพียงไม่ได้เผชิญหน้ากับผู้ฝึกยุทธ์ระดับก่อจิต นอกนั้นอวิ๋นโม่ไม่ใส่ใจ ฉินเหอหลินเป็นเพียงผู้ฝึกยุทธ์ระดับเสริมกำลังขั้นเก้าชั้นฟ้า ย่อมไม่อยู่ในสายตาของอวิ๋นโม่อยู่แล้ว

        “คนบางคนช่างโอหังบังอาจนัก!” บางคนส่ายศีรษะพลางหัวเราะเบาๆ

        “มีความมั่นใจเป็นเรื่องดี แต่มั่นใจมากเกินไปอาจกลายเป็นเรื่องโง่!”

        “นายน้อยฉินมีพรสวรรค์ล้ำเลิศ นอกจากศิษย์ผู้มีพรสวรรค์ของอีกสองตระกูล คนรุ่นเยาว์ในเมืองกวนซานเจิ้นไม่มีใครเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้ เด็กหนุ่มผู้นี้ ในเมื่อไม่เห็นนายน้อยฉินอยู่ในสายตาก็นับว่าโอหังมากจริงๆ”

        หลังเด็กขายตั๋วได้สติกลับมาก็เผยสีหน้ากังวลใจ เอ่ยโน้มน้าวอวิ๋นโม่ว่า “สหายผู้นี้ นายน้อยฉินไม่ใช่ผู้ที่เจ้าจะหาเรื่องได้ หากยังไม่อยากตายก็รีบโขกศีรษะขอขมาต่อนายน้อยฉินเถอะ! นายน้อยฉินจิตใจกว้างขวาง ขอเพียงเจ้าโขกศีรษะ เขาจะต้องไม่เอาชีวิตเจ้าแน่!”

        อวิ๋นโม่ในตอนนี้ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของยอดยุทธ์ระดับก่อจิต แต่ถึงจะสู้ไม่ได้ ก็ไม่ได้แปลว่าไม่สามารถหลบหนี

        พอบ่าวรับใช้ของฉินเหอหลินลุกขึ้นได้ก็ด่าทออวิ๋นโม่รอบหนึ่ง จากนั้นเริ่มร่ำร้อง “เจ้าเด็กน้อย นายน้อยเป็นยอดฝีมือในหมู่ผู้เยาว์ตระกูลฉิน ต่อให้เป็นผู้มีพรสวรรค์รุ่นเยาว์ของตระกูลอวิ๋นและตระกูลซางก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนายน้อยบ้านข้า หากเจ้ายังอยากมีชีวิตอยู่ล่ะก็ จงรีบมาคุกเข่าขอขมาตรงหน้านายน้อย หากนายน้อยอารมณ์ดีอาจไว้ชีวิตเจ้า!”

        “อ๋อ เจ้าเป็นสุดยอดฝีมือรุ่นเยาว์ของตระกูลฉิน” อวิ๋นโม่ยิ้มถาม

        “ไม่ผิด เป็นอย่างไร กลัวละสิ ถ้ากลัวก็รีบมาคุกเข่าตรงหน้าข้า โขกศีรษะให้ข้าสักหลายครั้ง!” ฉินเหอหลินเผยสีหน้าลำพอง กระทืบเท้าบนพื้นดินตรงหน้า

        อวิ๋นโม่ถอนหายใจพลางส่ายศีรษะ “อาศัยความสามารถอย่างเจ้าก็เป็นยอดฝีมือรุ่นเยาว์ตระกูลฉิน นี่ไม่อาจบอกว่าเจ้าแข็งแกร่ง ได้แต่บอกว่า…”

        “ทำไม”

        ผู้คนต่างมองมาด้วยความสงสัย อยากรู้ว่าอวิ๋นโม่จะพูดอะไร

        “ได้แต่บอกว่า ผู้เยาว์ตระกูลฉินของเจ้า ทั้งหมดเป็นเศษสวะ!”

        “ไอ้นี่ หาเรื่องตาย!” บ่าวรับใช้โกรธจัด

        ใบหน้าฉินเหอหลินเปลี่ยนเป็นสีเขียว สาวเท้าเดินเข้าหา “ในเมื่อเจ้าดื้อดึงไม่รู้จักคิด เรียกร้องอยากตาย ข้าก็จะสนองให้!”

        “นายน้อยฉินโกรธแล้ว เจ้าเด็กนั่นตายแน่!” ฝูงชนด้านหลังต่างพากันถอยออกไป เกรงว่าจะถูกลูกหลง

        บ่าวตระกูลฉินยิ่งแสดงสีหน้าได้ใจกว่าเดิม นายน้อยฉินโกรธแล้ว ไอ้เด็กบ้านั่นจะต้องตายแน่!

        เด็กขายตั๋วได้แต่ส่ายศีรษะ เขาเห็นว่าอวิ๋นโม่ไม่รู้สถานการณ์ “คนหนุ่ม รักหน้าตายังพอเข้าใจได้ แต่รักหน้าจนไม่รักชีวิตนับว่าโง่เขลาเกินไป” ตอนนี้ในใจของเขากำลังไว้อาลัยให้อวิ๋นโม่แล้ว

        ผู้คนต่างเห็นว่าอวิ๋นโม่ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฉินเหอหลิน แต่หลังจากนี้สีหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนเป็นงงงัน

        ฉินเหอหลินต่อยออกไปหนึ่งหมัด หมัดนี้ลงมือรวดเร็วราวสายฟ้า อวิ๋นโม่กลับหลบไปด้านข้างหนึ่งก้าว ท่วงท่าดูธรรมดา แต่กลับหลบหมัดที่บ้าคลั่งนั้นได้ สิ่งที่ทำให้ฝูงชนยิ่งประหลาดใจอยู่ต่อจากนี้ แค่มือขวาของอวิ๋นโม่ยื่นออกไปก็คว้าลำคอของฉินเหอหลินไว้ได้แล้ว

        “เจ้า!” ฉินเหอหลินตกตะลึงจนหน้าถอดสี เดิมทีคิดว่าต่อให้อีกฝ่ายมีพละกำลังแข็งแกร่ง ขอเพียงตนเองลงมือสักหลายกระบวนท่าก็ต้องพ่ายแพ้แน่ แต่ที่คิดไม่ถึงคือเขาที่เป็นถึงอันดับหนึ่งของผู้เยาว์ตระกูลฉิน กลับถูกอีกฝ่ายคุมตัวไว้ ฉินเหอหลินยกสองมือ คิดจะกระชากมือของอวิ๋นโม่ออก แต่มือของอวิ๋นโม่เป็นเหมือนคีมเหล็ก แนบอยู่บนลำคอของเขาอย่างแน่นหนา ฉินเหอหลินไร้หนทางหลุดพ้นจากมือฝ่ายตรงข้าม

        “เจ้าคิดว่าตัวเองแข็งแกร่ง แต่สำหรับข้าแล้ว เจ้าก็เป็นแค่ไก่อ่อนตัวหนึ่งเท่านั้น!” อวิ๋นโม่ดึงฉินเหลอหลินกระแทกกับกำแพงร้านขายตั๋ว

        เปรี้ยง!

        ภายใต้พละกำลังมหาศาล ร้านขายตั๋วทั้งหลังถึงกับสั่นสะเทือน ฉินเหอหลินกระอักเลือดคำหนึ่ง สีหน้าเปลี่ยนเป็นซีดขาว

        “ไอ้ลูกสำส่อน เจ้ากล้าดีอย่างไร…”

        “ไสหัวไป!”

        อวิ๋นโม่คว้าฉินเหอหลินขึ้น โยนใส่ร่างของบ่าวรับใช้ที่พุ่งเข้ามา ไล่ทั้งสองไสหัวไป

        “หากยังกล้าเข้ามาอีก ก็ตาย!” ดวงตาของอวิ๋นโม่เผยรังสีฆ่าฟัน ทำเอาบ่าวรับใช้ผู้นั้นตระหนกจนร่างสั่นสะท้าน ไม่กล้าพูดจาสามหาวอีก

        “คนผู้นี้ ทำไมถึงมีพละกำลังมากขนาดนั้น” ผู้คนต่างไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง ทั้งๆ ที่เห็นอยู่ว่าพลังของอวิ๋นโม่ยังไม่ถึงระดับเปลี่ยนชีพจร เป็นแค่ระดับเสริมกำลัง แต่ทำไมถึงสามารถบีบคั้นนายน้อยฉินที่อยู่ขั้นสูงสุดของระดับเสริมกำลังได้

        อวิ๋นโม่กวาดตาไปยังด้านหลังทำให้ผู้คนตื่นตกใจจนล่าถอย แม้จะมีคนไม่น้อยที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับเปลี่ยนชีพจร แต่เมื่อพวกเขาได้เห็นดวงตาคู่นั้นของอวิ๋นโม่ ก็รู้สึกเหมือนถูกอสูรดุร้ายจับจ้อง ในใจเกิดความหวาดกลัวอยู่หลายส่วน

        “คนผู้นี้จะต้องเป็นยอดฝีมือระดับเปลี่ยนชีพจร! ต้องเป็นยอดฝีมือระดับเปลี่ยนชีพจรแน่นอน ระดับเสริมกำลังไม่มีทางมีพละกำลังที่เข้มแข็งถึงเพียงนี้!” บางคนพึมพำ

        “ไม่ผิด เขาจะต้องเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับเปลี่ยนชีพจร! ไม่เช่นนั้นจะไม่มีทางบีบคั้นนายน้อยฉินได้”

        “เฮ้อ เด็กน้อยผู้นี้คงไม่รอดแล้ว คิดว่ามีพละกำลังระดับเปลี่ยนชีพจรแล้วจะอาละวาดทั่วใต้หล้าได้หรือ เมืองกวนซานเจิ้นจะอย่างไรก็เป็นดินแดนของสามตระกูลใหญ่เหล่านั้น เขาทุบตีนายน้อยฉินก็เท่ากับตบหน้าตระกูลฉิน รับรองว่าจะต้องไม่มีโอกาสเดินออกไปจากเมืองกวนซานเจิ้นแน่!”

        อวิ๋นโม่ไม่สนใจผู้คนด้านหลัง หันร่างกลับไปหาเด็กขายตั๋ว เท้าแขนลงบนโต๊ะอย่างสบายอารมณ์ “ตอนนี้สามารถขายตั๋วให้ข้าได้แล้วกระมัง”

        “เจ้ารู้หรือไม่ เจ้าก่อเรื่องใหญ่เข้าแล้ว! ผิดใจกับตระกูลฉิน ไม่เพียงแต่ตัวเจ้า แม้แต่คนในครอบครัวของเจ้าก็จะ…”

        “หืม?” อวิ๋นโม่ถลึงตาด้วยสีหน้าเย็นชาจนคนขายตั๋วตกใจถอยหลังไปหลายก้าว

        “มีเรื่องอะไรกัน” ด้านหลังพลันมีชายชราผู้หนึ่งเดินออกมา เอ่ยถามเด็กขายตั๋วด้วยน้ำเสียงเข้มงวด

        “ผู้ดูแลหลู่!” เด็กขายตั๋วผู้นั้นพอเห็นชายชราก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกทันที

        ชายชราผู้นี้คือผู้ดูแลโรงประมูล เมื่อครู่ตอนที่อวิ๋นโม่จับฉินเหอหลินกระแทกกำแพง เกิดเสียงดังไม่น้อย ดึงดูดให้ผู้ดูแลหลู่ออกมาดู 

        เด็กขายตั๋วรีบถลันเข้าไป เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นรอบหนึ่ง ผู้ดูแลหลู่ฟังจบแล้วก็ขมวดคิ้ว สำหรับเรื่องนี้ แม้แต่เขาเองก็รู้สึกหนักใจ หากเป็นสถานการณ์ปกติย่อมขายตั๋วให้ฉินเหอหลินไปแล้ว แต่ว่าอวิ๋นโม่กลับไม่ยอมโอนอ่อน หากเขาจัดการปัญหาได้ไม่ดีอาจกระทบต่อชื่อเสียงของฝ่ายจัดงานประมูล

        “ผู้ดูแลหลู่ ตั๋วใบนี้…” ฉินเหอหลินเห็นผู้ดูแลหลู่ก็เหมือนเห็นฟางช่วยชีวิต รีบลุกขึ้นมาประสานมือเอ่ยกับอีกฝ่าย

        “ยังจะกล้าอีก” อวิ๋นโม่หันกลับไปมองฉินเหอหลินด้วยสายตาเย็นเยือก 

        เมื่อเจอสายตาฆ่าฟันของอวิ๋นโม่ ฉินเหอหลินก็หวาดผวา กลืนถ้อยคำที่เหลือกลับลงไป แต่ไม่ได้ผละจากไป กลับมองอวิ๋นโม่ด้วยความแค้นเคือง ทั้งยังคอยมองไปทางผู้ดูแลหลู่เป็นนัยชัดเจนว่า ต้องการให้อีกฝ่ายขายตั๋วให้ตน

        เมื่อสัมผัสได้ถึงความลังเลของผู้ดูแลหลู่ อวิ๋นโม่ก็รู้ว่าตนเองจำเป็นต้องพูดอะไรบ้าง มิเช่นนั้นวันนี้คงซื้อตั๋วห้องส่วนตัวใบสุดท้ายไม่สำเร็จ

        “ผู้ดูแลหลู่ ฟังข้าสักคำ” อวิ๋นโม่ประสานหมัดให้ผู้ดูแลหลู่

        ………………………………………

กำเนิดใหม่ : ปรมาจารย์เทพโอสถ

กำเนิดใหม่ : ปรมาจารย์เทพโอสถ

Status: Ongoing
ถูกศิษย์รักทรยศ! แพทย์โอสถอันดับหนึ่งในใต้หล้าไม่คาดคิดเลยว่าจะถูกหักหลัง! ทั้งเคี่ยวเข็ญ ผลักดัน คอยหลอมสมุนไพรเพิ่มพูนกำลังตลอดหลายร้อยปี บัดนี้.. เด็กไร้ค่านั่นได้ใช้นาม “จักรพรรดิลั่วเทียน” ผู้ยิ่งใหญ่ แต่เขากลับกลายเป็นเพียงเสี้ยนหนามที่ต้องถูกกำจัด! ฉับพลัน การจุติครั้งใหม่จึงอุบัติขึ้น.. ในร่าง “อวิ๋นโม่” จุดด่างพร้อยของตระกูลที่ถูกทารุณอย่างโหดร้ายจนตายอย่างไร้ทางสู้ แม้เป็นร่างใหม่ ภพชาติเปลี่ยนไป แต่ไฟบรรลัยกัลป์แห่งความเจ็บแค้นนั้นยังคุกรุ่น ครานี้หรือ.. จักยอมให้เหยียบย่ำ ทั้งโอสถตำรา.. คาถา.. สมุนไพร.. หม้อหลอมยา.. และพละกำลัง จากคนธรรมดาจึงทะยานขึ้นเหนือใต้หล้า.. ในฐานะปรมาจารย์เทพโอสถ! “ข้าทุ่มเทชีวิตจิตใจ ดูแลดั่งลูกในไส้ เจ้ากลับสังหารอาจารย์ จักทุ่มเทฝึกฝนสุดกำลัง ให้ไอ้ศิษย์ทรยศนั่นต้องจ่ายค่าตอบแทน”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท