กำเนิดใหม่ : ปรมาจารย์เทพโอสถ – ตอนที่ 42 บีบคั้นสอบสวน

กำเนิดใหม่ : ปรมาจารย์เทพโอสถ

        เรื่องนี้ถือเป็นความปวดใจของอวิ๋นเว่ยเซิงมาตลอด แม้หลังจากตรวจสอบแล้วพบว่าคลังยาไม่ถึงกับว่างเปล่า เขาเองก็ไม่ได้ใช้เงินประมูลถุงเฉียนคุน แต่ยาที่หายไปจากคลัง ถึงตอนนี้ก็ยังจับคนขโมยไม่ได้ ทำให้อวิ๋นเว่ยเซิงโมโหยิ่งนัก

        “ท่านผู้นำ หลายวันก่อนอวิ๋นโม่บาดเจ็บหนัก หากไม่มียาดีรักษา ก็ไม่มีทางหายดีได้ในช่วงเวลาสั้นๆ ด้วยฐานะครอบครัวของพวกเขา จะหาซื้อโอสถได้อย่างไร ทุกคนต่างก็รู้ว่าอวิ๋นโม่ใช้เวลาเพียงสั้นๆ ก็ฟื้นฟูร่างกายได้แล้ว อีกทั้งพละกำลังยังเพิ่มพูน นี่ก็แสดงให้เห็นว่าต้องมีปัญหา”           

        “เมื่อไรกันที่การคาดเดาของคนผู้หนึ่งก็ถือว่าเป็นหลักฐาน!” หลีเยียนส่งเสียง นางรู้ชัดเจนที่สุดว่าอวิ๋นโม่หายดีได้อย่างไร แต่ก็เข้าใจความหนักเบาของเรื่องนี้ดี รู้ว่าไม่ควรแพร่งพรายออกไปง่ายๆ

        “ไม่ต้องรีบร้อน นี่ก็แค่ความสงสัยของคนคนหนึ่งเท่านั้น แน่นอนว่าไม่ถือเป็นหลักฐาน” อวิ๋นเลี่ยยิ้มตอบราวกับยอมรับอย่างง่ายๆ ว่าไม่ควรเอาผิดอวิ๋นโม่ “หลังจากนั้นตอนอยู่ที่ถนนยาเถื่อน ข้าเห็นอวิ๋นโม่ซื้อขายยาสมุนไพร ด้วยฐานะของครอบครัวเขาจะมีเงินมากมายอย่างนั้นได้อย่างไร”

        ความจริงมันเห็นแค่อวิ๋นโม่ซื้อยาเท่านั้น แต่การพูดออกไปมั่วๆ เช่นนี้ย่อมมีข้อดี

        “เงินเหล่านั้นเป็นเงินที่พี่อวิ๋นโหรวให้ข้ามา หากไม่เชื่อก็สอบถามพี่อวิ๋นโหรวได้ นี่ไม่ใช่ความลับอะไร” อวิ๋นโม่พูดราบเรียบโดยปราศจากความขุ่นเคือง เพราะตอนนี้เขาเห็นอวิ๋นเลี่ยเป็นคนตายไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องถือสาคนตายอีก

        “ก็ได้ เรื่องนี้ไม่ต้องพูดถึง แล้วเรื่องบ้านของครอบครัวเจ้าจะอธิบายว่าอย่างไร” อวิ๋นเลี่ยยิ้มเย็น “ฐานะของครอบครัวเจ้าสามารถต่อเติมบ้านเช่นนั้นออกมาได้หรือ ยิ่งกว่านั้นหลายวันก่อนเจ้ายังซื้อเกราะอ่อนราคาห้าร้อยเหรียญทองชุดหนึ่งเป็นของขวัญให้ผู้อื่น ข้าอยากถามว่าเงินมากมายขนาดนั้น เจ้าไปหามาจากไหน”           

        โอ้!

        นี่เหมือนการโยนหินลงไปบนผิวทะเลสาบที่สงบนิ่ง ก่อให้เกิดคลื่นลมขนาดใหญ่ ซื้อเกราะอ่อนราคาห้าร้อยเหรียญทองมอบให้ผู้อื่น ในตระกูลมีใครที่มือเติบเช่นนี้บ้าง ต่อให้เป็นเหล่าผู้อาวุโสก็คงไม่ทำ

        คราวนี้สายตาที่มองมายังอวิ๋นโม่เปลี่ยนไปแล้ว หากเป็นเรื่องซ่อมแซมบ้านยังพอจะเชื่อว่าอวิ๋นโม่ชักกระเป๋าซ้ายขวาออกมารวมกัน แต่การซื้อเกราะอ่อนราคาห้าร้อยเหรียญทองมอบให้ผู้อื่น ฐานะครอบครัวของอวิ๋นโม่ไม่มีทางทำได้แน่นอน หากเป็นเรื่องจริง เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียว คืออวิ๋นโม่ขโมยสมบัติของตระกูล 

        สำหรับเรื่องนี้มีแต่หลีเยียนที่คาดเดาความจริงได้เท่านั้น ด้วยฝีมือทางการแพทย์ของอวิ๋นโม่ จะหาเงินเหล่านั้นมาย่อมไม่ใช่ปัญหา แต่ว่าเรื่องนี้ไม่อาจพูดออกไป ดังนั้นถึงหลีเยียนจะโกรธจนหน้าแดง แต่ก็ไม่รู้ว่าจะแก้ตัวแทนอวิ๋นโม่อย่างไร

        “อวิ๋นโม่ สิ่งที่อวิ๋นเลี่ยพูดมาเป็นเรื่องจริงหรือ” อวิ๋นเว่ยเซิงสอบถาม ถึงตอนนี้เขาก็ชักไม่แน่ใจแล้ว ถึงเขาจะให้ความสำคัญกับอวิ๋นโม่ แต่หากอวิ๋นโม่ทำเรื่องเช่นนั้น เขาก็ไม่มีทางปล่อยไปแน่ 

        อวิ๋นโม่ไม่ปิดบัง ผงกศรีษะเอ่ยว่า “ข้าซื้อเกราะอ่อนราคาห้าร้อยเหรียญทองมอบให้ผู้อื่นจริง” 

        เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องปฏิเสธ เพราะอย่างไรวันนั้นก็ยังมีอวิ๋นเสี่ยวกั่วอยู่ หากสืบดูก็ทำได้ง่าย แต่ว่าคำพูดนี้ทำให้คนที่ได้ฟังต่างถือว่าอวิ๋นโม่ยอมรับผิดแล้ว

        “อวิ๋นโม่ เจ้าไม่รู้จักดีชั่วเกินไปแล้ว! ตระกูลเลี้ยงดูเจ้า มอบทรัพยากรแก่เจ้า เจ้าไม่เพียงไม่พอใจ ยังกล้าขโมยทรัพย์สินของตระกูล เจ้ามีความผิดสถานใด!” ผู้อาวุโสแปดกระโดดออกมาเป็นคนแรก ชี้นิ้วด่าทออวิ๋นโม่

        “อวิ๋นโม่ เดิมทีเห็นว่าเจ้ามีความสามารถไม่เลว ยังเคยคิดให้เจ้าเป็นต้นกล้าของตระกูล คิดไม่ถึงเจ้ากลับทำเรื่องเช่นนี้ได้”           

        “ช่างเป็นหมาป่าตาขาว*ไม่รู้จักพอ! ได้รับทรัพยากรจากตระกูลยังไม่สำนึกบุญคุณ ยังกล้าขโมยทรัพย์สินของตระกูลอีก ตอนนี้ ยังล่วงเกินแขกจากตระกูลหวัง ทำให้ตระกูลอวิ๋นตกอยู่ในอันตราย อวิ๋นโม่จิตใจเจ้าช่างชั่วร้าย!”

        คนมากมายพากันด่าทอ บ่งชี้ความผิดของอวิ๋นโม่ กล่าวหาว่าเขาเป็นนักโทษของตระกูล

        “อวิ๋นโม่ เจ้ามีอะไรจะอธิบายหรือไม่” อวิ๋นเว่ยเซิงถาม

        “เฮอะๆ!” อวิ๋นโม่มองคนทั้งหมดด้วยสายตาเย็นชาอย่างไม่ทุกข์ร้อน “ข้าซื้อเกราะให้คนอื่นก็เท่ากับข้าขโมยสิ่งของหรือ ช่างน่าหัวเราะ!”             

        “โม่เอ๋อร์ไม่มีทางทำเรื่องแบบนั้น” หลีเยียนเชื่อมั่นในตัวบุตรชาย

        อวิ๋นเสวียนเซิงมองอวิ๋นโม่ด้วยความประหลาดใจ เขาไม่ได้สงสัยในตัวอวิ๋นโม่ เพียงแต่แปลกใจว่าทำไมอวิ๋นโม่จึงมีเงินเยอะ เขาเชื่อใจสหายของตนเอง เอ่ยว่า “อวิ๋นโม่ไม่มีทางขโมยทรัพย์สินของตระกูลแน่” 

        “เหอะๆ ถึงขนาดนี้แล้วยังคิดบ่ายเบี่ยงอีกหรือ ก็ได้ งั้นเจ้าลองบอกมา เงินของเจ้าได้มาจากไหน” ใบหน้าของอวิ๋นเลี่ยประดับรอยยิ้มแห่งชัยชนะ มันเห็นว่าหากทุกคนเข้าใจเช่นนี้ อวิ๋นโม่ก็ไม่มีทางพลิกสถานการณ์ได้แล้ว ต่อให้ไม่ได้ขโมยยาแล้วอย่างไร ยังจะมีใครเชื่ออีกหรือ

        “ใช่! บอกมาสิว่าเจ้าเอาเงินมาจากไหน”     

        ผู้ฝึกยุทธ์วัยเยาว์หลายคนต่างริษยา คนอย่างอวิ๋นโม่จะมีเงินมากมายได้อย่างไร พวกเขาเชื่อในทันทีว่าอวิ๋นโม่จะต้องขโมยทรัพย์สินของตระกูลแน่นอน

        “ไม่จำเป็นต้องอธิบาย! ข้าจะหาเงินอย่างไรก็เป็นเรื่องของข้า ทำไมต้องบอกกับพวกเจ้าด้วย สรุปแล้วของในคลังยาที่หายไปไม่เกี่ยวข้องกับข้า” อวิ๋นโม่สีหน้าเรียบเฉยท่าทางไม่หวั่นเกรง ยิ่งกว่านั้นเขาไม่กลัวจะถูกคนเหล่านี้สาดน้ำสกปรก หากสถานการณ์บีบคั้นมากเข้า เขาก็จะถอนตัวจากตระกูลอวิ๋น ปกป้องแค่คนสำคัญให้ปลอดภัยก็พอแล้ว คนอื่นๆ ล้วนไร้ค่า หากอยากเป็นสุนัขของตระกูลหวัง ก็แล้วแต่พวกมันเถอะ 

        “เหอะๆ ยังกล้าบอกว่าไม่ใช่เจ้าอีก ไม่กล้าบอกที่มาของเงินทอง แสดงว่าในใจมีพิรุธ!”            

        “ท่านประมุข ข้าเสนอให้ลงโทษอวิ๋นโม่สถานหนัก!”             

        “ใช่แล้ว ต้องลงโทษให้หนัก! เจ้าเด็กนี่พฤติกรรมชั่วร้าย ไม่อาจปล่อยไปง่ายๆ!”              

        “ท่านประมุขตระกูล ให้ข้าจับคนผิดไปลงโทษเถอะ!” ผู้อาวุโสแปดเดินออกมาด้านหน้า ขออนุญาตประมุขตระกูลจับตัวอวิ๋นโม่ 

        อวิ๋นโม่เผยรอยยิ้มที่มีเลศนัยออกมา

        อวิ๋นเลี่ยกับอวิ๋นเสี่ยวกั่วหุบยิ้มไม่ลงแล้ว พวกมันรู้สึกถึงความสะใจที่กำลังมาถึง

        “พวกเจ้า!” หลีเยียนทั้งแค้นและขุ่นเคือง นางชี้คนเหล่านั้นด้วยความโกรธจนตัวสั่น “ไม่มีหลักฐานแน่ชัด พวกเจ้าอาศัยอะไรลงโทษโม่เอ๋อร์ ข้าไม่ยอมรับ!”             

        “ฮ่าๆ ถึงขนาดนี้แล้วยังไม่ถือว่ามีหลักฐานอีกหรือ หากในใจเขาไม่มีพิรุธ ทำไมไม่กล้าบอกที่มาของเงินทอง”            

        “ท่านประมุขตระกูลเห็นว่าอย่างไร” อวิ๋นโม่ยังคงนิ่งเฉย

        หากอวิ๋นเว่ยเซิงก็ตัดสินเช่นนี้ เขาก็ไม่มีความจำเป็นต้องปกป้องตระกูลอวิ๋นแล้ว ไม่มีหลักฐานแน่ชัดก็กล่าวหาอวิ๋นโม่ทำผิด ตระกูลแบบนี้ เขายังจะปกป้องไปเพื่ออะไร

        มองอวิ๋นโม่ที่ยังสงบนิ่ง ใจของอวิ๋นเว่ยเซิงต้องสั่นสะท้านอย่างไม่รู้ว่าสมควรทำเช่นไร ที่มาที่ไปของเรื่องนี้เขายังไม่รู้ชัดเจน แต่ในใจมีความรู้สึกลึกๆ บางอย่าง

        “เจ้าจงอธิบายกับทุกคนเถอะว่าเงินเหล่านั้นมาจากไหน” อวิ๋นเว่ยเซิงเอ่ยออกมา เขาปวดหัวเหลือเกิน ทั้งไม่อาจบอกว่าอวิ๋นโม่คือขโมย และไม่อาจพูดว่าอวิ๋นโม่ไม่น่าสงสัย เขาเห็นว่า ขอเพียงอวิ๋นโม่อธิบายที่มาของเงินได้ เรื่องนี้ก็จะจบลง แต่อวิ๋นโม่กลับแข็งขืน ทำให้เขาไม่รู้ว่าสมควรตัดสินเช่นไร

        “ท่านประมุขตระกูล เรื่องราวชัดเจนขนาดนี้แล้ว ถึงท่านมีใจอยากปกป้องอวิ๋นโม่ พวกเราก็ต้องลงโทษมันให้จงได้!” ผู้อาวุโสใหญ่ประกาศวาจา ต่อให้อวิ๋นเว่ยเซิงฝืน ‘ปกป้อง’ อวิ๋นโม่ แต่ถ้าพวกเขาทั้งหมดร่วมกันตัดสินโทษ แม้แต่ประมุขตระกูลก็ไม่อาจขัดขวาง 

        “ไม่ได้! ไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด แต่จะตัดสินโทษอวิ๋นโม่ เรื่องนี้ไม่ถูกต้อง!” ผู้อาวุโสสามเอ่ยปาก

        “เรื่องนี้ไม่สมควรจัดการอย่างลวกๆ!” อวิ๋นหลานเหอเอ่ยบ้าง อวิ๋นโม่คือผู้เยาว์เพียงคนเดียวที่กล้าต่อต้านตระกูลหวัง ถูกใจเขาอย่างยิ่ง ดังนั้นเขาไม่ยอมปล่อยให้เกิดสถานการณ์ที่ไร้หลักฐานก็ตัดสินโทษเด็กคนนี้ 

        ผู้อาวุโสแปดไม่พอใจมาก เห็นอยู่ว่าเกือบจะสำเร็จแล้วแท้ๆ แต่ว่าเหตุการณ์กลับแปรผัน

        จากนั้นเหล่าผู้นำตระกูลอวิ๋นก็เริ่มถกเถียงกันไม่หยุด พวกผู้อาวุโสใหญ่และผู้อาวุโสแปดต่างเห็นว่าเรื่องนี้ชัดเจนมากพอแล้ว การกระทำของอวิ๋นโม่จะต้องได้รับการลงโทษสถานหนัก แต่พวกผู้อาวุโสสามและอวิ๋นหลานเหอเห็นว่าไม่สมควรลงโทษสถานหนัก

        “เจ้าเด็กนี่มีความสามารถอะไร จึงได้รับการปกป้องจากพวกผู้อาวุโสสาม!” อวิ๋นเลี่ยกัดฟันด้วยความไม่พอใจ “ทั้งที่ออกจะชัดเจนขนาดนี้แล้ว ทำไมพวกเขาถึงยังต้องให้ทางรอดอวิ๋นโม่อีก สมควรจับมันและกำจัดทิ้งเสียเดี๋ยวนี้!”           

        อวิ๋นเสี่ยวกั่วที่อยู่ด้านข้างสงบนิ่งกว่ามาก “ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน มีแค่พวกพวกผู้อาวุโสสามไม่กี่คนเท่านั้นที่สนับสนุนอวิ๋นโม่ สุดท้ายก็คัดค้านเสียงส่วนมากไม่ได้ อวิ๋นโม่จะต้องไม่มีโอกาสพลิกฟื้นสถานการณ์แน่!”            

        “ถึงรู้ว่าเป็นเช่นนั้น แต่ข้าอยากเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน หากมันมีโอกาสแม้เพียงเล็กน้อย ใจข้าก็ไม่สงบ!” อวิ๋นเลี่ยเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งเครียด รู้สึกว่าขอเพียงมีโอกาสแค่เศษเสี้ยว อวิ๋นโม่ก็จะพลิกสถานการณ์ได้

        แปะๆๆ!

        อยู่ๆ ทั้งหมดก็ได้ยินเสียงปรบมือดังขึ้น หวังจิงอวิ๋นลุกขึ้นยืน ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ช่างเป็นงิ้วที่สนุกจริงๆ!”            

        “ทำให้นายน้อยหวังต้องขบขันแล้ว” อวิ๋นเว่ยเซิงเอ่ยขออภัย

        “พอเถอะ เรื่องสกปรกภายในตระกูลอวิ๋นของพวกเจ้า ข้าไม่สนใจจะฟังต่อแล้ว สิ่งที่ข้าสนใจคือเรื่องการร่วมมือของพวกเจ้า ตกลงเช่นไรกันแน่ หากเห็นด้วยก็เป็นไปตามนี้ ข้าจะกลับเมืองฉยงอวี่ทันทีเพื่อเตรียมการ หากไม่เห็นด้วย…” หวังจิงอวิ๋นเผยรอยยิ้มโหดเหี้ยมบนใบหน้า “หากไม่เห็นด้วย ตระกูลอวิ๋นก็ไม่จำเป็นต้องคงอยู่อีกต่อไป!”           

        ครั้งนี้ไม่ได้อ้อมค้อม แต่เป็นการบีบคั้นอย่างโจ่งแจ้ง! “ดังนั้นข้าขอถามเป็นครั้งสุดท้าย ตระกูลอวิ๋นเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย”            

        “แน่นอนว่าไม่เห็นด้วย!”           

        น้ำเสียงเปี่ยมความมั่นใจลอยมา ผู้คนทั้งหมดมองไปตามเสียงก็ต้องตกตะลึง ผู้กล่าววาจาโอหังไม่ใช่อวิ๋นโม่

        ………………………………………

        *白眼狼 Báiyǎn láng หมายถึง คนเนรคุณ

กำเนิดใหม่ : ปรมาจารย์เทพโอสถ

กำเนิดใหม่ : ปรมาจารย์เทพโอสถ

Status: Ongoing
ถูกศิษย์รักทรยศ! แพทย์โอสถอันดับหนึ่งในใต้หล้าไม่คาดคิดเลยว่าจะถูกหักหลัง! ทั้งเคี่ยวเข็ญ ผลักดัน คอยหลอมสมุนไพรเพิ่มพูนกำลังตลอดหลายร้อยปี บัดนี้.. เด็กไร้ค่านั่นได้ใช้นาม “จักรพรรดิลั่วเทียน” ผู้ยิ่งใหญ่ แต่เขากลับกลายเป็นเพียงเสี้ยนหนามที่ต้องถูกกำจัด! ฉับพลัน การจุติครั้งใหม่จึงอุบัติขึ้น.. ในร่าง “อวิ๋นโม่” จุดด่างพร้อยของตระกูลที่ถูกทารุณอย่างโหดร้ายจนตายอย่างไร้ทางสู้ แม้เป็นร่างใหม่ ภพชาติเปลี่ยนไป แต่ไฟบรรลัยกัลป์แห่งความเจ็บแค้นนั้นยังคุกรุ่น ครานี้หรือ.. จักยอมให้เหยียบย่ำ ทั้งโอสถตำรา.. คาถา.. สมุนไพร.. หม้อหลอมยา.. และพละกำลัง จากคนธรรมดาจึงทะยานขึ้นเหนือใต้หล้า.. ในฐานะปรมาจารย์เทพโอสถ! “ข้าทุ่มเทชีวิตจิตใจ ดูแลดั่งลูกในไส้ เจ้ากลับสังหารอาจารย์ จักทุ่มเทฝึกฝนสุดกำลัง ให้ไอ้ศิษย์ทรยศนั่นต้องจ่ายค่าตอบแทน”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท