กำเนิดใหม่ : ปรมาจารย์เทพโอสถ – ตอนที่ 43 ผู้แข็งแกร่งหนุนหลัง

กำเนิดใหม่ : ปรมาจารย์เทพโอสถ

        “ใคร!” 

        หวังจิงอวิ๋นหงุดหงิดขึ้นมา เขาประกาศออกไปแล้วกลับมีคนกล้าคัดค้าน เห็นว่าเขาพูดด้วยง่ายนักหรือ

        ผู้คนทั้งหลายมองไปทางต้นเสียงก็พบว่าพวกศิษย์รุ่นเยาว์ที่ยืนอยู่ด้านนอกหอประชุมกำลังถอยออกไป เพื่อหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิด

        ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งเดินเข้ามาด้านในช้าๆ ในมือถือค้อนเหล็ก ทั่วร่างเปี่ยมด้วยพลังปราณฮึกเหิม กดดันให้พวกลูกศิษย์รุ่นเยาว์ถอยออกไปไม่หยุด พอเหล่าผู้นำตระกูลอวิ๋นเห็นคนผู้นั้นก็ต้องตกตะลึง แม้แต่ประมุขตระกูลอวิ๋นเว่ยเซิงก็ไม่ทันได้ออกไปต้อนรับ

        “น้องแซ่ฟาง ลมอะไรหอบเจ้ามาถึงนี่” อวิ๋นเว่ยเซิงเกิดความสงสัย ผู้มาก็คือช่างตีเหล็กฟางที่มีนิสัยแปลกประหลาด แม้จะอยู่ในระดับเดียวกัน แต่ความสามารถของคนผู้นี้แข็งแกร่งกว่าเขาขั้นหนึ่ง ยามปกติช่างตีเหล็กฟางไม่มีทางสนใจพวกเขา แต่ครั้งนี้กลับเป็นฝ่ายมาหาถึงบ้านตระกูลอวิ๋น แสดงท่าทีเหมือนหนุนหลังตระกูลอวิ๋น

         ไม่ว่าเพราะอะไร ในใจอวิ๋นเว่ยเซิงก็ยังเกิดความยินดี หากสามารถได้รับการสนับสนุนจากช่างตีเหล็กฟาง ถึงจะไม่อาจต่อต้านตระกูลหวัง แต่ก็พอจะทำให้ตระกูลอวิ๋นมีหลักยึดขึ้นมาบ้าง เขารู้มาว่า ช่างตีเหล็กฟางเคยเป็นช่างหลอมอาวุธในเมืองฉยงอวี่มาก่อน แต่เพราะสาเหตุบางประการจึงย้ายมาที่เมืองกวนซานเจิ้น แม้อิทธิพลของช่างตีเหล็กฟางจะไม่แข็งแกร่ง ไม่อาจล้มตระกูลหวัง แต่ฐานะอาจารย์หลอมอาวุธของเขาก็มีผลต่อเมืองฉยงอวี่มาก

        นี่คือช่างหลอมอาวุธที่สามารถสร้างอาวุธวิญญาณระดับยอดเยี่ยมออกมาได้ ต่อให้เป็นตระกูลหวังก็ไม่อยากผิดใจด้วย

        “แค่ไม่อาจทนเห็นการวางอำนาจบาตรใหญ่ของตระกูลหวังเท่านั้น!” ช่างตีเหล็กฟางพยักหน้าให้อวิ๋นเว่ยเซิง จากนั้นหันไปทางหวังจิงอวิ๋น “คนแซ่หวัง การกระทำของพวกเจ้าไม่อุกอาจเกินไปหน่อยหรือ”

        นับตั้งแต่วันนั้น เขาก็ใส่ใจตระกูลอวิ๋นอยู่ตลอด คนตระกูลหวังมาถึงตระกูลอวิ๋น แค่ได้ยินข่าว เขาก็พอคาดเดาจุดประสงค์ของพวกมันได้แล้ว จึงบุกเข้ามาด้วยความไม่พอใจ

        พวกผู้นำตระกูลอวิ๋นแสดงสีหน้าประหลาดใจ ไม่เข้าใจว่าทำไมคนนิสัยประหลาดผู้นี้จึงช่วยเหลือตระกูลอวิ๋น แต่ว่าสายตาของคนทั้งหลายก็ยังมีความดีใจ เพราะสำหรับตระกูลอวิ๋นแล้วถือเป็นเรื่องดี

        “อาจารย์ฟาง เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับท่านกระมัง” หวังจิงอวิ๋นมีสีหน้าไม่น่ามอง เขามาจากเมืองฉยงอวี่ ย่อมรู้จักช่างตีเหล็กฟาง ก่อนมายังเมืองกวนซานเจิ้น ช่างตีเหล็กฟางก็เป็นผู้อาวุโสที่มีชื่อเสียงในเมืองฉยงอวี่ไม่น้อย นี่เป็นคนที่ขุมกำลังต่างๆ ต้องการเอาอกเอาใจ คนเช่นนี้ช่วยออกหน้าให้ตระกูลอวิ๋น ทำให้เขารู้สึกกดดันอยู่บ้าง

        “เจ้าเป็นใครกัน” ช่างตีเหล็กฟางหันไปหาหวังจิงอวิ๋นด้วยสีหน้าครุ่นคิด เขาจำไม่ได้ว่ารู้จักคนผู้นี้ พอสัมผัสได้ว่าพลังของคนหนุ่มตรงหน้าเป็นเพียงระดับเสริมกำลังธรรมดา สายตาก็เย็นชา ตวาดออกไปว่า “ข้ากำลังพูดกับผู้ใหญ่ในตระกูลเจ้า เจ้าสอดปากทำไม”

        ช่างตีเหล็กฟางนิสัยแปลกประหลาด เมื่อรับการไหว้วานจากอวิ๋นโม่ให้ปกป้องตระกูลอวิ๋น จึงแสดงท่าทีเป็นมิตรต่อคนตระกูลอวิ๋น แต่กับเด็กจากตระกูลหวังกลับไม่ไว้หน้าเลยสักนิด

        หวังจิงอวิ๋นสีหน้าแข็งค้าง จากนั้นเปลี่ยนเป็นโมโหขึ้นมา อยู่ในตระกูลอวิ๋น ใครบ้างที่ไม่ให้ความเคารพเขา แต่ช่างตีเหล็กฟางตรงหน้า กลับกล้าตะคอกใส่เขา แต่ว่าเขาต้องเก็บความโกรธไว้ในใจ ถึงอย่างไรฐานะอย่างช่างตีเหล็กฟางก็ไม่กลัวตระกูลหวัง

        “ข้ามีนามว่าหวังจิงอวิ๋น เป็นผู้มีพรสวรรค์จากตระกูลหวัง ครั้งนี้มาเยือนตระกูลอวิ๋นเพื่อเป็นตัวแทนตระกูลหวังเสนอความร่วมมือกับตระกูลอวิ๋น!” หวังจิงอวิ๋นเน้นคำว่า ‘ตัวแทนตระกูลหวัง’ สี่คำอย่างหนักแน่น คิดทำให้ช่างตีเหล็กฟางต้องทบทวน

        “ที่แท้ก็เป็นตัวแทนตระกูลหวัง” ช่างตีเหล็กฟางทำสีหน้าแปลกใจ

        มุมปากของหวังจิงอวิ๋นโค้งขึ้น ต่อให้ช่างตีเหล็กฟางพอมีหน้ามีตาอยู่บ้าง แต่ก็ยังต้องเกรงใจตระกูลหวัง แต่แล้วสีหน้าของเขาก็ต้องเปลี่ยนเป็นแข็งค้างอย่างรวดเร็ว

        “ไม่ว่าเจ้าจะเป็นตัวแทนตระกูลหวังหรือตระกูลหลี่ ก็ไม่อาจข่มเหงตระกูลอวิ๋น” ช่างตีเหล็กฟางจ้องตาหวังจิงอวิ๋น “ยังมี ในสายตาของข้า ผู้มีพรสวรรค์ที่ยังไม่เติบโตไม่ถือเป็นผู้มีพรสวรรค์ ระดับเสริมกำลังตัวเล็กๆ อย่างเจ้า ไม่มีคุณสมบัติจะพูดกับข้า ดังนั้นหุบปากเสีย!”

        “ท่าน! ช่างกล้า!” หวังจิงอวิ๋นโกรธจนตัวสั่น เขาเป็นถึงผู้มีพรสวรรค์ของตระกูลหวัง กลับถูกคนมองข้ามอย่างง่ายดาย

        คนตระกูลอวิ๋นรู้สึกสะใจมาก ราวกับว่าได้ด่าหวังจิงอวิ๋นรอบหนึ่งด้วยตนเอง ก่อนหน้านี้คนผู้นี้กดดันตระกูลอวิ๋น ราวกับลงมาจากสวรรค์ ทำให้คนเกลียดชัง ตอนนี้เห็นเขาทำหน้าเหมือนอมบอระเพ็ด อารมณ์ของคนตระกูลอวิ๋นก็ดีขึ้นมาก

        “อ้อ” ช่างตีเหล็กฟางสายตาเย็นชา ด้วยฐานะของเขาย่อมไม่เห็นเด็กเช่นนี้อยู่ในสายตา เพราะขนาดเป็นคนที่อยู่ระดับเดียวกัน เขาก็ยังไม่ไว้หน้า วันนี้เด็กคนหนึ่งกลับกล้ากระโดดออกมาท้าทาย

        “จิงอวิ๋น อย่าเสียมารยาท! ถอยออกมา” หวังลั่วเหิงขยับขึ้นไป ดึงหวังจิงอวิ๋นมาอยู่ด้านหลังตนเอง ถึงหวังจิงอวิ๋นจะเป็นผู้มีพรสวรรค์ แต่ความสามารถในตอนนี้ยังไม่สูงพอ ไม่อาจยืนอยู่ระดับเดียวกับช่างตีเหล็กฟาง

        “ตระกูลอวิ๋นมีข้าคุ้มครอง ดังนั้นพวกเจ้าก็ถอยไปเถอะ” ช่างตีเหล็กฟางบอกอย่างตรงไปตรงมา

        ผู้ฝึกยุทธ์ในตระกูลอวิ๋นได้ยินก็ต้องประหลาดใจ ต่างมีสีหน้ายินดี แต่สายตาของประมุขตระกูลอวิ๋นเว่ยเซิงกลับเข้มขึ้นด้วยความสงสัย ผู้มีฝีมืออย่างช่างตีเหล็กฟาง ทำไมจึงปกป้องตระกูลอวิ๋นอย่างไม่มีสาเหตุ หรือว่ามีจุดประสงค์อะไร 

        อวิ๋นเว่ยเซิงกังวลใจแต่ยังไม่พูดอะไรออกไปตอนนี้ เทียบกับตระกูลหวังแล้ว ช่างตีเหล็กฟางยังรับมือง่ายกว่า ต่อให้เขามีแผนการอะไร ก็คงไม่ได้คิดจะกลืนกินตระกูลอวิ๋น

        หวังลั่วเหิงสีหน้าไม่สู้ดี เดิมทีเรื่องนี้เกือบจะสรุปได้อยู่แล้ว คิดไม่ถึงว่าพอถึงเวลาสำคัญ ช่างตีเหล็กฟางกลับปรากฏตัวขึ้นมา

        “อาจารย์ฟาง พวกเราต้องการร่วมมือกับตระกูลอวิ๋น ท่านไม่ควรแทรกแซงกระมัง”

        “ฮ่าๆ!” ช่างตีเหล็กฟางหัวเราะเสียงเย็น “ร่วมมือ? เจ้าจัดสรรผลประโยชน์ให้ตระกูลอวิ๋นกี่ส่วน หากข้าเดาไม่ผิดละก็ ตระกูลหวังของเจ้าคงได้ไปมากกว่าห้าส่วนกระมัง” 

        “นอกจากเหมืองแร่หกส่วน อื่นๆ ล้วนมากกว่าเจ็ดส่วนขึ้นไป” บางคนเอ่ยเสียงเบา เขาแอบอยู่ด้านหลัง คนตระกูลหวังทั้งสองจึงไม่รู้ว่าคนที่ส่งเสียงคือใคร

        “เฮอะๆ ข้าดูถูกการวางอำนาจอันไร้เหตุผลของพวกเจ้ามาก ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นกิจการของตระกูลอวิ๋น พวกเจ้าที่เป็นคนนอกกลับกล้าคิดรับส่วนแบ่งมากมายขนาดนั้น นี่เรียกว่าร่วมมือหรือ นี่คือข่มเหง! อีกอย่างเมื่อครู่ข้ายังได้ยินเด็กเหลือขอจากตระกูลหวังคุกคามตระกูลอวิ๋น ร่วมมือกันยังต้องบีบคั้นถึงขนาดนี้ ข้านับว่าได้เปิดหูเปิดตาแล้ว”

        “เจ้า!” หวังจิงอวิ๋นโกรธมาก เขาเป็นถึงนายน้อยตระกูลหวัง กลับถูกเรียกเป็นเด็กเหลือขอ แต่หวังลั่วเหิงรีบส่งสายตาให้หวังจิงอวิ๋น ช่างตีเหล็กฟางไม่ใช่คนตระกูลอวิ๋น พูดด้วยไม่ง่ายนัก

        หวังลั่วเหิงพูดช้าๆ “พวกเราต้องการร่วมมือจริงๆ หากตระกูลอวิ๋นเห็นว่าส่วนแบ่งน้อยไป รอให้วันหน้าได้ผลกำไรก็จะรู้ว่าทำเงินได้มากกว่าแต่ก่อน” 

        “หากวันหน้าไม่เป็นไปตามที่พวกเจ้าพูด ตระกูลอวิ๋นก็ไร้กำลังต่อต้านแล้วไม่ใช่หรือ” ช่างตีเหล็กฟางพูดอย่างไม่พอใจ “สรุปว่าตระกูลอวิ๋นไม่เห็นด้วย พวกเจ้าตระกูลหวังคิดจะบีบคั้นตระกูลอวิ๋นก็ต้องผ่านด่านข้าไปก่อน” 

        “อาจารย์ฟาง ข้าเรียกท่านเป็นอาจารย์ด้วยความเคารพ แต่ไม่ได้หมายความว่าตระกูลหวังเราจะกลัวท่าน นี่เป็นเรื่องของตระกูลอวิ๋นกับตระกูลหวังเรา ไม่เกี่ยวอะไรกับท่าน หากท่านยังวุ่นวายไม่เลิก แทรกแซงความร่วมมือระหว่างสองตระกูล ก็อย่าได้โทษว่าตระกูลหวังของข้าไม่เกรงใจ!”

        “เฮอะ คราวนี้รู้จักข่มขู่ข้าแล้วหรือ ผู้แซ่ฟางไม่ใช่คนที่กลัวการข่มขู่ ปากเจ้าบอกว่าร่วมมือกัน แต่ตระกูลอวิ๋นตกลงด้วยแล้วหรือ บอกว่าร่วมมือ ข้ากลับเห็นว่ามีแต่พวกเจ้าที่ได้ประโยชน์”

        “ข้าบอกแล้วว่านี่เป็นเรื่องของตระกูลหวังและตระกูลอวิ๋น ไม่เกี่ยวข้องกับท่าน อีกอย่างท่านรู้ได้อย่างไรว่าตระกูลอวิ๋นไม่เห็นด้วย ท่านลองถามประมุขตระกูลอวิ๋นดูสิว่า ตกลงแล้วเขาเห็นด้วยกับการร่วมมือกับตระกูลหวังหรือไม่” พูดแล้วหวังลั่วเหิงก็หันไปทางอวิ๋นเว่ยเซิง คิดจะกดดันเขาให้ยอมจำนน จะได้ทำให้ช่างตีเหล็กฟางต้องปล่อยเรื่องนี้ไป

        อวิ๋นเว่ยเซิงปวดศีรษะอย่างหนัก แน่นอนว่าเขาไม่ยินยอม แต่สายตาน่ากลัวของหวังลั่วเหิงกำลังข่มขู่เขาอย่างชัดเจน

        “คนแซ่หวัง เจ้าบีบบังคับประมุขตระกูลอวิ๋น กดดันให้เขาจำต้องรับปากหรือ” ช่างตีเหล็กฟางเอ่ยเสียงเย็น “เหอะๆ จะร่วมมือก็ได้ เอาส่วนแบ่งของเจ้ากับตระกูลอวิ๋นเปลี่ยนกันเสีย เรื่องนี้ข้าก็จะเห็นด้วย”

        “อาจารย์ฟาง ท่านจะต้องเป็นศัตรูกับตระกูลหวังของเราให้ได้อย่างนั้นหรือ” หวังลั่วเหิงคำรามด้วยความขุ่นเคือง

        “ฮ่าๆ! ตระกูลหวังอำนาจมากล้นเหลือเกิน” ในตอนนั้นเองชายสูงวัยผู้หนึ่งก็ก้าวเท้าเข้ามา “ข้าผู้เฒ่าก็รู้สึกว่าตระกูลหวังวางอำนาจบาตรใหญ่มากเกินไปแล้ว ข้าเห็นด้วยกับวิธีของอาจารย์ฟาง หากสลับผลประโยชน์ของพวกเจ้ากับตระกูลอวิ๋นสักหน่อย ความร่วมมือนี้ก็สามารถดำเนินต่อไปได้”

        ทุกคนที่ได้ยินต่างประหลาดใจ เสียงนี้ไม่ใช่ว่าเป็นเสียงของผู้จัดประมูลระดับก่อจิตจากโรงประมูลผู้เฒ่ากัวหรอกหรือ

        “ผู้เฒ่ากัว ทำไมถึงได้มาเยือนตระกูลอวิ๋นเรา รีบเชิญเข้ามา!” สายตาของอวิ๋นเว่ยเซิงเป็นประกาย รีบเข้าไปต้อนรับ ผู้เฒ่ากัวคนนี้มีฐานะสูงส่งในโรงประมูลอินทรีเพลิง หากเขาเป็นตัวแทนโรงประมูลอินทรีเพลิงหนุนหลังตระกูลอวิ๋นร่วมกับช่างตีเหล็กฟาง เช่นนั้นก็พอจะต่อต้านตระกูลหวังได้แล้ว ต้องรู้ว่าสำนักงานใหญ่ของโรงประมูลอินทรีเพลิงมีผู้ฝึกยุทธ์ระดับท่องพันลี้อยู่ เหล่าผู้นำตระกูลอวิ๋นต่างตื่นเต้นดีใจ ทยอยกันลุกขึ้นมา ติดตามอยู่ด้านหลังประมุขตระกูลเข้าไปต้อนรับผู้เฒ่ากัว

        กำลังใจของคนทั้งหมดเริ่มกลับมา ต่างเห็นว่าเรื่องราวไม่ธรรมดา ตอนแรกช่างตีเหล็กฟางเดินทางมาก่อน ประกาศหนุนหลังตระกูลอวิ๋น ตอนนี้ผู้เฒ่ากัวก็มาเยือนถึงประตู ดูจากการแสดงออกก็รู้ว่าต้องการสนับสนุนตระกูลอวิ๋น

        “คนทั้งสองล้วนไม่ใช่คนธรรมดา ปกติไม่ได้สนใจตระกูลอวิ๋นเรา ทำไมวันนี้จึงมาเยือนถึงตระกูล ช่วยสนับสนุนพวกเรา” 

        “หรือว่าตระกูลอวิ๋นเราจะมีอะไรดีๆ ที่พวกเขาสนใจ”

        “เป็นไปไม่ได้ ตระกูลอวิ๋นเราทำกิจการทั่วไป ไม่มีอะไรพิเศษ ช่วงนี้ก็ไม่ได้ยินว่าค้นพบสิ่งพิเศษอันใดเสียหน่อย”

        เหล่าผู้ฝึกยุทธ์ตระกูลอวิ๋นต่างไม่รู้เหตุผล แต่ในใจเกิดความยินดี มีสองท่านนี้หนุนหลัง ตระกูลหวังก็ไม่กล้าบีบคั้นตระกูลอวิ๋นแล้วใช่ไหม

        ………………………………………

กำเนิดใหม่ : ปรมาจารย์เทพโอสถ

กำเนิดใหม่ : ปรมาจารย์เทพโอสถ

Status: Ongoing
ถูกศิษย์รักทรยศ! แพทย์โอสถอันดับหนึ่งในใต้หล้าไม่คาดคิดเลยว่าจะถูกหักหลัง! ทั้งเคี่ยวเข็ญ ผลักดัน คอยหลอมสมุนไพรเพิ่มพูนกำลังตลอดหลายร้อยปี บัดนี้.. เด็กไร้ค่านั่นได้ใช้นาม “จักรพรรดิลั่วเทียน” ผู้ยิ่งใหญ่ แต่เขากลับกลายเป็นเพียงเสี้ยนหนามที่ต้องถูกกำจัด! ฉับพลัน การจุติครั้งใหม่จึงอุบัติขึ้น.. ในร่าง “อวิ๋นโม่” จุดด่างพร้อยของตระกูลที่ถูกทารุณอย่างโหดร้ายจนตายอย่างไร้ทางสู้ แม้เป็นร่างใหม่ ภพชาติเปลี่ยนไป แต่ไฟบรรลัยกัลป์แห่งความเจ็บแค้นนั้นยังคุกรุ่น ครานี้หรือ.. จักยอมให้เหยียบย่ำ ทั้งโอสถตำรา.. คาถา.. สมุนไพร.. หม้อหลอมยา.. และพละกำลัง จากคนธรรมดาจึงทะยานขึ้นเหนือใต้หล้า.. ในฐานะปรมาจารย์เทพโอสถ! “ข้าทุ่มเทชีวิตจิตใจ ดูแลดั่งลูกในไส้ เจ้ากลับสังหารอาจารย์ จักทุ่มเทฝึกฝนสุดกำลัง ให้ไอ้ศิษย์ทรยศนั่นต้องจ่ายค่าตอบแทน”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท