เกิดใหม่อยู่นั่นแหละ รำคาญ! – ตอนที่ 2 ผู้มาจากต่างโลก

เกิดใหม่อยู่นั่นแหละ รำคาญ!

        “%@/#$…”

       ว่ากันว่าการพูดคุยกับทารกจะทำให้เด็กมีพัฒนาการเรียนรู้ได้เร็ว แต่สำหรับคนจากต่างโลกอย่างเธอนั้นปวดหัวจนหน้ายู่ทุกครั้งยามได้ยิน

       อาจเพราะปัจจุบันเธอเป็นเพียงทารกซึ่งอาศัยอยู่แต่ในเปล

       บ้างก็ถูกอุ้มป้อนนมจากคนที่น่าจะเป็นแม่ บ้างก็ถูกชายมีหนวดเข้ามาทำหน้างี่เง่าใส่เหมือนอยากเล่นด้วย ถูกเกาะแกะอยู่ทุกวันเลยมีแต่ต้องฟัง และฟัง แล้วก็ฟัง

       แม้เคยร้องเพื่อไล่ให้ออกไปพ้นหน้ากลับได้ยินภาษาประหลาดมากขึ้นแทน สุดท้ายเธอจึงพยายามเงียบไว้เพราะรำคาญ

       จะเล่านิทานก็เล่าไป รีบพูดรีบหุบปากแล้วไสหัวไปเร็วๆ

       “#+%…” ใช่ว่าเธอจะไม่เคยลองจับคำพูดที่ได้ยินบ่อยครั้งแล้วเชื่อมโยงเอาเองว่าหมายถึงอะไร

       แต่ยังไงก็ไม่เข้าใจอยู่ดี

       …ชั่วโมงทรมานทารกสิ้นสุดลงตอนสตรีวัยกลางคนปิดหนังสือ

       มือแข็งๆ ลูบศีรษะเธอระหว่างพักในเปลไม้เนื้อดีก่อนของเล่นห้อยเพดานอันน่าเบื่อหน่ายจะถูกไกวให้ดู

       ทารกแรกเกิดทำอะไรไม่ได้มากเพราะร่างกายยังเติบโตไม่สมบูรณ์ ที่ผ่านมานอกจากนอนเปื่อยเธอก็ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการทำใจว่าตัวเองกลับสู่ชีวิตแสนสุขไม่ได้แล้ว

       ทั้งทำเล็บ ทั้งนัดบอด และพ่อแม่ที่ตามใจเธอทุกเมื่อ… หายไปตลอดกาล

       ถึงชีวิตใหม่จะเป็นผู้หญิง มีผิวสีขาวและผมสีดำไม่ต่างจากเดิม แถมครอบครัวนี้ยังดูมีฐานะอยู่ไม่น้อย แต่ความสะดวกสบายโดยรวมมันต่างกันลิบจนเหมือนโลกด้อยพัฒนา

       และเรื่องคาใจที่สุดยังคงเป็นการถูกอัญเชิญมาที่นี่

       เธอโดนฆ่าแล้วกลับมาเกิดอีกครั้งโดยมีความทรงจำครบถ้วน…?

       ไม่ใช่ความฝัน ไม่ใช่เรื่องในนิทาน แต่เป็นสิ่งที่กำลังเผชิญอยู่จริง

       ทารกน้อยเงยหน้ามองสัญลักษณ์วงกลมกระจายแสงศักดิ์สิทธิ์บนผนังอีกด้านหนึ่ง

       คนจากต่างโลกมั่นใจว่าจำมันไม่ผิดแน่ แต่เพราะไม่รู้อะไรเลยจึงควรอยู่ให้ห่างไว้ก่อน

       กระนั้นครอบครัวนี้ก็ดูไม่มีพิษมีภัยจึงไม่น่าเกี่ยวข้องโดยตรงได้

       …พอลองขบคิดด้วยสมองน้อยๆ อย่างจริงจังแล้ว สัญลักษณ์นี้คงไม่พ้นเป็นตราประเทศหรือศาสนา

       “+$#=@!” เด็กชายคนหนึ่งพูดเสียงดังพร้อมก้าวเข้ามาในห้อง

       “อินิคาร์…” ผู้เป็นมารดาหันไปขมวดคิ้วใส่เขาหนหนึ่งเพราะนางกำลังกล่อมทารกนอน

       คนถูกดุหัวเราะแห้งคล้ายสำนึกว่ามาผิดเวลา ทว่ายังยืนอยู่ไม่ห่าง

       เขาคงเป็นพี่ชายของทารกน้อย ถึงได้ชอบป้วนเปี้ยนรอบเปลเธออยู่บ่อยๆ ดูจากรูปลักษณ์แล้วน่าจะอายุมากกว่าแค่สามหรือสี่ปีเท่านั้น

       ชาติก่อนเธอไม่มีพี่น้อง…

       ซึ่งไม่ได้แปลว่าเธอมีความสุขกับชีวิตใหม่ ไม่เลยสักนิด

       เจ้าเด็กเวรนี่มองเธอเหมือนดูสิ่งมีชีวิตในกรง ส่วนมารดาก็คล้ายเจ้าหน้าที่ให้อาหาร โดยรวมชีวิตทารกราวกับภาพจำลองสวนสัตว์นั่นแหละ

       พวกเขาพูดอะไรกันสักอย่างด้วยภาษาประหลาดนั่น ก่อนหญิงวัยกลางคนจะวางมือบนบ่าเด็กชายและออกจากห้องไป

       นี่คิดจะฝากทารกให้เด็กไม่กี่ขวบดูแลงั้นเหรอ… เธอเบ้ปากแล้วกลอกตาไปทางอื่น พยายามพลิกตัวหันข้างไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น

       จู่ๆ แก้มเนียนนุ่มก็ถูกสัมผัสจากด้านบน พอเหลือบดูแล้วจึงเห็นเด็กชายใช้แท่นเหยียบขึ้นมาจนได้

       เจ้าเด็กเวรซนชะมัด รอให้ฟันเธอขึ้นจนพูดได้ชัดก่อนเถอะ แม่จะด่าให้เสียผู้เสียคน!

       “…дω●☆” เขากล่าวอะไรบางอย่างระหว่างบีบแก้มน้องสาวไปด้วย แต่ประโยคนั้นเป็นสำเนียงซึ่งไม่เคยได้ยินมาก่อน

       รอยยิ้มอบอุ่นอันปราศจากความมุ่งร้ายลดความระวังตัวของเธอลง

       เด็กชายชี้ที่ตัวเองแล้วพูดว่า “อินิคาร์”

       อย่างกับสอนให้เรียกชื่อ… นี่เป็นพวกเห่อน้องสาวหรือไงกัน

       เพราะไม่อยากยุ่งด้วย ทารกน้อยจึงแตะมือเขาให้เอาออกไป

       “о∀◒ψ∇✧!” เจ้าเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมยกมือขึ้นปิดหน้า ดวงตาเปล่งประกายวิบวับเหมือนมีน้ำตาคลอด้วยความปีติยินดี

       เขาพูดสำเนียงสุดแสนประหลาดต่ออีกสองสามหนก่อนจะคว้าสมุดข้างเปลมาเล่านิทาน

       เดี๋ยวก่อนนะ… ดูยังไงอีกฝ่ายก็ไม่ใช่คนในโลกนี้เหมือนกันนี่?

       ทั้งภาษาที่ไม่คุ้นเคย และไหนจะพัฒนาการเร็วเกินกว่าวัย ต่อให้หัวทึบยังไงก็ต้องมองออกว่านี่มันพวกมาจากต่างโลกเหมือนกันชัดๆ

       อินิคาร์ถูกอัญเชิญมา หรือเกิดใหม่ในโลกนี้เหมือนกัน…

       เขาเป็นเบาะแสเดียวที่เธอสามารถเข้าใกล้ได้ในตอนนี้ แต่การสื่อสารกลับไม่อาจเข้าใจ แค่ไม่ใช่ภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษก็ไม่รู้แล้วว่าจะคุยยังไง

       “แอ้…” ทารกหญิงร้องเบาๆ ขณะเอื้อมมือไปหาสมุดนิทาน

       หนทางเดียวในตอนนี้คือเธอต้องกล้ำกลืนฝืนเรียนอักษรที่ชวนนิ่วหน้านั่นแหละ

       ผู้เป็นพี่ชายเบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อยก่อนหันหน้ากระดาษมาให้อ่าน พอเห็นน้องสาวสนใจเขาก็ทำท่าจะสอนหนังสือทันที

       แม้พัฒนาการเด็กแรกเกิดไม่ควรเป็นแบบนี้ แต่ดีแล้วที่เธอสามารถเรียนรู้ได้ไวขึ้น ไม่ต้องนอนเปื่อยอีกหลายปีจนเบื่อและอาจลืมชีวิตแสนสุขในชาติก่อนไป

       ที่เหลือเธอเพียงทำท่าดีใจเวลาพี่ชายโผล่มาสอนหนังสือ และปั้นหน้าเหม็นเบื่อตอนเขาไปที่อื่น ไม่นานก็ผูกมัดให้สอนภาษาจนกลายเป็นกิจวัตรได้ เหมือนฝึกสุนัขไม่มีผิด

       …เธอยึดเอาความสะดวกสบายของชาติก่อนมาเป็นแรงผลักดันให้ตั้งใจเรียน กล่อมตนเองว่าถ้าพยายามต้องพบหนทางกลับไปโลกใบเก่า มุ่งมั่นวันแล้ววันเล่าจนเริ่มฟังประโยคง่ายๆ ของคนในครอบครัวออก

       ตอนที่ไม่เข้าใจก็คาดเดาจากรูปประโยคและคำศัพท์อีกที…

       “แม่ครับ ทำไมน้องยังไม่มีชื่อเหรอครับ” อินิคาร์เอ่ยถามมารดาเป็นภาษาของโลกใบนี้

       สตรีวัยกลางคนเพิ่งให้นมทารกเสร็จไปชั่วขณะจึงจัดแจงเสื้อผ้าแล้วหันตอบบุตรชาย

       “เพราะยังไม่ถึงช่วง฿%@ ครั้งก่อนน้องของลูกเกิดมาช้าไปแค่วันเดียว” น้ำเสียงของผู้เป็นมารดาฟังดูเสียใจเล็กน้อย “กว่าขบวน$@#ของเทพธิดาจะมาถึง ต้องรออีกหน่อย…”

       สิ่งมีชีวิตตัวน้อยเงี่ยหูฟังแล้วพยายามปะติดปะต่อคำไปด้วย

       “แต่ก็อีกไม่นานแล้วสินะ” เด็กชายยิ้มแป้นแล้นแล้วเข้ามาเกาะเปลเหมือนลูกหมาชะเง้อมองเจ้านาย “ถ้าได้ชื่อน่ารักๆ คงเข้ากันดีนะครับ”

       “นั่นสินะ…” ผู้เป็นมารดามองเขาอย่างมีความสุขก่อนจะเบนสายตามาที่ทารกน้อย “$@#ของเทพธิดาบอกแม่ว่าชื่อมีผลต่อเวทมนตร์ ยิ่งท่านเทพธิดาตั้งให้ผ่าน$@#ระดับสูงยิ่งทรงพลัง วันใดที่ลูกได้รับเลือกอาจมีเวทมนตร์เยอะมากทีเดียว อินิคาร์”

       คนถูกจ้องลองคาดเดาคำแปลที่น่าจะแทนกันได้… อะไรบางอย่างของเทพธิดาซึ่งบอกข้อมูลกับมนุษย์ได้ ลูกแก้ว? ไม่สิ บางทีอาจเป็นสาวกที่สวมเครื่องแบบสีขาวพวกนั้น

       “เทพธิดาก็จะตั้งชื่อให้น้องเหมือนกันใช่ไหมครับ”

       สีหน้าของมารดาจริงจังขึ้นเล็กน้อย “ใช่… เทพธิดาจะมอบชื่อให้เด็กทุกคนผ่านสาวกระดับสูง”

       ทารกน้อยอยากพยักหน้าให้ความเก่งกาจของตัวเองซึ่งฟังออกครบถ้วนดีในคราวนี้ แต่พร้อมกันนั้นก็อยากบอกคนเป็นแม่ว่าถ้าเทพธิดามอบชื่อให้ทุกคนเท่ากันแล้วจะมีพลังมากกว่าใครได้ยังไงมิทราบ

       นี่มันพวกเห่อลูกชายชัดๆ

       “คุยเรื่องชื่อกันอยู่เหรอ” บุรุษผู้ไว้หนวดก้าวเข้ามาในห้องเลี้ยงเด็ก ยืนอัดกันในที่แคบเพื่อมองดูหน้าสมาชิกคนเล็กสุดในบ้าน “น่ารักจริงเชียว เจ้าตัวน้อยของพ่อ”

       เมื่อรู้หลายประโยค ภาษาของโลกนี้ก็ดูไม่น่ารำคาญเกินไปนัก

       “เรื่องชื่อมีผลกับเวทมนตร์น่ะไม่ต้องสนใจมากหรอก พวกเราเป็นพ่อค้าไม่ใช่ขุนนาง ไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้หรอก” ชายวัยกลางคนวางมือลงบนบ่าของภรรยา “อย่าคิดมากไปเลย”

       ได้ยินคำว่า เวทมนตร์ ซ้ำบ่อยๆ ทำเอารู้สึกเหมือนอยู่ในนิทานอย่างไรอย่างนั้น

       แต่จะปฏิเสธก็คิดไม่ลง เพราะที่นี่คืออีกโลกหนึ่งซึ่งมีลูกแก้วประหลาดแถมยังมีหน้าต่างระบบอันเคยปรากฏให้เห็นชั่วขณะด้วย

       “แต่อินิคาร์เป็นเด็กฉลาดกว่าคนอื่นมากนะคะ ถ้ามีโอกาสละก็… ลูกของเราต้องได้รับเลือกจากเทพธิดาแน่”

       น้องสาวเบ้ปากทันที ผู้หญิงคนนี้จะเห่อลูกชายมากเกินไปหรือเปล่าเนี่ย เจ้านั่นแค่คนที่มาเกิดใหม่จากต่างโลกเหมือนกันแหละ! รอเธอโตก่อนเถอะ จะทำให้เห็นว่าเธอดีกว่าเป็นร้อยเท่า!!

       “ผมเองก็อยากรู้จักครับ… เวทมนตร์น่ะ” อินิคาร์สบตามองบิดา “พ่อเคยบอกว่าการใช้เวทมนตร์ได้เป็นเกียรติสูงสุดของสามัญชนนี่ครับ”

       บุรุษผู้มีตำแหน่งคล้ายหัวหน้าครอบครัวขมวดคิ้วด้วยสีหน้าลำบากใจ ดวงตาเหลือบมองสัญลักษณ์วงกลมเปล่งแสงศักดิ์สิทธิ์ไปพลาง “แต่การไปรบเร้าเหล่าสาวกอาจไม่ดีเท่าไร”

       “นั่นสินะครับ…” เด็กชายคอตกคล้ายผิดหวัง

       “อินิคาร์ ได้เวลานอนแล้ว” มารดาลูบศีรษะบุตรคนโตและผลักหลังเบาๆ ให้ออกจากห้องไปจนลับสายตา ก่อนจะกลับมามองสามีอย่างจริงจัง “พรุ่งนี้ฉันจะพาอินิคาร์ไปหาพวกเพื่อนบ้านค่ะ ให้ทุกคนเห็นว่าลูกของเราเป็นอัจฉริยะ… พอถูกลือหนาหูเข้าเหล่าสาวกจะต้อนรับเราแน่”

       ทารกน้อยแกล้งหลับเมื่อถูกมอง แต่ยังคงตั้งสติเอียงหูฟังแผนการไม่ขาดสาย

       อย่างไรเรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องกับชาติก่อนของเธอ หากพี่ชายได้รับเวทมนตร์จากเทพธิดาอาจใกล้ชิดกับพวกสาวกและทำให้รู้วิธีกลับโลกเดิม

       แต่จะว่าไปพ่อแม่เธอก็ฉลาดไม่เบาที่จะใช้ชาวบ้านช่วยส่งข่าวลือให้มีมูล ทั้งยังกดดันฝั่งสาวกของเทพธิดาได้ด้วย เพราะทุกคนจะตั้งข้อสงสัยหากอินิคาร์ไม่ได้รับเลือก นั่นแปลว่าต่อให้สามัญชนดีเท่าไรก็ไม่มีวันได้รับโอกาส… นำไปสู่การขยายช่องว่างของชนชั้น ทำให้สามัญชนเอาใจออกหากจากศาสนา

       สมเป็นพวกหัวการค้าจริงๆ

       ไม่รู้ว่าหลังจากนั้นทั้งคู่คุยอะไรกันอีกบ้าง เพราะความง่วงรุมเร้าร่างกายเล็กจ้อยให้เข้านอนและเติบโตโดยไว

       …แผนของมารดาเริ่มต้นในวันถัดมา และใช้เวลาดำเนินการอยู่พักใหญ่กว่าจะส่งไปถึงเหล่าสาวกของเทพธิดา

       นานเสียจนเธอเข้าใจทุกประโยคในชีวิตประจำวันแล้ว และงานพิธีตั้งชื่อเวียนมาถึงอีกครั้ง

       “วันนี้แล้วล่ะ!” เด็กชายเข้ามาเกาะขอบเปลของทารกวัยหกเดือนแล้วบีบแก้มซ้ายทีขวาทีอย่างเบิกบาน “จะมีชื่อแล้วนะ ☆ωдของพี่”

       บางครั้งเวลาอยู่กันสองคนเขาชอบเอ่ยภาษาเก่าปนออกมาด้วย แต่เธอก็เพียงทำตัวเป็นเด็กทารกฟังเขาเฉยๆ โดยไม่ได้โต้ตอบอะไร

       “อินิคาร์” ผู้เป็นแม่โผล่มาจากข้างหลังด้วยความร้อนรน “เตรียมตัวเสร็จหรือยัง วันนี้พวกเราต้องไปที่โบสถ์นะ”

       ทุกคนดูจะตื่นเต้นกับการมาถึงของขบวนสาวกแห่งเทพธิดา

       กระทั่งผู้เป็นบิดายังตื่นตระหนกคว้าขอบประตูยื่นศีรษะบอก “ที่รัก! จู่ๆ พวกเขา… ก็มาเคาะหน้าประตู… แฮก… แล้วบอกว่าจะให้อินิคาร์พบกับเทพธิดา ก่อนเริ่มตั้งชื่อเด็กคนอื่นในหมู่บ้าน…”

       ชายวัยกลางคนหอบหายใจด้วยสีหน้าระคนยินดี ประหนึ่งวิ่งสุดแรงเกิดมาแจ้งข่าวในบ้าน

       “จริงเหรอครับ? ท่านเทพธิดามาเองถึงที่นี่!?”

       “โอกาสของสามัญชน… มาถึงบ้านเราแล้ว” คนแม่น้ำตาเอ่อคลอทันทีเมื่อสิ่งที่เฝ้าฝันใกล้สำเร็จไปอีกขั้น

       ทารกน้อยมองความโกลาหลด้วยสีหน้าเฉื่อยชา

       พวกเขาวุ่นวายเตรียมตัวชั่วขณะ แล้วจึงอุ้มเธอไปถึงโบสถ์ประจำหมู่บ้านซึ่งดูเรียบง่าย ขนาดพอดีสำหรับรับรองคนในหมู่บ้านแบบไม่เล็กหรือไม่ใหญ่เกินไป

       ข้างในที่โล่งกว้างมีคนแต่งกายคล้ายกันเพื่อเตรียมพิธีการวันนี้

       “มีเรื่องหนึ่งที่ต้องแจ้งไว้ก่อนพบท่านเทพธิดา…” เสียงของสาวกในชุดเครื่องแบบลอดผ่านผ้าคลุมหน้าออกมา “นี่เป็นเพียงการคัดเลือกความเหมาะสมเท่านั้น การจะได้รับเวทมนตร์จากท่านหรือไม่ต้องเคารพการตัดสินใจของท่านเทพธิดาเป็นลำดับสูงสุด”

       ครอบครัวเธอตั้งใจฟังทุกพยางค์และพยักหน้ายอมรับทันที

       “และต่อให้ได้รับเวทมนตร์ ก็มีความเสี่ยงที่จะเข้ากันไม่ได้อยู่ด้วย ในกรณีนั้นไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรก็ห้ามเรียกร้อง…”

       “แอ้!” เธอสะดุดกับประโยคที่อีกฝ่ายกล่าวออกมา แต่ก็ถูกแม่ลนลานห้ามไม่ให้ร้องทันที

       ทารกน้อยเงียบลงแล้วขบคิดระหว่างสาวกอธิบาย ทุกอย่างมันช่างคุ้นเหมือนเคยเกิดขึ้นมาแล้ว แต่เวทมนตร์ของพวกสาวกไม่ใช่หน้าต่างระบบที่เคยบอกคนต่างโลกหรือเปล่า…

       ไม่สิ… มันอาจจะเป็นอย่างเดียวกันก็ได้นี่!?

       ความทรงจำผุดย้อนกลับมาจนชวนสั่นสะท้าน เธอยื่นมือไปหาเด็กชาย แต่เขาดันตามสาวกเข้าไปในห้องหนึ่งของโบสถ์แล้ว

       “อย่าดื้อสิ รออินิคาร์ออกมาก่อน” มารดาโยกอ้อมแขนซ้ายขวาคล้ายกล่อมทารกให้สงบลง แต่เธอพยายามดิ้นเอื้อมมือออกไปที่ประตูนั้น

       พ่อแม่ในโลกนี้ไม่ได้เข้าใจอะไรเลย… ไม่รู้เลยสักนิดว่าถ้าข้างในห้องนั้นเป็นลูกแก้วเทพธิดาจริงๆ คนที่มาจากต่างโลกอย่างพวกเธอจะเจอกับอะไรเข้า

       เพื่อนของเธอทุกคน… กลายเป็นร่างไร้ลมหายใจ แถมตัวเธอยังถูกฆ่าอีกต่างหาก!

       “แอ้!!” ทารกส่งเสียงให้ดังขึ้น

       บิดาคล้ายรู้สึกประหลาดกับท่าทีของเธอ “อยากตามอินิคาร์เข้าไปงั้นเหรอ เจ้าตัวน้อยของพ่อ”

       “แต่กฎของท่านเทพธิดาให้สามัญชนเข้าพบได้ทีละคน…” สาวกคนเดิมกำลังจะพูดต่อ แต่ถูกผู้ที่อยู่ด้านหลังสะกิดกระซิบบางอย่าง “เข้าใจแล้ว เด็กคนนี้เองก็ดูไม่ธรรมดาเลย พวกเราขอมอบโอกาสให้ท่านเทพธิดาช่วยตัดสินด้วยแล้วกัน”

       เรื่องเกินความคาดหมายทำให้ผู้ปกครองทั้งสองเบิกตากว้างขึ้น

       กึ่งหนึ่งคือความยินดี อีกกึ่งหนึ่งคือความกังวล… ทั้งพ่อและแม่ในโลกนี้ไม่ได้ห่วงอินิคาร์เพราะในสายตาของพวกเขาพี่ชายเป็นเด็กอัจฉริยะที่ถูกเลือก แต่ทารกอย่างเธออาจไม่เข้ากับพลัง

       “ที่รัก ลูกสาวของเราเพิ่งหกเดือน”

       “แต่ฉันไม่อยากพลาดอีกแล้วนะ เด็กคนนี้เป็นคนเดียวในหมู่บ้านที่เกิดหลังจากพิธีรอบก่อนแค่วันเดียว…” ผู้เป็นแม่ต้องการจะเสี่ยง และคำพูดเหล่านั้นทำคนฟังใจอ่อนไปด้วย

       “แอ้! แอ้!!” ไม่เอาหรอก! ให้เธอไปเจอกับลูกแก้วนรกนั่นอีกรอบน่ะ ไม่มีทางเด็ดขาด!!

       แรงดิ้นของเธอทำให้มารดาแทบจะเอาไม่อยู่ บิดาจึงเป็นฝ่ายเข้ามาอุ้มไว้แทน

       “นำทางไปเลย” พ่อเวรตะไล!

       เธออยากฉีกทึ้งเสื้อผ้า แต่แขนขาก็ไม่ได้มีเรี่ยวแรงหยิบจับมากขนาดนั้น เพราะกล้ามเนื้อและกระดูกยังไม่แข็งแรงพอ

       สุดท้ายผู้มาจากต่างโลกก็เลิกดิ้นรนอย่างไร้ประโยชน์ ยิ่งเมื่อถูกเปิดประตูพาเข้าสู่ห้องพิศวงอันมีแท่นลูกแก้วอยู่ตรงกลางยิ่งสงบเสงี่ยม

       ความกลัวจากก้นบึ้งของจิตใจเริ่มครอบงำ

       กลัว… จนเห็นภาพหลอนติดตา

       กลัว… จนรู้สึกถึงความเจ็บปวดบริเวณลำคออันไม่มีอยู่จริง

       [ส่งทารกที่ดูธรรมดาแบบนี้มาด้วยเหรอเนี่ย] เสียงจากลูกแก้วเปล่งออกมาอย่างแข็งทื่อไม่ต่างจากเดิม

       รอบๆ มีสาวกปิดหน้าถือหอกประจำสี่มุมและยืนนิ่งไม่ต่างจากหุ่นปั้น กับอีกหนึ่งคนที่พาพวกเธอเข้ามา

       “เธอเป็นน้องสาวของผมเองครับ” เด็กชายรีบเอ่ยแทรกบรรยากาศอึดอัดหลังมีผู้มาเยือนใหม่ “น้องคงอยากตามผมมาด้วย พ่อเลยขอให้พามา… ท่านเทพธิดาคงไม่ว่าอะไรใช่ไหมครับ”

       “ความจริงให้ออกไปน่าจะดีกว่า แต่ว่า…” น้ำเสียงของลูกแก้วดูมีอารมณ์ร่วมมากกว่าเดิมเล็กน้อย “ให้อยู่ดูฉากนี้ก็คงสนุกไม่น้อย”

       อินิคาร์ขมวดคิ้ว “ท่านเทพธิดาหมายความว่า…”

       “ตามที่คุยกันตอนแรก ข้าคิดว่าเจ้าเหมาะสมจะได้รับพลัง ลองวางมือลงบนนี้ดูสิ” เสียงเทพธิดาร่าเริงขึ้นทุกพยางค์ที่กล่าว

       อดีตผู้เคยสัมผัสอยากกล่าวห้าม แต่กลับตัวสั่นจนไม่อาจเอ่ยอะไรออกมาให้เป็นจุดสนใจ

       “ผมจะใช้เวทมนตร์ได้…” เพียงเด็กชายพูดเท่านั้น สัมผัสที่วางลงบนลูกแก้วก็คล้ายตัดการเชื่อมต่อกับร่างกายให้ดับวูบลงไปกองพับสู่พื้นหิน

       “…อินิคาร์?” ผู้เป็นบิดาเบิกตากว้าง

       [ฮ่าฮ่าฮ่า!] เสียงหัวเราะดังไปทั่วอย่างกับมัจจุราชขบขันชีวิตเหยื่อ [สีหน้าเจ้าช่างตลกดีจริงๆ]

       “ลูก… ลูกชาย… ของ…” เขามือไม้อ่อนจนเกือบทำทารกร่วงจากอ้อมแขน หนวดบนใบหน้าสั่นตามกระดูกขากรรไกรล่างซึ่งไม่อาจหุบลง

       [เอาเด็กนั่นมานี่] คำสั่งจากลูกแก้วเรียกสาวกด้านหลังให้พาทารกเข้าใกล้ [อืม… ดูธรรมดาเกินไปหรือเปล่า เอาเถอะ ถ้าไม่ใช่ค่อยว่ากันอีกที]

       ทารกน้อยอยากสบถดังๆ กับความเจ็บปวดที่ได้รับตอนโดนกระชาก แต่เพียงร้องแค่หนึ่งแอะก่อนมือจะถูกคว้าสัมผัสลูกแก้วเองโดยไม่ได้ขอ

       บ้าบอที่สุด! เธอต้องจับลูกแก้วนี่อีกแล้วงั้นเหรอ!?

       ฝั่งบิดาอ้าปากค้างก่อนตั้งสติเข้าไปดูร่างอินิคาร์ซึ่งไร้ร่องรอยแห่งชีวิตแทน เขาพยายามสำรวจลูกทั้งสองคนอย่างห่วงกังวลไม่แพ้กัน

       ไม่นานหน้าต่างสถานะก็ปรากฏขึ้นมาตรงหน้าทารก สาวกเห็นดังนั้นจึงวางเธอลงบนพื้น

       [เฮ้อ… ยินดีด้วย สามัญชน…] ลูกแก้วว่าด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์อย่างที่สุด [ลูกคนโตเจ้ามีประโยชน์ ส่วนลูกคนเล็กไร้ประโยชน์สุดๆ]

       ความรู้สึกเดิมวนมาอีกครั้งหลังฟังจนจบประโยค เธอไม่เข้าใจสถานการณ์เลยสักนิดเดียว

       ไม่เข้าใจว่าเทพธิดากับสาวกพวกนี้วางแผนทำอะไรกับคนจากต่างโลกกันแน่

       แถมครั้งนี้อีกฝ่ายไม่ได้เรียกเธอว่าดวงจิตพิสุทธิ์ทั้งที่ขึ้นหน้าต่างระบบเหมือนกับชาติก่อน กลับตัดสินว่าเป็นคนทั่วไปแทน…

       ข้อแตกต่างคืออะไรกัน

       “ให้กำจัดทิ้งเลยหรือเปล่าครับ” คำถามของสาวกทำให้สองพ่อลูกที่ยังเหลืออยู่สะดุ้งเฮือก

       [นั่นสินะ… ทำอะไรแบบนี้นานเข้าก็เบื่อน่าดู] เทพธิดาเอ่ยประโยคซึ่งดูเอาแต่ใจออกมา [ฆ่าคนพ่อเพื่อปิดปากแทนดีกว่า ส่วนลูกสาวลองส่งกลับไปหาคนแม่ดู… ข้าอยากเห็นเหลือเกินว่าเด็กคนนี้จะเติบโตไปบิดเบี้ยวแค่ไหน]

       ทารกน้อยสาปแช่งเทพธิดาในใจเป็นพันหน ไม่ว่าจะภาษาใดที่รู้จักคำด่าก็กราดพ่นในใจจนไม่รู้จะสรรหาอะไรมาเกลียดชังได้มากกว่านี้

       “จะดีเหรอครับ พวกขุนนางอาจมองว่าสิ้นเปลืองพลังงาน…”

       [เจ้าจะขัดคำสั่งข้าหรือ…] น้ำเสียงทรงอำนาจจากลูกแก้วทำให้สาวกงับปากหุบทันที [เด็กนี่เป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง อีกไม่นานก็จำเรื่องราวในวันนี้ไม่ได้แล้ว… กำจัดคนพ่อแล้วโยนคนลูกกลับไปก็พอ ข้าอยากสนุกบ้างจะเป็นอะไรไป]

       ผู้เป็นบิดาแทบฟังไม่เข้าหัว เขาได้ยินประโยคหลังอีกทีเมื่อเงยหน้าขึ้นจากศพลูกคนโต

       ทว่าเพียงพริบตา… แค่ชั่วขณะเดียวเท่านั้น… พ่อของเธอก็จากไปด้วยคมหอกแหลม สิ้นใจข้างแท่นวางลูกแก้ว เอนกายหลับชั่วนิรันดร์พร้อมบุตรชาย

       “แอ้! แอ้…!!” เธอร้องออกมาอย่างโกรธแค้น

       แม้ไม่ได้ผูกพันกับครอบครัวมากมายแต่พวกเขาไม่สมควรได้รับความเจ็บปวดเช่นนี้เลยสักนิด!

       เธอขุ่นเคือง… ทั้งสาวกของเทพธิดาและตัวเองซึ่งไร้กำลัง

       สองหนแล้วที่มาอยู่ตรงหน้าลูกแก้วมรณะทว่าไม่อาจทำอะไรได้เลยนอกจากจำยอมจนโดนพลัดพรากทุกสิ่ง!

       โลกนี้มันอะไรกันแน่

       เทพธิดาแห่งหายนะต้องการสิ่งใด

       และ…

       “…อินิคาร์” เสียงหวานของผู้เป็นแม่กอดทารกในอ้อมอกทั้งน้ำตา “อินิคาร์ผู้น่ารักของแม่…”

       มือหยาบกร้านจากสตรีวัยกลางคนลูบศีรษะเล็กอย่างหวงแหน

       แว่วเสียงกระซิบของครอบครัวอื่นอยู่เบื้องหลัง “นางไม่พาลูกสาวเข้าพิธีหรือ”

       “เห็นว่าขอสืบชื่อเดิมที่เทพธิดาเคยตั้งให้ลูกชายเอาไว้แทน เพราะลูกชายเข้ากับพลังไม่ได้น่ะ”

       “ลำพองใจเกินไปก็เช่นนี้ คิดว่าตนเองร่ำรวยและมีสิทธิ์เหนือคนอื่นแค่เพราะลูกชายฉลาดนิดหน่อยเท่านั้นเอง” อีกคนจับกลุ่มคุยต่อ “เห็นว่าคนพ่อก็ฝืนข้อห้ามต่อหน้าเทพธิดาเพราะอยากมีเวทมนตร์แล้วดันเข้ากับร่างกายไม่ได้ด้วยนะ”

       “ช่างโลภมากเหลือเกิน”

       คำนินทามีแต่การซ้ำเติมผู้ร่วงหล่น

       คนจากต่างโลกได้เพียงร้องไห้ด้วยความเจ็บแค้น… เรื่องจริงล้วนถูกบิดเบือน ศาสนาบ้าบอนี่ล้างสมองผู้คนไปหมดแล้ว!

       มารดายังคงลูบประคองบุตรสาวคล้ายไม่สนใจฟังเสียงภายนอก

       อีกฝ่ายเป็นคนเดียวซึ่งเหลืออยู่ข้างเธอ และนี่คือสิ่งที่พอจะมอบไออุ่นปลอบประโลมจิตใจในตอนนี้ให้ยังรับมือกับทุกอย่างไหว…

       ทว่าริมฝีปากแห้งผากกลับเอื้อนเอ่ยว่า “ลูกเป็นผู้ถูกเลือกให้ได้รับพลังจากเทพธิดาเชียวนะ… อินิคาร์ ลูกต้องเติบโตไปเป็นผู้ชายที่ยอดเยี่ยมแน่นอน…”

       และแล้วทารกน้อยก็ตระหนักว่า ชีวิตในโลกใหม่ช่างบัดซบสิ้นดี

เกิดใหม่อยู่นั่นแหละ รำคาญ!

เกิดใหม่อยู่นั่นแหละ รำคาญ!

Status: Ongoing
ถูกอัญเชิญ โดนสังหาร และเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จบ… ดูเหมือนเธอจะต้องติดอยู่ในมิตินี้ไปตลอดกาล? ใครหน้าไหนกล้าพูดว่าอยากมาต่างโลกก็ตบกันเลยดีกว่า เฮงซวย! (#เกิดใหม่รำคาญ)

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน