พูดไป จ้าวซานก็เดินวิ่งไปที่หน้าประตูด้วยความโมโห หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทร
เขาสีหน้าไม่พอใจ จ้องหน้าหลินอิ่งกับฉินฝู้กุ้ยอย่างโหดเหี้ยม
เพราะว่า ในสายตาเขา คนอย่างหลินอิ่งกับฉินฝู้กุ้ย ก็เป็นเหมือนดั่งคนรับใช้เท่านั้น
คนต่ำต้อยแบบนี้ ยังกล้ามาอวดดีกับคุณชายแห่งตี้จิงอีก?
ติ๊ดติ๊ดติ๊ด
หลังจากโทรไปหลายสาย จ้าวซานรับโทรศัพท์ขึ้นมาด้วยสีหน้าเคารพ พูดอย่างระมัดระวัง “คุณหนูใหญ่ ผมอยู่ในบริษัทของฉินฝุ้ยกุ้ย ฉินฝู้กุ้ยไม่ยอมให้ความร่วมมือในการทำงาน ปฏิเสธคำสั่งของท่าน ไม่ยอมเซ็นชื่อโอนหุ้นบริษัทเครื่องประดับฉีซื่อ”
“คุณหนูใหญ่ ฉินฝู้กุ้ยมันพูดแบบนี้จริง วันนี้ฉินฝู้กุ้ยมันคุยเรื่องงานกับเพื่อนมันคนหนึ่ง เพื่อนมันคนนี้ปากดีมาก ปีกกล้าขาแข็ง ไม่ได้มีตระกูลจ้าวตี้จิงของเราอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย”
“ใช่เหรอ? เมืองเล็กๆอย่างชิงหยูน ยังกล้ามีคนไม่มีตระกูลจ้าวเราอยู่ในสายตาเหรอ? ฉินฝู้กุ้ยไม่ได้บอกเพื่อนมันเหรอ ว่านายช่วยใครทำงาน?”
ในโทรศัพท์ เป็นเสียงของจ้าวหินเอ๋อร์อันเคร่งขรึม
“คุณหนูใหญ่ ผมพูดแล้ว ผมบอกเพื่อนปากเก่งของฉินฝู้กุ้ยแล้ว ว่าผมทำงานให้ใคร ปรากฏว่า มันกลับพูดว่าตระกูลจ้าวอะไรก็ไม่ใช่ในสายตามัน”
“อีกอย่าง เพื่อนของนายฉินฝู้กุ้ย ไม่รู้ว่ามันมาจากไหน กล้าพูดว่ามันไม่เคยได้ยินว่าตระกูลจ้าวกับคุณชายอิ่งแห่งตี้จิง ปากกล้ามาก ยังบอกให้ผมไปเรียกคุณชายอิ่งตี้จิงมาอีก ช่างอวดดีมาก”
จ้าวซานพูดจาใส่ไฟในโทรศัพท์อย่างเต็มที่ สีหน้าโมโหอย่างมาก
“กล้าดีจริงๆ จ้าวซาน ให้ฉินฝู้กุ้ยรับโทรศัพท์” จ้าวหลินเอ๋อร์พูดอย่างเคร่งขรึม
“เฮอะ” จ้าวซานทำเสียงเย็นชา สีหน้าได้ใจ “ฉินฝู้กุ้ย คุณหนูให้แกมารับโทรศัพท์ แกระวังไว้ด้วย”
พูดไป จ้าวซานก็เดินเข้าไปอย่างมั่นใจ วางโทรศัพท์ไว้หน้าฉินฝู้กุ้ย
ฉินฝู้กุ้ยสีหน้าตื่นเต้น หันไปมองหลินอิ่ง หลินอิ่งดื่มชาอย่างใจเย็น พยักหน้าเล็กน้อย
ได้รับการตอบรับจากหลินอิ่งแล้ว ฉินฝู้กุ้ยถึงกล้ารับโทรศัพท์
“ฮัลโหล คุณหนูจ้าว ผมคือฉินฝู้กุ้ย” ฉินฝู้กุ้ยพูดอย่างจริงจัง
“ฉินฝู้กุ้ย แกปีกกล้าขาแข็งแล้วใช่ไหม? แม้แต่คำพูดฉัน ยังกล้าไม่ฟัง?” จ้าวหลินเอ๋อร์ถามอย่างเย็นชา ท่าทางยโส
“ได้ยินว่าเพื่อนแกอวดดีมาก? แกยังไม่ไปห้ามมัน? หรือว่าไม่มีฉันอยู่ในสายตาแล้ว?”
ฉินฝู้กุ้ยพูดเคร่งขรึม “คุณหนูจ้าว ท่านหลินกลับมาแล้ว”
“ท่านหลิน?”
ทางโทรศัพท์ น้ำเสียงจ้าวหลินเอ๋อร์รู้สึกแปลกใจ ลังเลไปครู่หนึ่ง
“ท่านหลินอะไร? หรือว่า?”
“ใช่ ผมกลับมาแล้ว”
หลินอิ่งพูดอย่างเรียบเฉย
“จ้าวหลินเอ๋อร์ มาที่ฉินหยุนโล๋เดี๋ยวนี้ อธิบายทุกอย่างที่เกิดขึ้นในเมืองชิงหยูนให้ชัดเจน”
“ถ้าคุณไม่มีคำอธิบายอย่างชัดเจน ผมจะไปที่ตระกูลจ้าว ไปขอคำอธิบายกับนายท่านตระกูลจ้าวเอง”
น้ำเสียงอันเย็นชาของหลินอิ่งพูดออกไป
ทางโทรศัพท์ฝั่งโน้น ก็เงียบไปครู่หนึ่ง
“ฉันไปฉินหยุนโล๋เดี๋ยวนี้” จ้าวหลินเอ๋อร์พูด
เสียงติ๊ดติ๊ด สายถูกตัดไปแล้ว
“อะไร? ไอ้นี่มัน กล้าวางสายพี่สาวฉัน? ยังกล้าพูดจาอวดดีต่อกับเขา? แกตายแน่ ฉันขอบอกแก” จ้าวซานจ้องหลินอิ่งอย่างเย็นชา ตะโกนพูดด้วยความโมโห
“บ้าไม่รู้ที่ต่ำที่สูง รอพี่สาวฉันมาถึงฉินหยุนโล๋ ต้องต่อยจนแกคุกเข่าลงไปแน่”
“ฉินฝู้กุ้ย ฉันยิ่งดูยิ่งไม่ชอบไอ้ซื่อบื้อนี่ ตอนนี้ฉันให้โอกาสแกครั้งหนึ่ง ต่อยให้มันคุกเข่าลงเดี๋ยวนี้ รอพี่สาวฉันมา แกจะได้อธิบายถูก”
จ้าวซานออกคำสั่งกับฉินฝู้กุ้ยด้วยท่าทางยโส
ฉินฝู้กุ้ยสีหน้าเคร่งเครียด ไม่ได้พูดอะไรเลย
“โอ้โห ฉันว่าแกนี่มันเหิมเกริมใหญ่แล้ว ไอ้บ้านนอกสองคน ไว้หน้าแล้วยังไม่เจียมตัวอีก?”
จ้าวซานพูดอย่างอวดดี “พี่สาวฉันให้แกฉินฝู้กุ้ยทำงาน นั่นเพราะเห็นแกหน้าพี่เขยฉัน ให้โอกาสแก ไม่อย่างนั้น ไอ้ขยะอย่างแก ไปเป็นหมาให้ตระกูลจ้าวยังไม่มีสิทธิ์เลย ตอนนี้ให้โอกาสแกแสดงผลงาน แกยังไม่รักษาไว้อีก?”
“ฉันนับถึงสาม ถ้าแกยังไม่จัดการไอ้ขยะนี่อีก ฉันจะไปเรียกคนเดี๋ยวนี้ จัดการพวกแกทั้งสองคน”
จ้าวซานจุดบุหรี่มวนหนึ่ง พูดด้วยท่าทางอวดดี ยกมือขึ้น
“ฉินฝู้กุ้ย ช่วงที่ฉันไม่อยู่ นายก็ทำงานให้ตระกูลจ้าวแบบนี้?” หลินอิ่งมองฉินฝู้กุ้ยสีหน้าเรียบเฉย
“ท่านหลิน นี่……” ฉินฝู้กุ้ยสีหน้าไม่ดี เหงื่อไหลท่วมตัว
ก่อนหน้านี้จ้าวหลินเอ๋อร์มาที่เมืองชิงหยูน อำนาจล้นฟ้า เขาถูกคนของตระกูลจ้าวเรียกใช้งานเหมือนหมา ไม่กล้าปฏิเสธ
“แม่งเอ้ย เปิดปากปิดปากก็ตระกูลจ้าว ตระกูลจ้าวของเรา ไอ้ขยะอย่างแกจะเอามาพูดได้เรื่อยเปื่อยเหรอ? เชื่อไหมว่าฉันตบปากแกบวมตอนนี้เลย?”
จ้าวซานยืนนิ้วชี้หน้าหลินอิ่ง ตะโกนพูดอย่างโมโห
เพี๊ยะ
ฉินฝู้กุ้ยลุกขึ้นกะทันหัน ตบหน้าจ้าวซานอย่างแรง ตบจนจ้าวซานสีหน้ามึนงง จนเลือดซึมออกจากมุมปาก
“แก ฉิน……” จ้าวซานแววตาไม่อยากเชื่อ โมโหมากจนกำลังจะตบกลับ
เพี๊ยะเพี๊ยะเพี๊ยะ
ฉินฝู้กุ้ยพุ่งเข้าไปจับตัวจ้าวซาน กดตัวไว้บนโต๊ะ รัวตบเข้าที่หน้าไม่อั้น ตบจนจ้าวซานกระอักเลือด
ฉินฝู้กุ้ยถึงแม้จะอ้วน แต่ไม่ว่ายังไงก็เป็นหัวหน้าในโลกแห่งความมืด สั่งสอนชายเจ้าสำราญอย่างจ้าวซานแบบนี้ เรื่องง่ายดาย
“พวกแกตายแน่ แม้แต่ฉันยังกล้าตบ รอพี่สาวฉันมา ต้องจัดการไอ้บ้านนอกอย่างแกสองคนแน่”
ปัง
ฉินฝู้กุ้ยยกเท้าถีบจ้าวซานกลิ้งลงจากโต๊ะ ล้มอยู่หน้าหลินอิ่ง คุกเข่ากับพื้น
“แกนี่มันตาบอดใช่ไหม ยังกล้ามาอวดดีต่อหน้าท่านหลิน? แกรู้ไหมว่าแกพูดกับใครอยู่?”
ฉินฝู้กุ้ยสีหน้าโหดเหี้ยม แปร่งประกายแรงสังหาร จ้องหน้าจ้าวซานอย่างโหดเหี้ยม
“ยังกล้ามาเห่าที่นี่อีก เดี๋ยวก็โยนทิ้งแม่น้ำชิงหยูนเลี้ยงปลาทันทีแน่”
พูดไปด้วย ก็มีลูกน้องของฉินฝู้กุ้ยสิบกว่าคนเดินออกมาจากห้อง ล้อมจ้าวซานไว้ด้วยสีหน้าโหดเหี้ยม
คราวนี้ ทำให้จ้าวซานตกใจจนกางเกงจะเปียกแล้ว
เขาคิดไม่ถึงว่า ฉินฝู้กุ้ยจะกล้าทำร้ายเขา กล้าหักหน้ากับเขาต่อหน้า
เขาอาศัยอำนาจของจ้าวหลินเอ๋อร์ ใช้ชื่อเสียงของลูกพี่ฉินฝู้กุ้ย คุณชายอิ่งแห่งตี้จิง ถึงกล้าตะโกนเรียกใช้ฉินฝู้กุ้ย
ถ้าจะเอาจริงขึ้นมาในเมืองชิงหยูน เจ้าถิ่นอย่างฉินฝู้กุ้ย แค่คำเดียวก็จัดการเขาได้แล้ว
“ท่านหลิน ผมขอโทษ ก่อนหน้านี้ผมทำให้ท่านขายหน้าแล้ว ไม่รู้ความสัมพันธ์ของท่านกับคุณหนูจ้าวจริงๆ ถึงไม่กล้าทำอะไรเอง” ฉินฝู้กุ้ยพูดอย่างเคารพ
“ท่านหลิน ท่านว่า ไอ้หน้าโง่จ้าวซานนี่ จะจัดการยังไงดี?”
หลินอิ่งมองจ้าวซานที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย หยิบบุหรี่ขึ้นมามวนหนึ่งอย่างใจเย็น ฉินฝู้กุ้ยรีบเข้าไปจุดไฟให้
“ท่านหลินอะไร? อะไรไม่รู้ว่าพูดกับใครอยู่? แก แกเป็นใครกันแน่?”
จ้าวซานเห็นท่าทางผิดปกติของฉินฝู้กุ้ย เหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้ หันไปมองหลินอิ่งสีหน้าหวาดกลัว