“อุ อุหวา สุดยอดไปเลยนะนี่น่ะ”
หลังจากแยกทางกับเอเลน่า ผมก็ตรงที่ห้องสมุดคนเดียวและตกตะลึงกับฉากตรงหน้า
อาคารสามชั้นมีเพดานกว้างๆ เทคโนโลยีของโลกเก่าไม่มีทางทำแบบนี้ได้แน่ๆ ภายในสว่างอย่างกับอยู่ใต้แสงอาทิตย์ พื้นมันวาวดูโดดเด่น
ชั้นหนังสือเรียงรายไว้เต็มทั้งชั้น ชั้นหนึ่งและชั้นสองมีพื้นที่ขนาดใหญ่ เหมาะสำหรับอ่านหนังสือพร้อมเปิดเพลงแจสคลอเบาๆเสียจริง
“ที่นี่คือห้องสมุดของโรงเรียนสินะ”
ผมรับรู้ได้ในทันที สถานที่นี้มันคือสวรรค์สำหรับคนรักหนังสือชัดๆ
โครงสร้างดูสวยงามมีสไตล์แต่ะกลับเปิดกว้างและให้บรรยากาศที่ดูเงียบสงบ
ก็เป็นไปตามคาดล่ะนะ เพราะนี่เป็นโรงเรียนของเหล่าขุนนางนี่
(ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะได้มาอ่านหนังสือในสถานที่น่าเหลือเชื่อแบบนี้ น่าตื่นเต้นเหมือนกันแหะ)
เท่าที่ดูเหมือนจะไม่มีนักเรียนมาใช้บริการเลยนะ
บางทีอาจเป็นเพราะช่วงพักเที่ยงล่ะมั้ง
“อา ถ้าไม่มีใครอยู่ ฉันก็เปิดเพลงฟังได้ตามสบายสินะ”
รู้สึกเสียดายเล็กน้อย แต่ผมก็เดินไปรอบๆชั้นหนึ่งด้วยอารมณ์เหมือนมาเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์
หนังสือที่เห็นมีแต่แนวที่ดูยากๆ
ปรัชญา สังคม อัตชีวประวัติ ธุรกิจ การวิจัยทางอุตสาหกรรม ฯลฯ
“นักเรียนนี่อ่านอะไรพวกนี้ด้วยเหรอ…. มันหนาซะจนเอามาเป็นอาวุธทื่อๆได้เลยนะเนี่ย หรือโซนวรรณกรรมจะอยู่ชั้นสองกันนะ”
เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ที่ผมจะไม่รู้ว่าหนังสือประเภทไหนจัดวางไว้ที่ไหน
เบเรต์ไม่เคยมาห้องสมุดมาก่อน พูดอีกอย่างคือในความทรงจำนอกจากในชั้นเรียนแทบไม่เคยเห็นเขาจับหนังสือเลยด้วยซํ้า
ไม่สะดวกเอาซะเลยน้า
ด้วยเหตุนี้ผมจึงเดินชมไปรอบๆด้วยความรู้สึกที่สดใหม่ ไม่มีเบื่อเลย
(เอ..ต่อไปก็ชั้นสอง)
ผมเดินขึ้นชั้นสองไปเพื่อที่จะหาหนังสือที่ดูน่าสนใจ
ไม่มีใครอยู่ที่นี่ มีเพียงผมคนเดียวเท่านั้น ผมคิดพลางมองขึ้นไปที่ชั้นบน
หนังสือละลานตาไปหมด
แต่ทว่าเขาคิดผิด
มีผู้หญิงคนหนึ่งที่ยังใช้ห้องสมุดในเวลานี้อยู่
วินาทีที่ผมมองชั้นหนังสือเสร็จ แล้วเดินหันไป…เธอก็โผล่เข้ามาในสายตา
“หะ?”
ผมสีขาวปนฟ้าอ่อนๆผูกเป็นหางม้าด้านข้าง ดวงตาสีทอง แววตาดูง่วงนอน
เด็กสาวสวมชุดเครื่องแบบนักเรียน ถือหนังสือไว้หลายเล่มในมือทั้งสองข้าง
“อะ”
“หวาา ! ”
ด้วยความตกใจร่างกายของเธอแข็งเกร็งโดยสัญชาตญาน
บางทีเธอคงจดจ่อกับหนังสือมากไป เลยไม่ได้สังเกตุเห็นผมที่เดินมา
เธอร้องด้วยความตกใจเล็กน้อย จากนั้นหนังสือที่เธอถืออยู่ก็ร่วงกราว
กระทันหันและก็ใกล้กันเกินไปที่จะทันได้ตอบสนอง เราสองคนรับรู้ได้ในทันทีว่าชนกันแน่
เด็กสาวร่างบางโดนชนจนล้มก้นจํ้าเบ้าไป
“ข- ขอโทษ! เป็นอะไรหรือเปล๊า!? “
“ค…ค่ะ ฉันไม่เป็นไรค่ะ ขอโทษที่เหม่อไปหน่อยนะคะ”
ผมถามไปด้วยความรีบร้อน เสียงเลยหลงซะงั้น
หลังจากที่โดนชน เธอก้มหน้าลงตาปิดข้างหนึ่งราวกับกำลังอดทนกับความเจ็บปวด
–ดูเหมือนเธอจะคิดว่าเป็นความประมาทของตัวเองคนเดียว แต่ผมเองก็ประมาทเช่นกัน เดินมองไปรอบๆแต่ไม่ได้มองรอบตัวเองเลย
“ไม่หรอก ผมเองก็ประมาทเหมือนกัน ขอโทษจริงๆ–นะ!? “
ผมพยายามขอโทษเธอ แต่ไม่ทันจะได้พูดจบประโยค
ผมอ้าปากค้างเมื่อเห็นภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจตรงหน้า
“……”
กระโปรงของเธอม้วนขึ้นในขณะที่เธอล้มก้นกระแทก ผมเห็นถุงน่องสีดำต้นขาขาวเนียนและกางเกงในของเธอปรากฎขึ้นในสายตา
(เวรละ)
ผมรีบหันหน้าหนีทันที แต่ด้วยองศาการมองทำให้ถูกจับได้อย่างง่ายดาย
“เอ่อ ช่วยอย่ามองมาที่แปลกๆจะได้มั้ยคะ ถึงจะเป็นอุบัติเหตุแต่ฉันก็ฟ้องอาจารย์ได้นะ เบเรต์ เซนต์ฟอร์ด”
“ข-ขอโทษจริงๆครับ”
“ค่ะ คราวหน้าก็ระวังด้วยนะคะ”
เธอพูดด้วยนํ้าเสียงสงบ นี่เธอไม่อายที่โดนเห็นกางเกงในบ้างเลยเหรอ… เธอจัดกระโปรงใหม่โดยไม่แสดงสีหน้าและเริ่มเก็บหนังสืออย่างระมัดระวัง
“อะ เดี๋ยวฉันช่วยนะ ว่าแต่..เธอรู้จักฉันด้วยเหรอ?”
นิยายโรแมนติกสี่เล่มที่กองอยู่ที่พื้น ผมถามขณะหยิบสองในสี่เล่มนั้นขึ้นมา แล้วก็ยื่นให้เธอ
“ขอบคุณค่ะ. ก็คุณเป็นคนดังไม่ใช่เหรอ”
“อะ อะฮาฮา นั่นมันก็จริง”
ผมรู้สึกกดดันแปลกๆกับสายตาที่ดูง่วงนอนคู่นั้น เป็นไปตามคาด เพราะเธอก็เป็นนักเรียนของที่นี่จะมีข่าวลือมาเข้าหูบ้างก็ไม่แปลก
“…เอ ไม่เป็นไรจริงๆใช่มั้ย? เจ็บมากรึเปล่า?”
“ค่ะ เริ่มหายเจ็บแล้วค่ะ”
เธอเริ่มยืนขึ้นราวกับจะพิสูจน์คำพูดของเธอ ผมเองก็ยืนขึ้นเช่นกัน
“ยิ่งกว่านั้น ฉันมีเรื่องอยากจะถามคุณหน่อยค่ะ เบเรต์ เซนต์ฟอร์ด”
“อะ อะไรเหรอ?”
นํ้าเสียงที่ราบเรียบ ใบหน้านิ่งสนิท เมื่อผมเผชิญหน้ากับเธอ ไม่สามารถอ่านสีหน้าเธอได้เลย
“ตอนนี้มันน่าจะเป็นเวลาอาหารกลางวันแล้ว ถึงจะผ่านมานานสักพักแล้วก็เถอะ แต่คุณมาที่นี่ มีจุดประสงค์อะไรกันแน่คะ? เพราะเท่าที่ฉันรู้ เหมือนว่านี่จะเป็นครั้งแรกของคุณที่มาห้องสมุดแบบนี้นะ ”
“…อา ก็มาอ่านหนังสือไง”
“ในเวลาพักเที่ยง?”
“อือ”
ทันทีที่ผมตอบ ดวงตาสีทองของเธอก็หรี่ลงและมองผมเหมือนมองตัวตนที่น่าสงสัย เป็นครั้งแรกที่ผมอ่านความรู้สึกจากสีหน้าเธอได้
“ขอโทษนะคะ ฉันทำใจเชื่อไม่ลงจริงๆ ถ้าคุณมาใช้ห้องสมุดบ่อยๆก็อาจจะใช่ แต่คุณพึ่งเคยมาเป็นครั้งแรก ยังมีข่าวลือไม่ดีๆเกี่ยวกับตัวคุณอีก”
“ก -ก็นะ”
“พูดอีกอย่างก็คือตอนนี้ความนิยมของคุณมันติดลบสุดๆไปเลยค่ะ คงไม่ใช่ว่ามาทำลายหนังสือเพื่อระบายความเครียดหรอกใช่มั้ยคะ?”
(ก็ดูเป็นคนมีเหตุผลอยู่หรอกน้า….แต่หยาบคายชะมัด)
ผมไม่มีความตั้งใจจะอ้างชื่อแบ็คใหญ่อย่างมาร์ควิสหรอกนะ แต่เธอกล้าพูดกับผมอย่างฉะฉานขนาดนี้ได้ยังไงกันนะ ใจกล้าน่าดูเลย
—บอกตามตรง ผมแอบดีใจด้วยซํ้า ที่มีคนมาปฏิบัติกับผมอย่างเท่าเทียมกันแบบนี้
“แต่เท่าที่ฉันเห็น คุณก็ดูไม่ได้เป็นแบบในข่าวลือสักเท่าไหร่….แต่ว่าถ้าคุณพยายามจะทำลายหนังสือเหล่านี้ล่ะก็ ฉันจะไม่ยกโทษให้เด็ดขาด หนังสือคือภูมิปัญญา ประวัติศาสตร์ และความคิดของบรรพบุรุษของพวกเรา มันเป็นของลํ้าค่าที่คนรุ่นก่อนหลงเหลือไว้ ควรค่าแก่การเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีค่ะ”
เธอพูดอย่างคล่องแคล่วในขณะที่ถือหนังสือแนวโรแมนติกสี่เล่มพร้อมปกน่ารักๆซึ่งน่าจะเป็นนิยายรัก
ความขัดแย้งกันระหว่างคำพูดที่ดูเข้มงวดของเธอกับสิ่งที่เธอถืออยู่มันดูน่ารักมากจนผมเกือบจะหลุดขำ
“ฉันไม่ได้พยายามจะทำลายอะไรทั้งนั้นแหละ ก็แค่อยากหาหนังสือสนุกๆอ่าน”
“แค่พูดน่ะมันง่าย”
เธอพูดด้วยนํ้าเสียงเรียบๆ และว่าต่อ
“เพราะฉะนั้น ฉันจะนั่งดูอยู่ข้างๆคุณจนกว่าคุณจะออกจากห้องสมุด ฉันรู้ว่าไม่มีอำนาจไปสั่งคุณได้แต่ว่า…เอาตามนี้ได้ใช่มั้ยคะ? เบเรต์ เซนต์ฟอร์ด”
“อืม ถ้ามันจะทำให้เธอสบายใจได้ละก็ตามนั้นแหละ… ขอบคุณนะ”
ผมเดาว่าเธอคงจะชอบหนังสือมากๆเลยสินะ
ถ้าเกิดมีผู้ชายนิสัยเสียที่มีชื่อเสียงไม่ดีเดินเข้าไปในพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของตัวเอง ไม่ว่าเป็นใครก็คงไม่ชอบ
“ไม่ใช่เรื่องที่ต้องขอบคุณหรอกค่ะ กับฉันที่ทำตัวเสียมารยาทกับคุณแบบนี้”
“นั่นก็เพราะข่าวลือไม่ดีๆของฉันไม่ใช่เหรอ? งั้นก็ไม่ใช่ความผิดของเธอหรอก ผมกลับคิดว่ามันเป็นเรื่องปกตินะ”
“….”
“หือ?”
ผมเอียงคอไปกับความเงียบของเธอที่ไร้เสียงตอบรับ
“….เบเรต์ เซนต์ฟอร์ด คุณเป็นคนไม่ดีอย่างที่เขาว่ากันจริงเหรอคะ?”
“อ…เอ๊ะ? อะฮะๆ มาถามกันต่อต่อหน้าแบบนี้เลย? –ฉันคิดว่าเขาก็ค่อนข้างเป็นคนดีอยู่นะ”
“เป็นงั้นเหรอคะ สถานการณ์แบบนี้คงไม่มีใครบอกว่าตัวเอง ‘เป็นคนไม่ดี’ หรอก ”
เสียงเรียบๆของเธอกับใบหน้าไร้อารมรณ์… อ่านไม่ออกเลยสักนิด
“ถ้างั้นตอนนี้เราก็ไปหาหนังสือของคุณกันเถอะ หนังสือที่ฉันแนะนำได้อย่างมั่นใจคือหนังสือแนวปรัชญากับนิยายแนวโรแมนติก ”
เธอพูดราวกับเธอต้องการให้ผมอ่านหนังสือที่เธอแนะนำ ผมไม่ชอบแนวปรัชญา แต่ถ้าเป็นนิยายรักก็คิดว่าจะสามารถเพลิดเพลินไปกับมันได้
“ถ้างั้นช่วยนำทางฉันไปโซนนิยายโรแมนติกหน่อยได้ไหม?”
“เอาแบบนั้นจริงๆเหรอคะ? ฉันคิดว่าคุณคงผ่านประสบการณ์มาอย่างโชกโชน คงจะไม่สนใจแนวนั้นเท่าไหร่มั้ง ”
“ไม่เป็นไรหรอก”
“เข้าใจแล้วค่ะ ถ้างั้นกรุณาตามฉันมา”
“ขอบคุณ”
ด้วยเหตุนี้ ผมจึงใช้เวลาพักเที่ยงไปกับเด็กสาวที่ไม่รู้แม้กระทั่งชื่อด้วยซํ้า…
เธอเป็นนักเรียนคนเดียวที่ได้รับอนุญาติให้เข้าเรียนในห้องสมุดได้
เธอเป็นลูกสาวที่มีความสามารถและงดงามของตระกูลบารอน มีสมญานามว่า ‘หนอนหนังสืออัจฉริยะ’ ผู้เปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์ ใช้ทุกช่วงเวลาว่างในการอ่านหนังสือ
ว่ากันว่าเธอกินหนังสือแทนข้าวได้?
และนี่ก็คือตอนที่ผมได้พบกับเธอในช่วงพักกลางวัน—
TN:ไอที่ว่ากินหนังสือแทนข้าวนั่นไม่มีในบทนะครับ ฮ่าๆ แต่ฉายาเจ้าหล่อนจริงๆมันคือ ผู้กลืนกินหนังสือหรือผู้กลืนกินตำรา มันฟังดูเบียวแปลกๆเลยไม่เอา แต่น้องก็อ่านหนังสือแม้กระทั่งเวลากินข้าวเลยนี่นา อาจจะกินหนังสือแทนข้าวจริงๆก็ได้นะ 5555